- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: มัชฌิมา072
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 60
- ดูโปรไฟล์ 7677
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
เพื่อน
มัชฌิมา072 ยังไม่มีเพื่อนในตอนนี้
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
กระทู้ที่ฉันเริ่ม
ทัศนคติ ต่อชีวิตที่น่าทึ่ง เจอรี่
30 December 2008 - 04:49 PM
ถ้ามีคนส่งเรื่องนี้ มาให้คุณอ่าน
นั่นก็เพราะว่า... เค้าใส่ใจ ในตัวคุณ
อ่านไปจนจบ แล้วคุณจะเข้าใจเอง ...
***************************
เจอรี่...
เป็นผู้จัดการ ของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในอเมริกา
...เขามักจะ มีอารมณ์ดีอยู่เสมอ...
และมักมี มุมมองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในแง่ดี
เวลาที่มีใคร ถามเขาว่า
...เขาทำแบบนั้นได้อย่างไร
เขามักจะตอบว่า...
" ถ้าผมสามารถ จะเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้อีก...ผม อยากจะมีฝาแฝด "
... พนักงานเสิร์ฟ ในร้านอาหาร ที่เขาทำอยู่ หลายคน
ออกจากงานไป พร้อมกับเจอรี่ เมื่อเขาออกจากงาน..
เพื่อจะได้ติดตาม เขาไปจากร้านหนึ่ง ไปยังอีกร้านหนึ่ง...
...
สาเหตุทั้งหมด ก็มาจากการเป็นคนมองโลกในแง่ดี
และทัศนคติ ของเจอรี่
เขาเป็นผู้ผลักดัน ให้กำลังใจ คนอื่นได้อย่างดีเยี่ยม
ถ้ามีลูกน้องคนไหน เจอเรื่องแย่ๆมา
เจอรี่ จะอยู่กับเขาเสมอ
พร้อมทั้งแนะนำ ลูกน้องคนนั้น
...ให้มองเห็นในด้านดีๆ หรือ สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ จากเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้น
วันหนึ่ง ฉัน ถามเจอรี่ว่า
" ฉันไม่เข้าใจ คนเราจะมองโลกในแง่ดี อยู่ตลอดเวลาได้ยังไง
คุณทำได้ยังไงนะ ..
..เจอรี่ ตอบว่า
" ทุกๆเช้า ผมจะตื่นขึ้นมา พร้อมกับบอกตัวเองว่า...
ผมมีทางเลือก " สองทาง "สำหรับวันนี้
ผมเลือก ที่จะมีอารมณ์ดี ตลอดทั้งวันก็ได้
หรือว่า เลือก ที่จะมีอารมณ์เสียตลอดทั้งวัน
..ก็ได้เหมือนกัน
ซึ่งผม มักจะเลือกอารมณ์ดี
หรือบางครั้ง ถ้ามีเหตุการณ์แย่ๆเกิดขึ้น
เราก็เลือกได้เหมือนกัน
ว่าจะเป็น เหยื่อ ของเหตุการณ์ นั้น
..หรือว่าเลือก ที่จะเรียนรู้มัน
ผม มักเลือกที่จะเรียนรู้..
ทุกครั้ง...ที่มีคนมาติ มาบ่น อะไร
มีทางเลือกให้เราเลือกได้ว่าจะยอมรับเสียงบ่น เหล่านั้น
หรือจะมองหา ด้านดีของชีวิต
..ผมเลือกอย่างหลัง..
"แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ" ฉันแย้ง
"ใช่ มันไม่ง่ายเลย"เจอรี่กล่าว
"ชีวิต ล้วนเต็มไปด้วย ทางเลือก "
"เมื่อคุณ ตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดออกไปแล้ว
ทุกสถานการณ์ ต่างก็มีทางเลือก ของมัน ..."
"คุณ เลือกได้ว่า จะสนองตอบตามเหตุการณ์นั้น อย่างไร
คุณเลือกได้ว่า จะให้ผู้คนรอบข้าง มีผลกับความรู้สึก ของคุณอย่างไร
คุณเลือก ที่จะมีอารมณ์ดี หรือ แย่ก็ได้
มัน เป็นทางเลือก ว่าคุณจะใช้ชีวิต ของคุณอย่างไร "
...
หลายปีต่อมา...
ฉันได้ยินข่าว ว่า
..เจอรี่ ลืมล๊อคประตูหลังร้าน และถูกปล้นโดยโจรสามคนที่มีอาวุธ!!!
และ ระหว่าง ที่เจอรี่พยายามเปิดเซฟ มือของเขาสั่น... ทำให้เกิดพลาด
.. โจรพวกนั้น จึงยิงเขา
โชคดี ที่มีคนมาพบ และนำเขาส่งโรงพยาบาล ได้ทันท่วงที
หลังจากการผ่าตัด ที่ยาวนานถึง 18 ชั่วโมง
และการดูแลรักษา ในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด
เจอรี่ ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล พร้อมกับเศษกระสุนในร่างกาย
...
ฉันพบกับเจอรี่ 6 เดือน หลังจากเหตุการณ์นั้น
เมื่อฉันถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขายังคงตอบว่า..
" ถ้าผมเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้ ผมจะเป็นฝาแฝด อยากดูแผลของผมมั๊ย"
ฉันตอบปฎิเสธ
แต่กลับถาม ถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามา ในความรู้สึกของเขาหลังจาก
ที่ โจรพวกนั้นออกไป
"..อย่างแรกที่ผมคิด คือผมไม่ได้ล๊อคประตูหลังของร้าน
และหลังจากที่โดนยิงล้มลงบนพื้น ผมก็ยังคงจำได้ว่า
ผมยังมีทางเลือกสองทางนี่นา
จะมีชีวิตต่อไป หรือว่าจะตายเสียในตอนนั้น ...
ผม เลือกที่จะอยู่ต่อไป..
" คุณไม่กลัวเหรอ" ฉันถาม
เจอรี่เล่าต่อไป
"เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ ทำหน้าที่อย่างดีมาก
พวกเค้าคอยบอกว่า ผมจะปลอดภัย
แต่เมื่อพวกเขา เข็นผมเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
ผมก็ได้เห็นความกดดัน บนใบหน้าของหมอ และพยาบาล
ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกกลัว !! ขึ้นมาจริงๆ"
"ในสายตา ของพวกเขา เต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า " เขาตายแล้ว"
ผมรู้ทันที ว่าผม ต้องทำอะไร ซักอย่าง
ผมต้องแสดง ปฎิกริยาให้พวกเขารู้ว่า ผมยังอยู่.."
"คุณทำอย่างไร" ฉันรีบถาม
" อืม..มีนางพยาบาลคนหนึ่ง ตะโกนถามผมว่า ผมแพ้อะไรรึเปล่า
ผมตอบว่า " มี..."
นางพยาบาล และหมอ ต่างก็หยุดทำงาน
รอฟังคำตอบ จากผม
ผมหายใจลึกๆ และตอบว่า " กระสุน!.."
"...หลังจากที่พวกเขา หัวเราะออกมา...
ผมบอกกับพวกเขาว่า
ผม...เลือกที่จะมีชีวิตอยู่
...โปรดรักษาผม อย่างคนมีชีวิต..
ไม่ใช่ คนตาย.. นะครับ
...
เจอรี่ ใช้ชีวิตอยู่ต่อมา ด้วยความรู้สึกขอบคุณ ในความสามารถของหมอ
แต่มัน ก็เป็นเพราะทัศนคติ ต่อชีวิตที่น่าทึ่งของเขาด้วย
ฉัน ได้เรียนรู้จากเขาว่า ... ทุกๆวัน
คุณ มีทางเลือกของชีวิต..
คุณ เลือกที่จะรัก หรือว่าเกลียด ชีวิตของคุณเองก็ได้
สิ่งเดียว ที่เป็นของคุณจริงๆ
และไม่มีใครสามารถ นำมันไปจากคุณได้ก็คือ...
ความคิด และทัศนคติ ของคุณเอง
เพราะฉะนั้น
..ถ้าคุณสามารถ ใส่ใจกับมันได้
อย่างอื่น...ในชีวิตก็จะง่ายดายมากขึ้น..
ในปีหน้านี้ คุณมีทางเลือก สองทาง ที่จะทำ
1, คุณ จะจบการอ่าน ข้อความนี้...บอกเพียงว่าสนุกดี หรือ
2. คุณ จะนำข้อความนี้ ไปลงมือเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่
หรือนำไปให้ คนที่คุณ ใส่ใจในตัวเขา ได้รับทราบ
สำหรับฉัน ,,,ฉันเลือกแล้วค่ะ...
...สวัสดี ปีใหม่..2552 ค่ะ
..ตะปูแห่งการเรียนรู้..
12 December 2008 - 04:08 PM
..ตะปูแห่งการเรียนรู้..
... มีเด็กน้อยเจ้าอารมณ์ คนหนึ่ง เดินเข้ามาในบ้าน
มีสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก
..พ่อของเขา คิดจะสอนลูกชายตัวน้อย
..จึงยื่นฆ้อน และ ตะปูให้กับเขา 1 ถุง
และบอกกับเขาว่า..
“ทุกครั้ง ที่ลูก รู้สึกโมโห โกรธ หรือต่อว่า ใส่ใครสักคน
ให้เดินไปตอกตะปู ไปที่รั้วหลังบ้าน 1 ตัว ”
เพียงอาทิตย์แรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้น ตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว
และ ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน ที่ผ่านไป
ก็ลดจํานวนลง น้อยลง น้อยลง
เพราะเขารู้สึกว่า..
... การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบ ง่ายกว่าการเดินไป ตอกตะปูตั้งเยอะ ...
และแล้ว หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น
เด็กน้อย..จึงเข้าไปพบกับพ่อ
และบอกกับพ่อของเขา อย่างภูมิใจว่า
ตอนนี้..เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว
ไม่ขี้โมโห เหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมาแล้ว เพราะเขาไม่เคยไปตอกตะปูอีกเลย..
ผู้เป็นพ่อยิ้ม..อย่างอบอุ่น และบอกกับลูกชาย ของเขาว่า..
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ลูกต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้
โดยทุกๆ ครั้ง ที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้
ให้เดินไป ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง”
วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้น ก็ค่อยๆ ถอนตะปูออก
ทีละตัว จาก 1 เป็น 2 .... จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุด
ตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออก จนหมด...
เด็กน้อยดีใจมาก รีบวิ่ง ไปบอกกับพ่อเขาว่า..
“ผมทำได้ ในที่สุดผม ก็ทำจนสำเร็จ !!”
พ่อของเขายิ้ม..ไม่ได้พูดอะไร
แต่ จูงมือลูกชาย ออกไปที่รั้วหลังบ้าน
-และบอกกับลูกว่า
“ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ
...แต่...
..ลูก.. ลองมองกลับไป ที่รั้วเหล่านั้นสิ
เห็นหรือไม่ ว่ารั้วนั้น มันไม่มีทาง สวยกลับไปเหมือนเดิม มีแต่รอยตะปูลึก..
ไม่เหมือน..กับ ที่มันเคยเป็นมา.. "
...จงจำไว้นะลูก...
...เมื่อใดก็ตาม...ที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์
สิ่งนั้น..มันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอาตะปู ตอกลงไปบนพื้นไม่เรียบสวย..
ต่อให้ใช้คำพูด ว่า “ขอโทษ” สักกี่หน
ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผล
...ที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ เหมือนที่ลูกถอนตะปูออกแล้ว..
แต่ก็ยังมีร่องรอย..ขรุขระ รอยบากลึก..บนพื้นผิว ตลอดไป..
...ลูก...จงจดจำไว้เสมอ ว่า
“คำขอโทษ” นั้น..ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือไม่ก็ตาม..
...แต่ สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ รอยร้าว..
ที่เขาคนนั้น..อาจไม่สามารถ..ลืมมันได้ ...ตลอดไป”
"จำไว้นะ ... การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบนั้น
..ง่าย กว่าการเดินไปตอกตะปู
..แล้วต้อง ไปถอนออกภายหลัง ตั้งเยอะ
...แถมไม่มีรอยใดๆ ทิ้งไว้ให้ร้าวรานใจ อีกด้วย นะลูกนะ.."
... มีเด็กน้อยเจ้าอารมณ์ คนหนึ่ง เดินเข้ามาในบ้าน
มีสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก
..พ่อของเขา คิดจะสอนลูกชายตัวน้อย
..จึงยื่นฆ้อน และ ตะปูให้กับเขา 1 ถุง
และบอกกับเขาว่า..
“ทุกครั้ง ที่ลูก รู้สึกโมโห โกรธ หรือต่อว่า ใส่ใครสักคน
ให้เดินไปตอกตะปู ไปที่รั้วหลังบ้าน 1 ตัว ”
เพียงอาทิตย์แรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้น ตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว
และ ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน ที่ผ่านไป
ก็ลดจํานวนลง น้อยลง น้อยลง
เพราะเขารู้สึกว่า..
... การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบ ง่ายกว่าการเดินไป ตอกตะปูตั้งเยอะ ...
และแล้ว หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น
เด็กน้อย..จึงเข้าไปพบกับพ่อ
และบอกกับพ่อของเขา อย่างภูมิใจว่า
ตอนนี้..เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว
ไม่ขี้โมโห เหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมาแล้ว เพราะเขาไม่เคยไปตอกตะปูอีกเลย..
ผู้เป็นพ่อยิ้ม..อย่างอบอุ่น และบอกกับลูกชาย ของเขาว่า..
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ลูกต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้
โดยทุกๆ ครั้ง ที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้
ให้เดินไป ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง”
วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้น ก็ค่อยๆ ถอนตะปูออก
ทีละตัว จาก 1 เป็น 2 .... จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุด
ตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออก จนหมด...
เด็กน้อยดีใจมาก รีบวิ่ง ไปบอกกับพ่อเขาว่า..
“ผมทำได้ ในที่สุดผม ก็ทำจนสำเร็จ !!”
พ่อของเขายิ้ม..ไม่ได้พูดอะไร
แต่ จูงมือลูกชาย ออกไปที่รั้วหลังบ้าน
-และบอกกับลูกว่า
“ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ
...แต่...
..ลูก.. ลองมองกลับไป ที่รั้วเหล่านั้นสิ
เห็นหรือไม่ ว่ารั้วนั้น มันไม่มีทาง สวยกลับไปเหมือนเดิม มีแต่รอยตะปูลึก..
ไม่เหมือน..กับ ที่มันเคยเป็นมา.. "
...จงจำไว้นะลูก...
...เมื่อใดก็ตาม...ที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์
สิ่งนั้น..มันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอาตะปู ตอกลงไปบนพื้นไม่เรียบสวย..
ต่อให้ใช้คำพูด ว่า “ขอโทษ” สักกี่หน
ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผล
...ที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ เหมือนที่ลูกถอนตะปูออกแล้ว..
แต่ก็ยังมีร่องรอย..ขรุขระ รอยบากลึก..บนพื้นผิว ตลอดไป..
...ลูก...จงจดจำไว้เสมอ ว่า
“คำขอโทษ” นั้น..ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือไม่ก็ตาม..
...แต่ สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ รอยร้าว..
ที่เขาคนนั้น..อาจไม่สามารถ..ลืมมันได้ ...ตลอดไป”
"จำไว้นะ ... การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบนั้น
..ง่าย กว่าการเดินไปตอกตะปู
..แล้วต้อง ไปถอนออกภายหลัง ตั้งเยอะ
...แถมไม่มีรอยใดๆ ทิ้งไว้ให้ร้าวรานใจ อีกด้วย นะลูกนะ.."
...นิทานก่อนทำงาน...
03 December 2008 - 02:10 PM
...นิทานก่อนทำงาน...
เจ้านายหน้าขรึม พา ผจก.ฝ่ายบุคคล และเลขานุการ'
ไปทานข้าวเที่ยง ในร้านอาหาร ที่ตกแต่งแบบโบราณ...
ในช่วง ขณะที่รออาหาร อยู่นั้น...
""""ผจก.ฝ่ายบุคคล ได้เอามือไปถูกาน้ำรูปร่างประหลาดบนโต๊ะเล่น!!"""""
และ ในทันใดนั้นเอง!!
ก็มีควันพวยพุ่งออกมา....
แน่นอนว่า ตามท้องเรื่อง นิทานเก่าแก่
...มัน...จะต้องมียักษ์จินนี่....ปรากฎกายออกมา แล้วพูดว่า...
' เราจะให้พรสามประการ แก่พวกท่าน แต่เนื่องจากพวกท่านมากันสามคน จงแบ่งพร คนละข้อ'
ผจก.ฝ่ายบุคคลผู้อ่อนล้าชิงยกมือก่อนเป็นคนแรก แล้วรีบพูดว่า
'ขอ ผมก่อน ผมก่อน! ขอให้ผมได้ไปใช้ชีวิตสงบๆบนเกาะสมุยซัก 2 สัปดาห์ '
จากนั้น ฟุ่บ!.....ร่างของเขาก็หายวับไปกับตา!!
และในเพียงชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา นั้น เลขานุการสาว...
รีบชิงฉวยโอกาส ขอพรเป็นคนต่อไป เธอรีบพูดว่า
' ขอให้ฉันกลายเป็นสาวไฮโซ ผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก '
และแล้ว ....และแล้ว... ฟุ่บ!.....
ร่างของเธอก็หายวับไป....ต่อหน้าต่อตาเจ้านาย
เจ้านายจอมบ้างาน ย่นคิ้ว หน้าตาไม่พอใจอย่างมาก
..ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า.... 'ตาฉันบ้างล่ะ ......
ฉันขอให้ไอ้สองคนตะกี้ กลับมาทำงาน ตอนบ่ายโมงตรง '
จบ....
555
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า......ควรปล่อยให้เจ้านายของคุณ....เป็นคนพูดก่อนเสมอ
เจ้านายหน้าขรึม พา ผจก.ฝ่ายบุคคล และเลขานุการ'
ไปทานข้าวเที่ยง ในร้านอาหาร ที่ตกแต่งแบบโบราณ...
ในช่วง ขณะที่รออาหาร อยู่นั้น...
""""ผจก.ฝ่ายบุคคล ได้เอามือไปถูกาน้ำรูปร่างประหลาดบนโต๊ะเล่น!!"""""
และ ในทันใดนั้นเอง!!
ก็มีควันพวยพุ่งออกมา....
แน่นอนว่า ตามท้องเรื่อง นิทานเก่าแก่
...มัน...จะต้องมียักษ์จินนี่....ปรากฎกายออกมา แล้วพูดว่า...
' เราจะให้พรสามประการ แก่พวกท่าน แต่เนื่องจากพวกท่านมากันสามคน จงแบ่งพร คนละข้อ'
ผจก.ฝ่ายบุคคลผู้อ่อนล้าชิงยกมือก่อนเป็นคนแรก แล้วรีบพูดว่า
'ขอ ผมก่อน ผมก่อน! ขอให้ผมได้ไปใช้ชีวิตสงบๆบนเกาะสมุยซัก 2 สัปดาห์ '
จากนั้น ฟุ่บ!.....ร่างของเขาก็หายวับไปกับตา!!
และในเพียงชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา นั้น เลขานุการสาว...
รีบชิงฉวยโอกาส ขอพรเป็นคนต่อไป เธอรีบพูดว่า
' ขอให้ฉันกลายเป็นสาวไฮโซ ผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก '
และแล้ว ....และแล้ว... ฟุ่บ!.....
ร่างของเธอก็หายวับไป....ต่อหน้าต่อตาเจ้านาย
เจ้านายจอมบ้างาน ย่นคิ้ว หน้าตาไม่พอใจอย่างมาก
..ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า.... 'ตาฉันบ้างล่ะ ......
ฉันขอให้ไอ้สองคนตะกี้ กลับมาทำงาน ตอนบ่ายโมงตรง '
จบ....
555
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า......ควรปล่อยให้เจ้านายของคุณ....เป็นคนพูดก่อนเสมอ
^_______^
..มีเงิน 10 บาท ซื้อขนมไป 3 บาท ได้เงินทอนเท่าไหร่..
02 December 2008 - 05:40 PM
..มีเงิน 10 บาท ซื้อขนมไป 3 บาท ได้เงินทอนเท่าไหร่..
ไม่รู้เคยอ่านกันยัง แต่ ดี..
เงินสิบบาท
ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร?
ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็ก
'ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร'
...
เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท'
แต่มีเด็ก 2 คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น
คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท'
อีกคนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ต้องทอน'
ครูถามเด็กคนแรก ว่าทำไม ถึงได้เงินทอน 2 บาท
คำตอบที่ได้ ก็คือภาพในใจของเขา สำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ
เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ
ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท...
พอถามเด็กคนที่สองว่า ทำไม ไม่เหลือเงินทอนเลย..
คำตอบก็คือ เด็กคนนี้ คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ
เมื่อซื้อของราคา 3 บาท
เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ..
เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา
นี่เป็นเรื่องโชคดี ที่เป็นการถาม-ตอบ กันในห้องเรียน
ลองนึกดูสิว่า ถ้าโจทย์นี้ เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น
ปรนัย ก-ข-ค-ง
เด็กทั้ง 2 คนนี้ ก็คงไม่ได้คะแนน จากคำตอบที่ไปผิดเพี้ยน
จากคนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จากจินตนาการของ 'ครู'
อาจถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัวเลข'
แต่..สำหรับเด็ก
..จินตนาการของเขาไร้กรอบ
ภาพ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนจาก..
เหรียญสิบ เป็น เหรียญสิบ เหรียญห้า หรือ เหรียญบาท
..เมืองไทย มีเหรียญ 2 บาทอีก..
เราจะได้คำตอบ เพิ่มอีก 1 คำตอบ
คือ ได้เงินทอน 1 บาท..
...
โลกในห้องเรียน กับโลกของความเป็นจริง ...นั้นแตกต่างกัน
โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่ มีเพียง 1 คำตอบ..
และเป็นคำตอบที่ครูคนหนึ่งๆ พอใจที่สุด เท่านั้น
วินิจฉัยจึงแคบ..
แต่โลกของความเป็นจริง
ทุกคำถามอาจมีคำตอบ ที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ
ฟังเรื่องดีๆนี้แล้ว..
จงอย่ารีบด่วน ตัดสินคนนึงๆ ว่ามีความผิด
เพียงแค่ คำตอบของเขา ไม่ตรง
กับคำตอบ ของเรา'
จินตนาการของเรา อาจด้อยกว่าของเขา..
เปิดใจกว้างๆ คือ หนทาง...
ของคนมีปัญญา นะคะ
...
...
“Trick or treat?”
31 October 2008 - 05:42 PM
ฮาโลวีน 2008
วันฮาโลวีน (อังกฤษ : Halloween) เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ในประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์น (jack-o’-lantern)
การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน
ประวัติ
วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่
ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็น จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป
...
บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา “คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง” เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสต์กาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์
ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสต์กาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์ แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป
ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน ‘All Souls’ พวกเขาจะเดินร้องขอ ‘ขนมสำหรับวิญญาณ’ (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
การเล่น trick or treat ตามบ้านคน
ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้
จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ ‘ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก’ แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก
ปีศาจจึงให้ถ่าน ที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่า ความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพ ที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น
ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง ‘การหยุดยั้งความชั่ว’ Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น
แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า
ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า “Trick or treat?”
เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด...
วันฮาโลวีน (อังกฤษ : Halloween) เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ในประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์น (jack-o’-lantern)
การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน
ประวัติ
วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่
ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็น จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป
...
บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา “คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง” เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสต์กาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์
ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสต์กาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์ แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป
ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน ‘All Souls’ พวกเขาจะเดินร้องขอ ‘ขนมสำหรับวิญญาณ’ (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
การเล่น trick or treat ตามบ้านคน
ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้
จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ ‘ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก’ แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก
ปีศาจจึงให้ถ่าน ที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่า ความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพ ที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น
ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง ‘การหยุดยั้งความชั่ว’ Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น
แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า
ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า “Trick or treat?”
เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด...
แล้วคุณล่ะ “Trick or treat?”
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: มัชฌิมา072
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·