พระพุทธเจ้าในอนาคตกับเส้นทางการสร้างบารมี
#1
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 09:48 AM
1.) พระศรีอาริยเมตไตรย
ในอดีตพระองค์ คือพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช แห่งอินทปัตนครในสมัยของพระสิริมิตรพุทธเจ้า
วันหนึ่ง พระองค์ได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมิตรพุทธเจ้า ทรงเกิดความเลื่อมใสในสามเณรนั้น
พระองค์จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม หลังจากที่พระองค์ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าสิริมิตรแล้ว พระองค์จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์เองแด่พระพุทธเจ้าเพื่อบูชาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์
แล้วทรงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต
และด้วยอานิสงค์แห่งบารมีนี้เอง จึงทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา
ขณะนี้พระองค์ทรงเสวยทิพยสมบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
และเมื่อถึงกำหนดเวลา พระโพธิสัตว์เจ้าจะได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ในวรรณะพราหมณ์
เกิดในครรภ์ของนางพรหมวดีซึ่งเป็นภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิราชแห่งเกตุมดีนคร
เมื่อทรงประสูติจะมีนิมิต32ประการปรากฏขึ้น
และมีมหาปราสาทสำหรับเป็นที่ประทับ ปรากฏขึ้น3หลังๆละ7ชั้น ประดับประดาด้วยรัตนะ7ประการ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีพระสรีรกายสูง 88ศอก(44เมตร)
และทรงกระทำความเพียรเพื่อตรัสรู้นาน7วัน
พระฉัพพรรณรังสีของพระองค์จะแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างตั้งแต่อเวจีมหานรกถึงภวัคคพรหม
2.)พระรามพุทธเจ้า
คือ อดีตนารทมาณพ ซึ่งเกิดในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว)
นารทมาณพนั้นได้จุดไฟที่ศีรษะบูชาแด่พระพุทธเจ้า
หลังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอาริยเมตไตรย
ก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตก่อนจะมาจุติเป็นพระรามพุทธเจ้า และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 90,000ปี มีพระสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
มีพระฉัพพรรณรังสีส่องสว่างตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
3.)พระธรรมราชาพุทธเจ้า
คือ อดีตพระเจ้าปเสนทิโกศล
ที่จะมาบังเกิดเป็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ สุทธมาณพ
หาเลี้ยงชีพโดยเก็บดอกบัววันละ2ดอกไปขาย ทรงได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าโกนาคมน์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
เมื่อได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วจะลงมาจุติบนโลกมนุษย์
เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าพระธรรมราชา และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 50,000ปี จะมีพระสรีรกายสูง 16ศอก(8เมตร)
ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้นเป็นนิจ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
4.)พระธรรมสามีพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยามาราธิราช (พญาวสวัตดีมาร)
ผู้เป็นจอมเทวดาฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้นสูงสุด(ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี)
พระองค์จะได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีนามว่าโพธิ
และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ากัสสปะว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
และเมื่อไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็จะจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์
และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทรงมีพระนามว่าพระธรรมสามี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 100,000ปี มีพระสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีจะสว่างดังแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์
5.)พระนารทพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยาอสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูร
ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าสิริคุต
ครองนิรมลนครในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่านารทะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 10,000ปี ทรงมีพระสรีรกายสูง 120ศอก(60เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีบังเกิดขึ้นทั้งกลางคืนและกลางวัน
6.)พระรังสีมุนีพุทธเจ้า
คือ อดีตโสณพราหมณ์
ที่จะมาบังเกิดเป็นพ่อค้ามีนามว่า มาฆมาณพในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
มาฆมาณพเป็นพ่อค้าที่ฉลาด แต่ประสบทุกข์
สูญสิ้นทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้จำนวนมากถึง3ครั้ง3คราว
จึงเดินทางไปเมืองโกสัมพี เพื่อรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญขึ้น15ค่ำ
พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มาฆมาณพจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 5,000ปี มีสรีรกายสูง 60ศอก(30เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมีสว่างไสวในเวลากลางวันเหมือนดังแสงทอง และสว่างไสวในเวลากลางคืนดังแสงสีเหลือง
7.)พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตสุภพราหมณ์
บรมโพธิสัตว์ที่มาบังเกิดเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ริมฝั่งสระฉัททันต์ในสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า
พระยาช้างฉัททันต์ได้เห็นสรีระของพระสาวกอันมีพระนามว่าพระอัญญาโกณฑัญญะ
ซึ่งดับขันธปรินิพพานที่ริมสระฉัททันต์นั้น จึงได้อธิษฐานขอบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญมา
ทำให้เกิดเลื่อยมาเลื่อยเอางาทั้งสองของตน โดยเอางาช้างหนึ่งมาทำเป็นราง
อีกข้างหนึ่งทำเป็นรูปนกยูง เพื่อประดิษฐานสรีระของพระเถระไว้กับราง
แล้วรวบขนบนศีรษะของตนจุดไฟบูชาสรีระของพระเถระ และตั้งความปรารถนา
ขอให้การถวายงาจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
สุภพราหมณ์ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ทรงมีพระนามว่า พระเทวเทพ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
มีฉัพพรรณรังสีประดุจดังช่อดอกไม้ ไม่มีความหนาวร้อน ส่องสว่างไปทั่วสากลโลก
8.)พระนรสีหสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตนันทมาณพ
ซึ่งเคยถวายผ้ากำพล1ผืนและทองแสนตำลึงแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยหนึ่ง
ได้ตั้งความปรารถนาในคราวนั้นว่าขอให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
มีอำนาจแผ่ไปตลอดหนึ่งโยชน์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง
ต่อมาเมื่อนันทมาณพตายไปแล้วก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
แล้วจึงจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ เสวยสัมบัติในเมืองมนุษย์ก่อนจะมาเกิดเป็นโตเทยยพพราหมณ์
ในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธองค์ได้พยากรณ์โตเทยยพพราหมณ์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีพระนามว่าพระนรสีหะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีสรีรกายสูง 60ศอก(30เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมี กลางวันมีสีประหนึ่งแก้วมณี กลางคืนมีสีประหนึ่งสีทอง
เบื้องบนพระเศียร จะมีเศวตฉัตรอันประกอบด้วยรัตนะ7ประการ ขนาด3โยชน์ ลอยอยู่เป็นนิจ
9.)พระติสสสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างธนบาลบรมโพธิสัตว์(ช้างนาฬาคีรี)
ที่เคยเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของพระธรรมราชาแห่งแคว้นจำปานคร ทรงมีพระนามว่าธรรมเสน
ต่อมา พระองค์ได้เสด็จออกผนวชอยู่ในสำนักพระฤาษีธรรมเสนได้ฟังธรรมของพระโกนาคมนพุทธเจ้า
จนเกิดความเลื่อมใส จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์บูชาพระโกนาคมนพุทธเจ้า
และตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่าพระติสสะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีพระสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีประดุจเปลวเพลิง สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน
แสงสว่างจากพระอุณาโลมเป็นประหนึ่งแวดล้อมด้วยเศวตฉัตรนับพัน
10.)พระสุมลสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างปาลิไลยกะ
ซึ่งได้เคยบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในอดีตชาติ ทรงพระนามว่ามหาปนาทะ
ทรงผนวชในสำนักพระกกุสันธพุทธเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต มีพระนามว่าพระสุมงคล
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 100,000ปี มีพระสรีรกายสูง 60ศอก(30เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีในเวลากลางวันเป็นเช่นเดียวกับแสงสีทอง และในเวลากลางคืนเป็นเช่นเดียวกับแสงสีเงิน
และในปัจจุบันชาตินี้เราได้เกิดมาสร้างบารมี
จึงเร่งสั่งสมบุญสร้างบารมีตามติดมหาปูชนียาจารย์กันอย่างไม่มีเว้นวรรค(ว่าอย่างไร ว่าตามกัน)
บุญใหญ่ในขณะนี้คือ การสร้างอาคาร100ปีคุณยาย มีความสำคัญมากในการเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปทั่วโลก
เป็นแหล่งเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(รร.พระปริยัติธรรม)
ยังสันติสุขอันไพบูลย์ให้ผู้คนได้ดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรม(ปิดประตูอบาย เปิดทางสวรรค์)
และได้ค้นพบกับความสุขที่แท้จริงภายในด้วยการเจริญสมาธิภาวนา
ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นประดุจดั่งกองบัญชาการงานบุญ
ที่จะใช้ในการสร้างบารมีทำความเจริญรุ่งเรืองแผ่ไพศาลของพระพุทธศาสนาไปทั่วโลกนานนับพันปี
และภาพที่ผมประทับใจไม่ลืมเลือนคือ
วันที่ได้อยู่ในพิธีตอกเสาเข็มต้นแรก อาคาร100ปีคุณยาย ในเพศสมณะ(กองพลสถาปนา)
เป็นภาพที่ติดตราตรึงใจที่มีพระภิกษุสงฆ์นับหมื่นรูปและสาธุชนจำนวนมาก
มาร่วมพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนั้น(วันครูวิชชาธรรมกาย 4 ก.ย.2552)
และในวาระโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนนักสร้างบารมีลูกพระธัม หลานคุณยาย ผู้มุ่งไปสู่ที่แห่งธรรมทุกท่าน
มาร่วมกันทอดกฐินในวันที่1 พ.ย.2552 ทำความสำเร็จในการสร้างอาคาร100ปีคุณยายให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์
แล้วเราจะได้กล่าวคำว่า..ชิตังเม!!พร้อมๆกัน..ด้วยใจที่เบิกบานเปี่ยมล้นในบุญ
จากที่ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้ว
จะเห็นได้ว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นๆมากมายนัก
เมื่อเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันเพียงแค่75ปี
ดังนั้น ผู้ที่หมั่นสั่งสมบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา
จึงเป็นผู้ที่มีปัญญา ดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท และคือผู้ออกแบบชีวิตภายภาคหน้าในระยะยาว
เพราะถ้าบุคคลใดมีความตระหนี่ในการทำทาน เมื่อใดที่ได้ไปเกิดในยุคที่อายุขัยมนุษย์เป็นหมื่นเป็นแสนปี
วิบากกรรมแห่งความตระหนี่ก็จะทำให้ยากจน มีความลำบากเป็นหมื่นเป็นแสนปี..นึกแล้วขนแขนStand Up!
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าบุคคลใดหมั่นสั่งสมบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา อยู่เป็นนิตย์
ด้วยอานิสงค์ผลบุญที่ได้สั่งสมมา
จะทำให้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยที่สุดแห่งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ มีความสุขสบายเป็นหมื่นเป็นแสนปี
และมีอุปกรณ์ในการสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย เป็นเสบียงบุญติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
#2 *innerspot*
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 10:43 AM
#3
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 11:03 AM
จะเห็นได้ว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นๆมากมายนัก
เมื่อเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันเพียงแค่75ปี
ดังนั้น ผู้ที่หมั่นสั่งสมบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา
จึงเป็นผู้ที่มีปัญญา ดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท และคือผู้ออกแบบชีวิตภายภาคหน้าในระยะยาว
เพราะถ้าบุคคลใดมีความตระหนี่ในการทำทาน เมื่อใดที่ได้ไปเกิดในยุคที่อายุขัยมนุษย์เป็นหมื่นเป็นแสนปี
วิบากกรรมแห่งความตระหนี่ก็จะทำให้ยากจน มีความลำบากเป็นหมื่นเป็นแสนปี..
เร่งทำกฐินยาย รื้อผังจนให้หมด ก่อนจะไปเกิดในภพเบื้องหน้าครับ สาธุ
#4
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 11:41 AM
จะเห็นได้ว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นๆมากมายนัก
เมื่อเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันเพียงแค่75ปี
- อย่างไรก็ตาม เรื่องของพุทธวิสัย จัดเป็นหนึ่งในสี่อจิณไตย
- ในระดับปริยัติ คงศึกษาได้จากเรื่องพระอนาคตวงศ์
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=1833
#5
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 05:37 PM
#6
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 06:49 PM
ช้าไม่ได้ซะแล้ว
อาทิตย์ต้นเดือนนี้ จะต้องไปร่วมบุญกฐินคุณยายให้ได้ค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 10:01 PM
1. ไม่มีในพระไตรปิฎก
2. แสนกัปป์สุดท้ายก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าท่านไม่ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานอีก
3. เท่าที่เคยได้ศึกษามา พระพุทธเจ้า ท่านจะไม่ตรัสพยากรณ์ แก่พระโพธิสัตว์ ที่ไปเกิดเป็นผู้หญิง สัตว์เดียรฉาน แม้เกิดเป็นชาย ก็ต้องครองเพศเป็นนักบวชเท่านั้น
แค่ตั้งขอสังเกตุ รบกวนท่านผู้รู้(จริงๆ) มาอธิบายด้วยนะครับ
#8
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 10:03 PM
#9
โพสต์เมื่อ 25 September 2009 - 06:14 AM
โลก ทั้งหลายมืดสิ้นไม่มีท่านผู้วิเศษเลย ต่อสิ้นกาลช้านานแห่งสุญญกัปป์นั้น นับได้อสงไขยแผ่นดินล่วงไปแล้ว เกิดกัปใหม่ตั้งแผ่นดินขึ้นใหม่เรียกว่ามัณฑกัปป์ จะมีสมเด็จพระพุทธเจ้า พระปัจเจกโพธิเจ้า และสมเด็จบรมจักร
ไม่มีพระพุทธเจ้าอีก อสงไขยกัปป์??? คิดก็หยองแล้ว
#10
โพสต์เมื่อ 25 September 2009 - 12:40 PM
๑. ไม่เป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
๒. ไม่เป็นคนหูหนวกมาแต่กำเนิด
๓. ไม่เป็นคนบ้า
๔. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
๕. ไม่เป็นคนใบ้
๖. ไม่เกิดในประเทศป่าเถื่อน
๗. ไม่เกิดในท้องแห่งนางทาสี
๘. ไม่เป็นคนมีความเห็นผิดเป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
๙. ไม่เป็นสตรีเพศ
๑๐. ไม่ประกอบกรรมอันเป็นอนันตริยกรรม
๑๑. ไม่เป็นคนมีโรคเรื้อน
๑๒. เมื่อไปเกิดในกำเนิดแห่งสัตว์เดียรฉาน ย่อมเป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในประเภทมีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และมีกายไม่ใหญ่กว่าช้าง
๑๓. ไม่ไปเกิดในกำเนิดแห่งขุปปิปาสิกเปรต นิชฌามตัณหิกเปรต แลกาลกัญชิกาสุรกาย
๑๔. ไม่ไปเกิดในอเวจีมหานรก และโลกันตนรก
๑๕. เมื่อไปเกิดเป็นเทวดาในกามาวจรสวรรค์ คือสวรรคเทวโลก ๖ ชั้น ก็ไม่เกิดเป็นเทวดาซึ่งนับเนื่องเข้าในเทวดาจำพวกหมู่มาร
๑๖. เมื่อเกิดเป็นองค์พระพรหม ณ เบื้องบรมรูปาพจรพรหมโลก ก็ไม่ไปเกิดในปัญจสุทธาวาสพรหมโลก ทั้งนี้ก็เพราะว่าพรหมโลกชั้นปัญจสุทธาวาสนี้ เป็นภูมิที่อยู่แห่งพรหมอนาคามีอริยบุคคลโดยเฉพาะ
๑๗. ไม่ไปเกิดใน อรูปพรหมโลก เลยเป็นอันขาด
๑๘. ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่นเลยเป็นอันขาด "
" ปราบมาร "
#11
โพสต์เมื่อ 25 September 2009 - 11:14 PM
กับข้อความนี้ middleway จำได้ว่า "พระพุทธเจ้า ท่านจะไม่ตรัสพยากรณ์ แก่พระโพธิสัตว์ ขณะที่เกิดเป็นผู้หญิง สัตว์เดียรฉาน" นะคะ
แม้จะได้รับการพยากรณ์แล้ว แต่ระหว่างทางการสร้างบารมีอาจไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่...
พอจะจำได้นิดหน่อยนะคะ เลยเอามาเล่าให้ฟัง อาจจำผิดก็ได้ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย (สงสัยต้องไปลงเรียนนักธรรมอีกรอบแล้วมั้งเนี่ยเรา)
#12
โพสต์เมื่อ 26 September 2009 - 02:11 PM
มาจากหนังสือ แกะรอยพระพุทธเจ้า เขียนโดย ดวงใจ มหาพัฒนากุล ครับคุณmiddleway
และถ้าศึกษาถึงต้นแหล่งข้อมูลในเรื่องพระพุทธเจ้า10พระองค์นี้ ก็มาจากผลงานการประพันธ์อนาคตวงศ์
ของท่านพระกัสสปเถระชาวอินเดียใต้ ภายหลังจากพุทธปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในราวปีพ.ศ.1703-1773 มีพระคาถาทั้งหมด147คาถา
ซึ่งจริงอย่างที่คุณSomchetบอกไว้ว่า เรื่องพระพุทธเจ้า10พระองค์นี้ไม่มีในพระไตรปิฎก
เพราะเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นภายหลังดังกล่าว
สำหรับอนาคตวงศ์นี้ เป็นคัมภีร์ฉบับร้อยแก้วที่รจนาในประเทศไทย ซึ่งแตกต่างไปจากร้อยกรองของท่านพระกัสสปเถระ
ซึ่งรจนาก่อนสมัยสุโขทัย โดยในไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ของ พญาลิไท ก็ได้ระบุชื่อคัมภีร์อนาคตวงศ์นี้ไว้ด้วย
ส่วนสถานที่แต่งและสมัยที่แต่ง ในเนื้อหาของคัมภีร์อนาคตวงศ์นี้
มิได้กล่าวถึงผู้แต่งและประวัติการแต่งไว้ เนื้อหาสาระ กล่าวว่า
พระสารีบุตรเถระ ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ตรัสแสดงเรื่อง พระพุทธเจ้าในอนาคต 10 พระองค์
ซึ่งในพระไตรปิฎกได้มีการบันทึกเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในอนาคตไว้แต่เพียงเรื่องของพระอชิตะ
ที่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสมณโคดมพุทธเจ้าว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระองค์ในอนาคต ว่า
“ดูกร อชิตะ..! ในกาลบัดนี้ ขอเธอจงแสดงความสามารถไปเอาบาตรของตถาคตมา
”อชิตะภิกษุหนุ่มราชบุตรพระเจ้าอชาตสัตตุราช ซึ่งจักได้ตรัสเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาลภายหน้า
ได้สดับพระพุทธฎีกาตรัสสั่งดังนั้น ก็แปลกใจว่าเหตุใดหนอพระพุทธองค์จึงตรัสสั่งดังนี้
อันตัวเราเป็นภิกษุผู้บวชใหม่ไหนเลยจักสามารถนำเอาบาตรทรงแห่งองค์พระชินสีห์มาได้
ก็องค์พระอรหันต์ทั้งปวงยังมิสามารถนำมาได้ การที่พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้
เห็นทีคงต้องมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นเป็นแน่แท้ อย่าช้าเลย
เราจักกระทำไปตามกำลังสติปัญญา เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็ทรงน้อมกายถวาย
นมัสการสมเด็จพระบรมครู แล้วค่อยเดินไปยืนอยู่ในที่สุดแห่งพุทธบริษัท
มองดูนภากาศแล้วตั้งจิตกระทำสัตยาธิษฐานว่า
“อาตมาผู้มีนามว่าอชิตะนี้ จะได้เข้ามาบรรพชาในพระบวรพุทธศาสนา
ด้วยตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ หมายมั่นจะได้ตรัสรู้ซึ่งสรรพธรรมเป็นพระสัพพัญญูในอนาคตกาล
เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ออกไปให้พ้นจากจตุรโอฆสงสาร
เสมือนเช่นสมเด็จพระพิชิตมารเจ้าของบาตรบรมครูแห่งอาตมาขณะนี้
ด้วยเดชะแห่งสัจจะความจริงนี้ ขอให้บาตรทรงแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์เจ้า
จงลงมาประดิษฐานอยู่ในหัตถ์ของอาตมา ซึ่งจะเหยียดออกไปโดยพลันในกาลบัดนี้”
เมื่อเสร็จจากการตั้งจิตเป็นสัตยาธิษฐาน บัดนั้นก็ให้เกิดอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก
บาตรอันมีค่าเป็นพุทธบริขาร โดยแท้ได้ลอยตกลงมาจากนภากาศ
ประดิษฐานอยู่ในอุ้งหัตถ์พระอชิตะภิกษุเป็นที่ประจักษ์แก่มหาชนพุทธบริษัททั้งหลาย
เมื่อสมเด็จพระปชาบดีมาตุจฉา เห็นดังนั้นก็ปีติปรีดาปราโมทย์เป็นยิ่งนัก
น้ำพระเนตรไหลพรากด้วยความดีใจศรัทธาเป็นยิ่งใหญ่
จึงยกพระหัตถ์นมัสการลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคณะสงฆ์กลับไปยังพระราชนิเวศน์สถาน
ครานั้นอชิตะภิกษุหนุ่มก็ได้พิจารณาว่า
ผ้าภูษานี้จะมีประโยชน์แก่เราก็เพียงใช้ปกคลุมร่างกายเท่านั้น
เราจะนำเอาผ้าภูษานี้เข้าไปถวายพระบรมครูกระทำเป็นพุทธบูชา
ก็จะเป็นมหากุศลหาสิ่งที่จะประเสริฐเทียมเท่ามิได้
เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็นำเอาผ้าผืนหนึ่ง
เข้าไปกางเป็นเพดานเบื้องบนพระคันธกุฎี อีกผืนหนึ่งนั้นฉีกออกเป็น ๔ ท่อน
ผูกเป็นม่านให้ห้อยย้อยลงในที่ ๔ มุมเพดานพระคันธกุฎีแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสร็จแล้วจึงค่อยออกมายืนเพ่งพินิจ เห็นผ้าภูษาที่ตนประดับประดานั้นสวยงามวิจิตรยิ่งนัก
ก็เกิดความโสมนัสปราโมทย์เป็นล้นพ้น ทรุดวรกายหมอบลงตรงเบื้องยุคลบาทสมเด็จพระทศพลญาณ
แล้วกระทำปณิธานว่า“ข้าแต่บรมครูผู้ทรงคุณอันประเสริฐ..!
วัตถบูชาอันเป็นการบูชาด้วยยุคลภูษาอันวิเศษนี้
เป็นที่เจริญจิตของข้าพระบาทโดยยิ่ง ด้วยเดชะอานิสงส์แห่งการบูชายิ่งใหญ่ครั้งนี้
ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาในมนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ หรือพรหมสมบัติ
หากแต่ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะรื้อสัตว์ขนสัตวโลก
ให้พ้นจากโอฆสงสารเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระศาสดา
ดังนั้น หากผลานิสงส์แห่งวัตถทานของข้าพระบาทในครั้งนี้
จะพึงบังเกิดมีแล้วไซร้ ก็ขอจงเป็นพลวปัจจัยส่งผลให้ข้าพระบาท
ได้มีโอกาสบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ในอนาคตกาลด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
เมื่อองค์พระชินสีห์ได้สดับวจีปณิธานอันอาจหาญดั่งนั้น
จึงทรงกระทำพระอาการแย้ม พระโอษฐ์รุ่งโรจน์รัศมีให้ปรากฏ
ด้วยพระพุทธรังสีออกจากพระเขี้ยวแก้วทั้งสี่ ให้เห็นเป็นอัศจรรย์
ลำดับนั้นพระอานนท์พุทธอนุชาได้แลเห็น จึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
ด้วยเหตุใดพระพุทธองค์ จึงทรงแสดงพุทธกิริยาเช่นนั้น บัดนั้นพระชินสีห์ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสพยากรณ์ว่า
“พระอชิตะภิกษุ ซึ่งเป็นพระสงฆ์นวกะในกาลบัดนี้ จักได้ตรัสเป็นองค์พระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพระนามว่าพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาลภาคหน้าภายในมหาภัทรกัปนี้...
ใต้ร่มไม้กากะทิงอันเป็นมิ่งไม้มหาโพธิ ในเพลาตามพารุณสมัยราตรีแห่งวิสาขบุรณมี”
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึงความเป็นไปในอนาคตกาลให้จบลงดั่งนี้แล้ว
ก็ทรงอนุญาตให้บริษัททั้งหลายกลับไปสู่ที่อยู่แห่งตน เป็นอันว่าหมดสิ้นการประชุมในวันนั้นแต่เพียงนี้
#๑. ปฐม. แปล. -/๓๑๕-๓๒๘ ๒. อนาคตวํส. -/๔๓-๕๖
#13
โพสต์เมื่อ 26 September 2009 - 04:01 PM
แต่อรรกถาว่าไว้ สองแห่งไม่เหมือนกัน ก็มีอยู่ เช่น
เรื่องของพระโมคคัลลานะ ชาติในอดีตที่ท่านเคยทุบตีพ่อแม่ บางท่อนของตำราก็ว่า ท่านทุบตีพ่อแม่จนตาย แต่ก็ท่อนอื่นๆ ว่า ท่านทุบตีพ่อแม่แต่ไม่ตาย เพราะได้ยินเสียงพ่อแม่(ซึ่งตาบอด) บอกให้ลูก คือ ท่าน ซึ่งตอนนั้น ปลอมเป็นโจรมาตีพ่อแม่ ว่าให้ลูกหนีไป ท่านเลยสำนึกผิดแล้วแกล้วทำเป็นหนีไป แล้วก็ย้อนกลับมาดูแลพ่อแม่เหมือนเดิืม ตำราบางท่อนก็ว่าไว้เช่นนี้ครับ
นอกจากนี้ยังมีนะครับ อย่างในทศชาติชาดก จันทกุมาร ตอนที่พระราชบิดากำลังจะประหารจันทกุมาร ซึ่งเป็นลูกตัวเอง เพราะหลงเชื่อคำยุยงของคนพาล บางตำราก็ว่า พระอินทร์ได้ปรากฏตัวขึ้นมาห้ามปราม ในมือถือค้อนเหล็กเพลิง แต่ในตำราอีกท่อนก็บอกว่า พระอินทร์ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน แต่พระอินทร์ถือ พระขรรค์เพชร ซึ่งทาง DMC เลยนำมาทำเป็นทศชาติชาดกให้พระอินทร์ถือทั้งสองอย่างไปเลย คือ มือซ้ายถือค้อนเหล็กเพลิง มือขวาถือพระขรรค์เพชร เป็นต้น
อย่างเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์สตรี ก็มีปรากฏในตำราท่อนที่ พระพุทธเจ้าของเราในอดีต เคยเกิดเป็นหญิง นามว่า เจ้าหญิงสุมิตรา เจ้าหญิงเคยสร้างบุญใหญ่ ต่อหน้าพระพุทธเจ้าในอดีต แล้วอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
แต่พระพุทธเจ้าองค์นั้น ท่านไม่พยากรณ์ แต่ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปจะพยากรณ์ให้แทน เป็นต้นครับ ก็เลยเอาเป็นว่า เราก็ปฏิบัติไปเห็นเองนั่นแหละครับ ชัวร์ ชัด ใช่ที่สุด
#14
โพสต์เมื่อ 29 September 2009 - 07:00 AM
อนึ่งเรื่องเหล่านี้นับว่ายังห่างจากองค์รู้ของเรามากๆ ครับ ที่เรารับฟังก็เพื่อเป็นแรงใจในการทำความดีขึ้นๆ ไปดีกว่าครับ