เป็นอีสุกอีใส ทำไงดีครับ
#1
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 12:06 PM
#2
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 12:08 PM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 01:11 PM
#4
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 03:28 PM
100กะรัต
#5
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 03:30 PM
#6
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 07:35 PM
http://th.wikipedia....rg/wiki/อ�%...��ส
สำคัญคือควรแยกตัวออกเพื่อป้องกันการติดต่อไปสู่คนอื่นๆ(เริ่มตั้งแต่ 24 ชม.ก่อนที่ผื่นจนถึงตุ่มแห้งหมด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6-7 วัน)
#7
โพสต์เมื่อ 29 January 2008 - 11:46 AM
อย่าไปติด เอ๊ย ให้ใครเป็นต่อ เล้ยยยย
ระยะระวัง แพร่ คือ ตอนตกสะเก็ด นะคะ
กินยา ให้ครบ
กินวิตะมิน แยะๆๆ
ที่ ป่วย เนี่ย แสดงว่า ภูมิในร่างกายอ่อนแอ เลยติดไวรัส ที่ลอยมาในอากาศได้
ดังนั้น รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
โดย
อาหาร ๑ มื้อ ควรเป็น ผักและผลไม้ (ที่ปลอดสารพิษ - ล้างน้ำ แยะๆๆ ) 50%
25% เป็น โปรตีนจากปลา และพืช (เลี่ยง เนื่อสัตว์ ที่เลี้ยงลูกด้วยนม และระบบภายในคล้ายเรา)
25% เป็ น คาร์โบไฮเดรต จาก ธัญพืช ต่างๆ (เยี่ยมสุด คือ ไม่ผ่านกระบวนการผลิตจาก โรงงาน)
น้ำมัน
ให้เลี่ยง น้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู น้ำมันไก่
"นั่งสมาธิ แยะๆๆ ช
"รักษา อารมณ์ดี + อารมณ์เดียว + อารมณ์สบาย ทั้งวัน "
#8
โพสต์เมื่อ 29 January 2008 - 07:18 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#9
โพสต์เมื่อ 30 January 2008 - 09:00 AM
#10
โพสต์เมื่อ 11 February 2011 - 05:54 PM
#11 *คุณ พล*
โพสต์เมื่อ 15 March 2011 - 07:59 PM
ตอนนี้ ลูกชายผมอายุ 7 ขวบ กำลังเป็น อิสุกอีใส
น้า โทร.มาบอกว่าให้ไปซื้อบัวหิมะที่ Zeven-11 มาทาหายเร็ว
ทาแล้วลูกบอกว่า เย็นจังเลยชอบมาก
ไม่ค้นไม่เจ็บแล้ว
ขอบคุณน้าเหน่งมากๆที่แนะนำ
จากพ่อน้องเก้า
#12 *classicsmile*
โพสต์เมื่อ 16 March 2011 - 03:47 PM
#13 *รัตนา*
โพสต์เมื่อ 16 March 2011 - 03:50 PM
#14 *รัตนา*
โพสต์เมื่อ 16 March 2011 - 03:57 PM
#15 *classicsmile*
โพสต์เมื่อ 16 March 2011 - 07:09 PM
#16 *รัตนา*
โพสต์เมื่อ 17 March 2011 - 12:08 AM
#17 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 17 March 2011 - 09:51 AM
#18 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 25 March 2011 - 08:39 PM
#19
โพสต์เมื่อ 09 April 2011 - 10:04 AM
แชร์ประสบการณ์บ้างนะก๊ะ
ตอนนี้ก็ป่วยเป็นโรคนี้ค่ะ เขาบอกว่า เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคภายหลังรับเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์
งั้นแสดงว่าต้องติดเชื้อมาจากตอนลงพื้นที่ตามคนบวชค่ะ พอกลับมาได้สองสามวัน เป็นผู้หญิงก็อ่อนเพลีย ไม่มีแรงเดิน ก็เลยไปแอบนอน (อิอิ) แล้วก็สังเกตมีตุ่มแดงๆ เรียบๆ ที่พุงก่อน ก็นึกว่าเราสกปรก หรือแพ้ไรฝุ่น ก็ไม่ได้สนใจค่ะ ก็รีบไปอายน้ำๆๆๆ ให้สะอาด
วันรุ่งขึ้นสิน่าตกใจหลาย..ตุ่มเห่อขึ้นมากมาย น่ากลัว บ่ายเริ่มมีไข้ ตัวร้อน ทั้งที่ตอนนี้หายป่วยแล้ว มีแรง เดินไหวแล้ว กลับมาเป็นตุ่มนี่ซะอีก ก็เลยสงสัยว่าตุ่มนี่แน่ๆเลย ทำเราตัวร้อนจี๋ๆๆๆ แต่เราก็กินน้ำเป็นขวดๆ เช็ดตัวตลอด ไข้ก็ลด แต่เพื่อนๆ ก็ตกใตกลัวเราเป็รโรคร้ายแรง รีบพาไปหาหมอ พาสงสัยว่าเป็นอีสุกอีใสทุกคนก็เบาใจ แต่เราอ๊าย..อาย เป็นตอนแก่ เซ็ง...
คุณหมอให้ยาต้านไวรัส ยาแก้ไข้ ยาแก้แพ้สำหรับลดอาการคัน
แต่สาหร่ายกินยาต้านไวรัสอย่างเดียวก็เอาอยู่ ไข้ควบคุมได้
ไม่รู้ว่าห้ามอาบน้ำนะคะ อาบตลอดเย็นดี อยากให้น้ำไหลผ่านตัวตลอด สบ๊ายสบาย..
ยาเขียวก็มีคนแนะนำให้กิน เพื่อให้ตุ่มออกให้หมด แต่บ่ได้กินค่ะ เท่านี้กก็ว่าเยอะแล้วน่ะค่ะ งือ....
ตุ่มที่ท้องกับหลังขึ้นก่อนตอนนี้ยังไม่หายเลยค่ะ
ที่แขนเป็นทีหลังหายแล้วค่ะ
ที่จริงตอนนี้แข็งแรงกว่าสุดท้ายที่ไปทำงานอีกนะคะ
แต่ไปไหนไม่ได้กลัวคนอื่นจะติด..
....................................
ความรู้เรื่องอีสุกอีใสจากอินเตอร์เน็ต
รคอีสุกอีใส เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคภายหลังรับเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์ มักจะระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูฝน เช่นเดียวกับโรคหัด แต่ก็พบได้ประปรายตลอดทั้งปี โดยมากพบในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 5 - 12 ขวบ รองลงมาคือกลุ่มเด็กอายุ 1 - 4 ขวบ กลุ่มวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว ตามลำดับ
โรคอีสุกอีใสติดต่ออย่างไร
อีสุกอีใสเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย จากการไอ จาม หายใจรดกัน หรือโดยการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย โดยเฉพาะบริเวณตุ่มใส หรือติดต่อจากการใช้ของปะปนกัน นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคอีสุกอีใส ก็มีโอกาสติดต่อไปถึงเด็กในครรภ์ โดยระยะเวลาที่ติดต่อกันได้ง่าย มักเป็นช่วง 2 วันก่อนมีตุ่มขึ้น ไปจนถึงหลังมีตุ่มขึ้นแล้ว 4 - 5 วัน
อาการของโรคอีสุกอีใส
เด็กที่เป็นอีสุกอีใสจะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร ส่วนผู้ใหญ่มักจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัด ขณะเดียวกันก็จะมีผื่นขึ้นพร้อมๆ กับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ 1 วันหลังมีไข้ โดยในระยะแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบ ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆ และคัน ต่อมาอีก 2 - 3 วันก็จะตกสะเก็ดผื่นและตุ่มเหล่านี้จะขึ้นตามไรผมก่อน แล้วกระจายไปตามใบหน้า ลำตัว แผ่นหลัง และมีประปรายบริเวณแขนและขา บางคนจะมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้เกิดอาการเจ็บคอ บางคนอาจไม่มีไข้ มีเพียงผื่นและตุ่มขึ้นเท่านั้น วัยรุ่นและผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงและมีตุ่มขึ้นมากกว่าเด็กๆ โดยทั่วไปผื่นจะหายได้โดยไม่มีแผลเป็น ยกเว้นจะมีเชื้อแบคทีเรียมาแทรกซ้อน ผื่นและตุ่มที่ขึ้นนี้จะค่อยๆ ขึ้นทีละระลอก ไม่ขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย จึงมีให้เห็นทั้งที่เป็นผื่นแดงราบ ตุ่มน้ำใสๆ ตุ่มกลัดหนอง และที่เริ่มตกสะเก็ด จึงทำให้คนสมัยก่อนเรียกโรคนี้ว่า อีสุกอีใส
การรักษาโรคอีสุกอีใส
เนื่องจากเป็นโรคที่หายเองได้ โดยอาจจะมีไข้อยู่เพียงไม่กี่วัน ส่วนตุ่มก็จะตกสะเก็ดและค่อยๆ หายไปภายใน 1 - 3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงควรพักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ ถ้ามีไข้สูง ใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ แต่ไม่ควรใช้ยาแอสไพริน เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการทางสมองและตับ ทำให้เสียชีวิตได้
ควรอาบน้ำและฟอกสบู่ให้สะอาด ตัดเล็บให้สั้น และหลีกเลี่ยงการแกะเกา เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้ หากคันมากๆ อาจให้ยาช่วยลดอาการคันได้ ปัจจุบันมียาที่ใช้ยับยั้งการเจริญของไวรัส แต่มีราคาแพง และต้องใช้ในปริมาณสูง นอกจากนี้จะต้องเริ่มใช้ภายในวันแรก มิฉะนั้นอาจไม่ได้ผลเลย หรือไม่ได้ผลดีพอ
ขอบคุณที่มา http://www.panyathai...ndex.php/...��ส
#20 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 12 April 2011 - 09:06 AM
#21
โพสต์เมื่อ 14 April 2011 - 12:02 PM
หายไวไวนะคะ
#22 *โอค๊คับ*
โพสต์เมื่อ 14 April 2011 - 05:42 PM
#23 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 16 April 2011 - 11:52 AM
#24
โพสต์เมื่อ 16 April 2011 - 05:43 PM
#25
โพสต์เมื่อ 16 April 2011 - 05:55 PM
แผลเป็น เป็นผลของการสมานบาดแผลตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นกับผิวหนังชั้นล่าง โดยร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมบาดแผลที่เสียหายให้เหมือนเดิมได้ บาดแผลจึงถูกทดแทนด้วยเนื้อเยื่อที่มีการจัดเรียงตัวอย่างไม่เป็นระเบียบ ซึ่งเกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์คอลลาเจนใต้ผิวหนัง
ลักษณะแผลเป็นที่เกิดจากโรคอีสุกอีใส
ลักษณะแผลเป็นที่เกิดจากโรคอีสุกอีใสจะเป็นแผลเป็นแบบ hypertrophic(10), keloid(12,14) และอาจเกิด hyperpigmented (รอยด่างดำ)(13) ได้
· Hypertrophic scar มีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อพังผืดที่นูนขึ้นตามแนวแผลมีรูปร่างคงเดิมตลอด และแนวความนูนหนาจะค่อย ๆ ลดลง ตามระยะเวลาที่ผ่านไป
· Keloid เป็นเนื้อเยื่อพังผืดที่ปูดนูนขึ้นตามรอยแผลเช่นเดียวกับ hypertrophic scar แต่จะขยายขนาดกว้างออกได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเลยแนวแผล ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหรือคันที่ keloid ได้ด้วย นอกจากนี้ยังไม่สามารถยุบตัวลงได้เหมือน hypertrophic scar และกลับเป็นซ้ำได้เมื่อผ่าตัดออก
· Hyperpigmentation คือ การทีผิวหนังมีสีน้ำตาลเข้มขึ้นหรืออาจเห็นเป็นสีคล้ำจนถึงดำ เกิดจากการที่มีเม็ดสีดำของผิวที่เรียกว่า melanin pigment เพิ่มในชั้นผิวหนัง
โดยทั่วไปผื่นจากโรคอีสุกอีใสจะหายโดยไม่มีแผลเป็นยกเว้นมีเชื้อแบคทีเรียมาแทรกซ้อน(2) แต่หากเกิดแผลเป็นจากโรคอีสุกอีใสโดยส่วนใหญ่จะเกิดแผลเป็นชนิด hypertrophic scars และ keloids นอกจากนี้โรคอีสุกอีใสยังอาจทำให้เกิดรอยด่างดำที่บริเวณรอยโรคได้ (hyperpigmentation)
การรักษาแผลเป็นอีสุกอีใส
ใช้แผ่นซิลิโคนแปะสามารถช่วยทำให้แผลเรียบเนียน และลดความแข็งของแผล hypertrophic scars ได้ ซึ่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เป็นแผ่น silicone แปะ เช่น Smooth E Scar Smooth®, CIca-care®, Hirudoid Scar Reducer® เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามการเกิดแผลเป็นแบบ keloids บางครั้งอาจต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนัง ซึ่งอาจต้องได้รับการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าบริเวณบาดแผล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผลเป็นนั้น ๆ
ส่วนการรักษาแผลเป็นชนิดรอยด่างดำ มีหลักฐานสนับสนุนการรักษาโดยใช้ hydroquinone ร่วมกับกรดวิตามินเอ (retinoid) และ corticosteroid เนื่องจากมีหลักฐานที่จะแสดงให้เห็นถึงผลการรักษาได้ดีที่สุด อย่างไรก็ดีมีรายงานการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจพบได้ เช่น การระคายเคืองเฉพาะที่ การเกิดผิวหนังร้อนแดง และการหลุดลอกของผิวหนัง ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย เช่น TRI-LUMA® เป็นต้น การรักษาดังกล่าวต้องใช้ครีมกันแดดร่วมด้วย และหลีกเลี่ยงแสงยูวี
ที่า เว็บไซต์ gotoknow.org
#26 **[email protected]**
โพสต์เมื่อ 16 April 2011 - 09:24 PM
ก็สงสัยทันที เพราะลูกชายก็เพิ่งเป็นเมื่อวันที่ 4 เม.ย.
ลูกเป็นปุ๊บไปหาหมอปั๊บ วันเดียวกันตัวเรากะลูกสาวก็ฉีดวัคซีน
เพื่อป้องกันไว้เลย แล้วก็ส่งลูกสาวไปนอนบ้านย่า
หมอบอกว่าถ้าแม่กะลูกสาวเป็นก็จะเป็นไม่มากนัก
แล้วก็ไม่ต้องมากระตุ้นเข็มที่ 2 (แม่อายุแค่ 33 เอ๊ง..)
ทีแรกนึกว่ารอด..แต่ก็ไม่รอด..ทำไงได้
ลูกคนเล็กสุดอ้อน ทั้งกอดทั้งหอม ดมตุ่มกันนั่นแหละ
ไม่ติดสิแปลกกว่า แต่ที่จะพูดก็คือ
วัคซีนป้องกันหรือช่วยบรรเทาได้จริงมั๋ยน้อ
วันนี้วันที่ 16 เม.ย. หวยออก นับตุ่มได้รวมกันก็ 200 กว่าแย้ว
เฉพาะที่หน้าก็ประมาณ 20 กว่าเม็ด ยังไม่รวมที่หัว
ที่คลำไปตรงไหนก็สะดุดกึก..เยอะแยะมากมาย
ตอนนี้สติแตก ติงต๊องไปเลย
ทำงานใช้หน้าตาซะด้วย สงสัยต้องเปลี่ยนงานเป็นภารโรงซะงั้น
หมอไม่ได้ให้ยาต้านไวรัสมากิน เพราะคิดว่าวัคซีนทีฉีดจะช่วยได้
ก็อาจจะนะ แต่คงแค่เล็กน้อย เพราะตุ่มก็ไม่กว้างมาก ขึ้นพอน่ารักน่าชัง
เพียงแค่เขวี้ยงกระจกแตกไปหลายบานแล้ว (ล้อเล่น)
สาวชราภาพ (30 up) ทั้งหลาย ถ้าไม่อยากเป็นหมาดัลเมเชี่ยนเหมือนดิฉัน
ก็จงเก็บตังค์ 1,000 บาท 2 ครั้ง = 2,000 บาท
ไปฉีดวัคซีนแต่เนิ่นๆ ซะ ขอให้ทุกคนโชคดีจ่ะ..
#27 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 18 April 2011 - 09:29 AM
นอนอยู่บ้านคันมากมายครับ พ่อก็บอกไม่ให้แกะ ห้ามกินของหวานของเผ็ด
#28
โพสต์เมื่อ 18 April 2011 - 08:23 PM
สาหร่ายหายดีแล้ว ไม่ค่อยมีแผลค่ะ
ช่วงที่เป็นก็พยายามนึกถึงบุญต่างๆ ที่ทำมาค่ะ เช่น ทำความสะอาดหอฉัน เก็บเพชรพลอย(ขยะ) ย้อมผ้าจีวร^^ ฯลฯ
นอกจากนึกแล้วก็ทำบุญใหม่ด้วยค่ะ ก็ไปปัด กวาด เช็ด ถู ห้องปฏิบัติธรรม
ด้วยผลบุญก็เลยทำให้หายไว ไม่มีแผลเป็นค่ะ
ลองดูกันนะคะ ^_______________^
#29
โพสต์เมื่อ 11 May 2011 - 04:35 PM
#30
โพสต์เมื่อ 11 May 2011 - 04:57 PM
พอวันที่สอง ตอนเย็น เอะ ! ทำไม สิวลามไปที่ตัว นับนับทั้งหน้าทั้งตัวเป็น สิบเม็ดได้
พอวันที่สาม ไปหาหมอ หมอให้ยามากิน ประมาณ 9 วัน สั่งหยุดงาน 3 วัน หมดบอกว่า 3 วันยุบแล้ว ตกตอนเย็น โดนที่บ้านบังคับกินยา
เขียว ซื้อมาจากร้านขายยาแผนปัจจุบัน เป็น 10 ห่อ
พอวันที่สี่ ขึ้นเพิ่มมาเพียบเลย สงสัยยาเขียวฤทธิ์คงแรงมาก ยาปัจจุบันสู้ไม่ไหว ขึ้นมามากกว่าเดิม เท่าตัว
พอวันที่ห้า นอนซม เลิกกินยาเขียวเลย ถ้าออกมากกว่านี้ มีหวังช็อกตายแน่ เนื่องจากอาการเจ็บแบบสิวขึ้นทั้งตัว แล้วตอนส่องกระจกดูสิว
ที่ค่อยๆ มากขึ้น ลามขึ้น จะเป็นลม
วันที่หก นอนซม .... ช่วงนี้ยังคงมีสิวแดงๆเจ็บๆ แปลงร่างเป็นตุ่มใสแจ๋วมากขึ้น บางตุ่มก็เริ่มเป็นหนองเหลืองๆแล้ว เริ่มคันตุ่มพวกนี้มาก
วันที่เจ็ด อาจการยังทรงอยู่ เริ่มมีสะเก็ดบ้าง
วันแปดถึงวันที่สิบสอง อาการดีขึ้น สะเก็ดดำเริ่มมากขึ้น วันหลังหลังเริ่มทะยอยตกสะเก็ดออกไป หลุดร่วงตามกาลเวลา เนื้อตรงสะเก็ดหลุด
เป็นสีชมพู ก็รอวันลุ้นให้ สะเก็ดหลุดไปเองเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ พร้อมปลงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดกับทุกคนจริงจริง