ผมชอบพูดเรื่องธรรมะให้คนอื่นฟัง เขาเลียว่าผมบ้าธรรมะบ้าศาสนา ผมต้องทำยังไงดีบอกผมด้วย
จะทำยังไงดี
เริ่มโดย ดอกอุบล, Jul 30 2008 07:20 PM
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 30 July 2008 - 07:20 PM
#2
โพสต์เมื่อ 30 July 2008 - 08:16 PM
ก็ทำต่อไปครับ แถมทำให้หนักขึ้นครับ
พูดจริงๆนะครับ นั่นแแค่บททดสอบว่าคุณเอาจริงหรือเปล่า แต่ถ้าผ่านไปได้ ต่อไป พวกนั้นเวลาเขามีความทุกข์ หรือวันใด ที่บุญเก่าเขาส่งผล ทำให้นึกถึงธรรมะ วันนั้น ภาพของคุณจะอยู่ในใจเขา และคุณจะเป็นคนแรกที่เขาจะนึกถึง
พูดจริงๆนะครับ นั่นแแค่บททดสอบว่าคุณเอาจริงหรือเปล่า แต่ถ้าผ่านไปได้ ต่อไป พวกนั้นเวลาเขามีความทุกข์ หรือวันใด ที่บุญเก่าเขาส่งผล ทำให้นึกถึงธรรมะ วันนั้น ภาพของคุณจะอยู่ในใจเขา และคุณจะเป็นคนแรกที่เขาจะนึกถึง
#3
โพสต์เมื่อ 30 July 2008 - 08:58 PM
การเล่าธรรมให้ผู้อื่นฟังนั้น เป็นมหากุศลอย่างมาก แต่เพื่อความเหมาะสม ควรดูเวลา สถานที่ และคนฟังด้วย
และควรเลือกเรื่องที่จะเล่าให้เหมาะสม และควรคำนึงว่าอยากให้ผู้ฟังมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟัง(จิตวิทยาการพูด)
ที่สำคัญที่สุดเราต้องเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ดี คือสามารถทำตามที่เล่าได้บ้างเป็นอย่างดีครับ
อนุโมทนาด้วยครับ
และควรเลือกเรื่องที่จะเล่าให้เหมาะสม และควรคำนึงว่าอยากให้ผู้ฟังมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟัง(จิตวิทยาการพูด)
ที่สำคัญที่สุดเราต้องเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ดี คือสามารถทำตามที่เล่าได้บ้างเป็นอย่างดีครับ
อนุโมทนาด้วยครับ
#4
โพสต์เมื่อ 30 July 2008 - 10:13 PM
อนุโมทนาบุญกับเจตนาอันดีงามให้การให้ธรรมทาน
ขออนุญาตแบ่งปันจากประสบการณ์นะคะ
เมื่อช่วงก่อน ปี 2545 ยังไม่ได้มาสร้างบารมี อย่างเข้มข้น เข้าวัดตั้งแต่ ปี 2531 แต่มาแบบยังไม่เข้าใจอะไร
จนกระทั่งมีโอกาสขึ้นไปปฏิบัติธรรมที่พนาวัฒน์เป็นครั้งแรก จึงได้เข้าใจ มโนปณิธานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
อย่างแท้จริง แรก ๆ การเล่าเรื่องวัด หรือ เรื่องธรรมะให้คนอื่นฟัง เราก็จะเล่าแบบอยากเล่า โดยที่ไม่ได้สังเกตุว่า
คนที่เราคุยด้วย เขาสนใจแค่ไหน รับได้หรือไม่ เราเล่าด้วยความ"อยากให้เขารู้" ผลที่เกิดขึ้น ก็คล้าย ๆ กับเจ้าของกระทู้ แต่ก็ไม่ได้ท้อแท้อะไร เพียงแต่คิดว่า เราต้องปรับปรุงตนเอง มีกัลยาณมิตรท่านแนะนำว่า ให้นั่งธรรรมะมาก ๆ ทุกวัน
เมื่อบุญของเรามากพอ คำพูดที่ดี ที่ถูกต้อง ถูกใจคนฟัง เขาจะรับได้พอดี ๆ ก็จะออกมาเอง เราก็เชื่อ และปฏิบัติตาม
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เรากลายเป็นคนที่ใจเย็นลง เป็นคนที่ฟังคนอื่นมากขึ้น พูดน้อยลง แต่คำพูดที่ออกมาในเรื่องธรรมะ
มักจะพูดน้อย แต่โดนใจคนฟัง ชนิดที่เรียกได้ว่า เกาถูกที่คัน เปิดใจคนอื่นได้ แต่ถ้ามีคนถามหรือแซว เราก็อาจจะถามเขากลับในบางครั้งว่า ต้องการคำตอบเรื่องนี้จริง ๆ มั้ย เล่ายาวนะ เพราะบางคนไม่ได้ต้องการคำตอบจริง ๆ เขาก็จะเงียบ เราก็เพียงแต่ยิ้ม ๆ
จริง ๆ แล้วก็คงไม่มีอะไรมาก แค่ "ฟัง" คนอื่นให้มากขึ้น หมายถึง ฟังด้วยศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วเราจะรู้ด้วยตัวเองว่าจะต้องตอบว่าอะไร หรือควรพูดแค่ไหน
การเล่าธรรมะเป็นเรื่องละเอียด ถ้าเล่าเป็นก็จะทำให้สนุก อยากฟังต่อ ก็ลองสังเกตุพระอาจารย์ หรืออุบาสิกาในวัด ว่าท่านทั้งหลาย มีวิธีเทศน์ หรือพูดอย่างไร ที่ทำให้เราอยากฟัง อยากติดตาม ยกใจคนให้สูงขึ้นด้วย
แต่อย่างนึงที่เราติดตามและสังเกตุตลอดเวลา คือ การฟังคุณครูไม่ใหญ่ สอนในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา นั่นแหละค่ะ หลายครั้งทีเดียวที่เราได้คำพูดดี ๆ มาใช้กับผู้อื่น และนำมาแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง
อีกอย่างหนึ่งคือ เราก็ต้องหมั่นอ่านหนังสือธรรมะบ่อย ๆ ด้วยนะ จะได้มีเรื่องที่ถูกต้องในการพูด
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเราเองที่ใช้ในการฝึกตัวในการทำหน้าที่ทั้งผู้นำบุญ และการเป็นกัลยาณมิตรให้กับคนรอบข้างอย่างต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันก็ยังอยู่ระหว่างฝึกฝนตัวเองอยู่นะคะ
มี link เพิ่มเติมค่ะ http://www.dmc.tv/fo...showtopic=16293
ขออนุญาตแบ่งปันจากประสบการณ์นะคะ
เมื่อช่วงก่อน ปี 2545 ยังไม่ได้มาสร้างบารมี อย่างเข้มข้น เข้าวัดตั้งแต่ ปี 2531 แต่มาแบบยังไม่เข้าใจอะไร
จนกระทั่งมีโอกาสขึ้นไปปฏิบัติธรรมที่พนาวัฒน์เป็นครั้งแรก จึงได้เข้าใจ มโนปณิธานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
อย่างแท้จริง แรก ๆ การเล่าเรื่องวัด หรือ เรื่องธรรมะให้คนอื่นฟัง เราก็จะเล่าแบบอยากเล่า โดยที่ไม่ได้สังเกตุว่า
คนที่เราคุยด้วย เขาสนใจแค่ไหน รับได้หรือไม่ เราเล่าด้วยความ"อยากให้เขารู้" ผลที่เกิดขึ้น ก็คล้าย ๆ กับเจ้าของกระทู้ แต่ก็ไม่ได้ท้อแท้อะไร เพียงแต่คิดว่า เราต้องปรับปรุงตนเอง มีกัลยาณมิตรท่านแนะนำว่า ให้นั่งธรรรมะมาก ๆ ทุกวัน
เมื่อบุญของเรามากพอ คำพูดที่ดี ที่ถูกต้อง ถูกใจคนฟัง เขาจะรับได้พอดี ๆ ก็จะออกมาเอง เราก็เชื่อ และปฏิบัติตาม
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เรากลายเป็นคนที่ใจเย็นลง เป็นคนที่ฟังคนอื่นมากขึ้น พูดน้อยลง แต่คำพูดที่ออกมาในเรื่องธรรมะ
มักจะพูดน้อย แต่โดนใจคนฟัง ชนิดที่เรียกได้ว่า เกาถูกที่คัน เปิดใจคนอื่นได้ แต่ถ้ามีคนถามหรือแซว เราก็อาจจะถามเขากลับในบางครั้งว่า ต้องการคำตอบเรื่องนี้จริง ๆ มั้ย เล่ายาวนะ เพราะบางคนไม่ได้ต้องการคำตอบจริง ๆ เขาก็จะเงียบ เราก็เพียงแต่ยิ้ม ๆ
จริง ๆ แล้วก็คงไม่มีอะไรมาก แค่ "ฟัง" คนอื่นให้มากขึ้น หมายถึง ฟังด้วยศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วเราจะรู้ด้วยตัวเองว่าจะต้องตอบว่าอะไร หรือควรพูดแค่ไหน
การเล่าธรรมะเป็นเรื่องละเอียด ถ้าเล่าเป็นก็จะทำให้สนุก อยากฟังต่อ ก็ลองสังเกตุพระอาจารย์ หรืออุบาสิกาในวัด ว่าท่านทั้งหลาย มีวิธีเทศน์ หรือพูดอย่างไร ที่ทำให้เราอยากฟัง อยากติดตาม ยกใจคนให้สูงขึ้นด้วย
แต่อย่างนึงที่เราติดตามและสังเกตุตลอดเวลา คือ การฟังคุณครูไม่ใหญ่ สอนในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา นั่นแหละค่ะ หลายครั้งทีเดียวที่เราได้คำพูดดี ๆ มาใช้กับผู้อื่น และนำมาแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง
อีกอย่างหนึ่งคือ เราก็ต้องหมั่นอ่านหนังสือธรรมะบ่อย ๆ ด้วยนะ จะได้มีเรื่องที่ถูกต้องในการพูด
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเราเองที่ใช้ในการฝึกตัวในการทำหน้าที่ทั้งผู้นำบุญ และการเป็นกัลยาณมิตรให้กับคนรอบข้างอย่างต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันก็ยังอยู่ระหว่างฝึกฝนตัวเองอยู่นะคะ
มี link เพิ่มเติมค่ะ http://www.dmc.tv/fo...showtopic=16293
#5
โพสต์เมื่อ 30 July 2008 - 10:17 PM
ง่ายๆ เลยครับ เอาหลักสัปปุริสธรรม ๗ ประการไปปรับใช้ครับ
----------------------------------------------------------------------
ส่วนที่ ๒ คนสมบูรณ์แบบ(สมาชิกแบบอย่างของมนุษยชาติ)
ผู้สามารถนำหมู่ชนและสังคมไปสู่สันติสุขและความสวัสดี พึงมีสัปปุริสธรรม คือธรรมของคนดีหรือคนที่แท้ซึ่งมีคุณสมบัติของความเป็นคนที่สมบูรณ์ ๗ ประการ คือ
๑. ธัมมัญญุตา รู้หลักและรู้จักเหตุ คือรู้หลักการและกฎเกณฑ์ของสิ่งทั้งหลายที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิต ในการปฏิบัติกิจหน้าที่และดำเนินกิจการต่างๆ
๒. อัตถัญญุตา รู้ความมุ่งหมายและรู้จักผล คือรู้ความหมายและความมุ่งหมายของหลักการที่ตนปฏิบัติ เข้าใจวัตถุประสงค์ของกิจการที่ตนกระทำ รู้ว่าที่ตนทำอยู่อย่างนั้น ดำเนินชีวิตอย่างนั้นเพื่อประสงค์ประโยชน์อะไร หรือควรจะได้บรรลุถึงผลอะไร
๓. อัตตัญญุตา รู้ตน คือรู้ตามเป็นจริงว่า ตัวเรานั้นมีฐานะ ภาวะ เพศ กำลัง ความรู้ ความถนัด ความสามารถ และคุณธรรมมากน้อยเพียงใด แล้วประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมตลอดจนแก้ไขปรับปรุงตนให้เจริญงอกงามถึงความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไป
๔. มัตตัญญุตา รู้ประมาณ คือรู้จักพอดี เช่น รู้จักประมาณในการบริโภค ในการใช้จ่ายทรัพย์รู้จักความพอเหมาะพอดีในการพูด การปฏิบัติกิจ และทำการต่างๆตลอดจนการพักผ่อนนอนหลับและการสนุกสนานรื่นเริงทั้งหลาย ทำการทุกอย่างด้วยความเข้าใจวัตถุประสงค์เพื่อผลดีแท้จริงที่พึงต้องการ
๕. กาลัญญุตา รู้กาล คือรู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาที่พึงใช้ในการประกอบกิจ ทำหน้าที่การงาน ปฏิบัติการต่างๆและเกี่ยวข้องกับผู้อื่น
๖. ปริสัญญุตา รู้ชุมชน คือรู้จักถิ่น รู้จักที่ชุมนุมและชุมชน รู้การอันควรประพฤติปฏิบัติในถิ่นที่ชุมชนและต่อชุมชน
๗. ปุคคลัญญุตา รู้บุคคล คือรู้จักและเข้าใจความแตกต่างแห่งบุคคล ไม่ว่าจะเป็นอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม ว่า ใครยิ่งหรือหย่อนอย่างไร รู้จักปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ด้วยดี รู้จักพิจารณาว่าบุคคลนั้นควรคบหรือไม่ ได้คติอย่างไร จะสัมพันธ์เกี่ยวข้อง จะใช้ จะยกย่อง จะตำหนิหรือจะแนะนำสั่งสอนอย่างไรจึงจะได้ผลดี เป็นต้น
(อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ๒๓/๖๕/๑๑๔)
ที่มา ธรรมะเพื่อการรู้เท่าทันสื่อ กระทู้ของพี่ Dd2683 ครับ
http://w3.dmc.tv/for...?showtopic=1874
----------------------------------------------------------------------
ส่วนที่ ๒ คนสมบูรณ์แบบ(สมาชิกแบบอย่างของมนุษยชาติ)
ผู้สามารถนำหมู่ชนและสังคมไปสู่สันติสุขและความสวัสดี พึงมีสัปปุริสธรรม คือธรรมของคนดีหรือคนที่แท้ซึ่งมีคุณสมบัติของความเป็นคนที่สมบูรณ์ ๗ ประการ คือ
๑. ธัมมัญญุตา รู้หลักและรู้จักเหตุ คือรู้หลักการและกฎเกณฑ์ของสิ่งทั้งหลายที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิต ในการปฏิบัติกิจหน้าที่และดำเนินกิจการต่างๆ
๒. อัตถัญญุตา รู้ความมุ่งหมายและรู้จักผล คือรู้ความหมายและความมุ่งหมายของหลักการที่ตนปฏิบัติ เข้าใจวัตถุประสงค์ของกิจการที่ตนกระทำ รู้ว่าที่ตนทำอยู่อย่างนั้น ดำเนินชีวิตอย่างนั้นเพื่อประสงค์ประโยชน์อะไร หรือควรจะได้บรรลุถึงผลอะไร
๓. อัตตัญญุตา รู้ตน คือรู้ตามเป็นจริงว่า ตัวเรานั้นมีฐานะ ภาวะ เพศ กำลัง ความรู้ ความถนัด ความสามารถ และคุณธรรมมากน้อยเพียงใด แล้วประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมตลอดจนแก้ไขปรับปรุงตนให้เจริญงอกงามถึงความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไป
๔. มัตตัญญุตา รู้ประมาณ คือรู้จักพอดี เช่น รู้จักประมาณในการบริโภค ในการใช้จ่ายทรัพย์รู้จักความพอเหมาะพอดีในการพูด การปฏิบัติกิจ และทำการต่างๆตลอดจนการพักผ่อนนอนหลับและการสนุกสนานรื่นเริงทั้งหลาย ทำการทุกอย่างด้วยความเข้าใจวัตถุประสงค์เพื่อผลดีแท้จริงที่พึงต้องการ
๕. กาลัญญุตา รู้กาล คือรู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาที่พึงใช้ในการประกอบกิจ ทำหน้าที่การงาน ปฏิบัติการต่างๆและเกี่ยวข้องกับผู้อื่น
๖. ปริสัญญุตา รู้ชุมชน คือรู้จักถิ่น รู้จักที่ชุมนุมและชุมชน รู้การอันควรประพฤติปฏิบัติในถิ่นที่ชุมชนและต่อชุมชน
๗. ปุคคลัญญุตา รู้บุคคล คือรู้จักและเข้าใจความแตกต่างแห่งบุคคล ไม่ว่าจะเป็นอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม ว่า ใครยิ่งหรือหย่อนอย่างไร รู้จักปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ด้วยดี รู้จักพิจารณาว่าบุคคลนั้นควรคบหรือไม่ ได้คติอย่างไร จะสัมพันธ์เกี่ยวข้อง จะใช้ จะยกย่อง จะตำหนิหรือจะแนะนำสั่งสอนอย่างไรจึงจะได้ผลดี เป็นต้น
(อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ๒๓/๖๕/๑๑๔)
ที่มา ธรรมะเพื่อการรู้เท่าทันสื่อ กระทู้ของพี่ Dd2683 ครับ
http://w3.dmc.tv/for...?showtopic=1874
I just gotta get out of this prison cell.
Someday I'm gonna be free.
Someday I'm gonna be free.
#6
โพสต์เมื่อ 30 July 2008 - 10:19 PM
เหมือนการให้ทานอื่นๆ คือ เลือกให้ ให้ตามกาลที่ ณ เวลาและสถานที่สมควร จึงจะได้ประโยชน์
#7
โพสต์เมื่อ 31 July 2008 - 02:05 AM
ดูุึความเหมาะสมท่าจะดีนะครับ
แต่อย่างงัยก็ขอเป็นกำลังใจ และขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุ
แต่อย่างงัยก็ขอเป็นกำลังใจ และขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุ
#8
โพสต์เมื่อ 31 July 2008 - 12:33 PM
QUOTE
ผมชอบพูดเรื่องธรรมะให้คนอื่นฟัง เขาว่าผมบ้าธรรมะบ้าศาสนา
- การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดปฏิกิริยา- ดังที่คุณ Somchet ตอบ ว่าเป็นบททดสอบ
QUOTE
ก็ทำต่อไปครับ แถมทำให้หนักขึ้นครับ
พูดจริงๆนะครับ นั่นแค่บททดสอบว่าคุณเอาจริงหรือเปล่า แต่ถ้าผ่านไปได้ ต่อไป พวกนั้นเวลาเขามีความทุกข์ หรือวันใด ที่บุญเก่าเขาส่งผล ทำให้นึกถึงธรรมะ วันนั้น ภาพของคุณจะอยู่ในใจเขา และคุณจะเป็นคนแรกที่เขาจะนึกถึง
- ถ้าเลิกกลางคันก็เท่ากับสอบไม่ผ่าน แถมอาจถูกได้ทีขี่แพะไล่ได้ว่า ไม่เอาจริงนี่นา แค่พูดแหย่ก็ท้อแล้ว(ทำนองนี้)พูดจริงๆนะครับ นั่นแค่บททดสอบว่าคุณเอาจริงหรือเปล่า แต่ถ้าผ่านไปได้ ต่อไป พวกนั้นเวลาเขามีความทุกข์ หรือวันใด ที่บุญเก่าเขาส่งผล ทำให้นึกถึงธรรมะ วันนั้น ภาพของคุณจะอยู่ในใจเขา และคุณจะเป็นคนแรกที่เขาจะนึกถึง
- ตอบไปด้วยใจใสๆ ใครๆก็บ้ากันทั้งน้านแหล่ะ...555 คุณครูไม่ใหญ่เคยเล่าใน รร.อนุบาลฯว่า พอเราทำอะไรจริงๆ เค้าก็กล่าวว่าเราบ้า เราจะลองทำอะไรให้ดูบ้ามั่ง...เขากลับให้ความสนใจ...ดีเหมือนกันเน๊อะ
QUOTE
ผมต้องทำยังไงดี
- ตามที่คุณ feyhong, swo และ Tree แนะไว้ รอโอกาส จังหวะ บุญของเขาส่งผล ตัวเราฝึก...จนพอจะรู้ใจผู้อื่นได้ว่าเขาต้องการอะไรในเวลานั้น(รู้เขา รู้เรา)- ขอสาธุการกับธรรมะเทสนะมัยมา ณ โอกาสนี้ นำพาสู่บริวารสมบัติอันไม่มีประมาณ
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC
#9
โพสต์เมื่อ 31 July 2008 - 12:42 PM
จำคำพระพุทธเจ้าไว้ และไปทำให้ได้อย่างท่านนะครับว่า
วาจาใดไม่จริง ตถาคต ไม่พูดวาจานั้น
วาจาใดจริง แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคต ก็ไม่พูดวาจานั้น
วาจาใดจริงด้วย ประกอบด้วยประโยชน์ด้วย ตถาคต รู้กาล(กาละเทศะ) ที่จะกล่าววาจานั้น
วาจาใดไม่จริง ตถาคต ไม่พูดวาจานั้น
วาจาใดจริง แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคต ก็ไม่พูดวาจานั้น
วาจาใดจริงด้วย ประกอบด้วยประโยชน์ด้วย ตถาคต รู้กาล(กาละเทศะ) ที่จะกล่าววาจานั้น
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#10
โพสต์เมื่อ 31 July 2008 - 12:55 PM
ผมชอบพูดเรื่องธรรมะให้คนอื่นฟัง เขาเลียว่าผมบ้าธรรมะบ้าศาสนา ผมต้องทำยังไงดีบอกผมด้วย
.......................................................
บ้าธรรมมะ บ้าศาสนา ดีกว่าบ้าใบ้ไร้สาระ..
บ้าแบบคนมีธรรมมะ ดีกว่าบ้าบอคอแตก..
บ้าแบบแปลกๆ คือเห็นคนอื่นบ้า แต่ตัวเองไม่..
แปลกไม่แปลกยังไง ก็ต้องลองไปส่องกระจก (เงา) ดู (เอาเองน่ะ)..
.......................................................
จบดีกว่า..
.......................................................
บ้าธรรมมะ บ้าศาสนา ดีกว่าบ้าใบ้ไร้สาระ..
บ้าแบบคนมีธรรมมะ ดีกว่าบ้าบอคอแตก..
บ้าแบบแปลกๆ คือเห็นคนอื่นบ้า แต่ตัวเองไม่..
แปลกไม่แปลกยังไง ก็ต้องลองไปส่องกระจก (เงา) ดู (เอาเองน่ะ)..
.......................................................
จบดีกว่า..