ทำงานอยู่ CP จะเป็นอะไรมั้ยครับ ผู้รู้ช่วยตอบหน่อย
#1 *Phot*
โพสต์เมื่อ 19 October 2005 - 03:26 PM
ชื่อ Phot
เริ่มงานกับ CP : 2 กันยายน 2546
ตำหน่ง : วิศวกรด้านเครื่องจักร (จบเครื่องกลมาครับ)
สังกัด : บ.กรุงเทพฯ อาหารสัตว์ ในเครือ CP
หน้าที่รับผิดชอบ : ทำแบบติดตั้งเครื่องจักรผลิตอาหารสัตว์ ประเมินราคางานก่อสร้างเครื่องกล
ควบคุมงานติดตั้ง ทดสอบการเดินเครื่องจักร
Comment : ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสัตว์. ฆ่าสัตว์ ดูแลรักษาสัตว์ แต่อย่างใดครับ
ผมสงสัยว่า การทำงานกับ CP ของผมนั้น จะเป็นบาปหรือไม่ประการใด หรือจะคิดแค่ว่าเป็นแค่หน้าที่
หรือไม่อย่างไร ผมเคยถามผ่านไปยังรายการหลวงพ่อตอบปัญหา เพื่อให้หลวงพ่อทัตตะฯ ตอบ แต่คิดว่าปัญหา
คงไปไม่ถึง พอดีเข้ามาที่ DMC Webboard ก็เลยลงถามดูครับ
ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยตอบปัญหาให้หน่อยครับ ฟันธง มาเลย ผมไม่ต้องการค้างคาใจครับ ดีหรือไม่
ประการใดผมจะได้ทำการเปลี่ยนแปลง หรือว่าควรจะอยู่ต่อ
ปัจจุบันผมไปวัดเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน อาทิตย์ปกติถ้าว่างก็ไป ทำบุญที่หลวงพ่อให้ทำ ก็ตกหล่นบ้างเป็นบางบุญ
ถ้าเป็นบาปจะมีวิบากกรรมอย่างไรบ้างครับ
ขอขอบพระคุณในคำตอบของทุกท่านครับ
#2
โพสต์เมื่อ 19 October 2005 - 04:37 PM
ทุกๆ วันนางจะต้องคอยส่งธนู หน้าไม้ ให้สามีนายพรานไปล่าสัตว์ ต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดครอบครัวของนาง โดยปล่อยสัตว์ที่สามีนางดักไว้ พอสามีมาเห็นก็โกรธจึงได้ยกธนูจะยิงพระพุทธเจ้า แต่ด้วยพุทธานุภาพ ธนูนั้น ยิงไม่ออก และสามีก็เหมือนถูกสกัดจุดขยับตัวไม่ได้ (แบบหนังจีนกำลังภายใน)
นางเห็นสามีหายไปนาน จึงให้ลูกๆ ไปตาม ลูกๆ ไปเห็น พ่อกำลังจะยิงพระพุทธเจ้า ก็เข้าใจว่า คนนี้คือศัตรูของพ่อ จึงยกธนูจะยิงเหมือนกัน ปรากฏว่า ยิงไม่ออก และก็มีอาการ เหมือน พ่อคือ เหมือนถูกสกัดจุด เหมือนกัน
ต่อมา นางเห็นลูกหายไปนาน จึงออกไปตาม เห็นสามี และลูก กำลังเล็งยิงพระพุทธเจ้า จึงร้องบอกไปว่า "อย่ายิงพ่อของฉัน" สามีเข้าใจไปว่า นี้คือ พ่อตา ก็เลยเลิกเล็งยิง ก็ขยับตัวได้ ส่วนลูกๆ เข้าใจว่า นี้คือ คุณตา ก็เลยเลิกเล็งยิง แล้วก็ขยับตัวได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้า เทศน์โปรด นายพราน บรรลุ โสดาบัน เลิกอาชีพ นายพราน
ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันว่า ทำไม นางเป็นพระโสดาบัน ถึงไปส่งธนู หน้าไม้ ให้สามี ไปฆ่าสัตว์
พระพุทธเจ้าเสด็จมา จึงตรัสว่า บาป ย่อมไม่มีแก่ลูกของเรา นางเพียงตั้งใจทำหน้าที่ของภรรยาให้ดีที่สุด ไม่มีจิตคิดฆ่าสัตว์แม้แต่น้อย
เรื่องก็เป็นดังนี้แหละครับ
#3 *Guest*
โพสต์เมื่อ 19 October 2005 - 08:06 PM
#4 *Guest*
โพสต์เมื่อ 20 October 2005 - 10:04 AM
#5 *Guest*
โพสต์เมื่อ 20 October 2005 - 10:04 AM
#6
โพสต์เมื่อ 20 October 2005 - 10:28 AM
จะเป็นบุญ หรือบาป ควรดูที่เจตนา ครับ
ดังพระพุทธพจน์ ที่ตรัสไว้ใน นิพเพธิกสูตร ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ตัวอย่าง เจตนา ที่เป็นทางบุญ ขอยกพระพุทธพจน์ ที่ตรัสไว้ใน ชัปปสูตร ดังนี้ :-
ดูกรวัจฉะ ก็เราพูดเช่นนี้ว่า ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะ หรือน้ำล้างขันไป
แม้ที่สัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำคลำ หรือที่บ่อโสโครกข้างประตูบ้าน ด้วยตั้งใจว่า
สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั้นจงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้นเถิด ดังนี้
ดูกรวัจฉะ เรากล่าวกรรมซึ่งมีการลาดน้ำล้างภาชนะนั้นเป็นเหตุว่า
เป็นที่มาแห่งบุญ จะป่วยกล่าวไปไยถึงในสัตว์มนุษย์เล่า
ถ้ายังไม่เคลีย ไปดูในบอร์ดนี้
http://www.budpage.c...t.pl?b=1&t=3329
#7
โพสต์เมื่อ 26 October 2005 - 01:08 PM
ถ้าจิตขุ่นมัว ... เปลี่ยนงานได้ก็ดี ...
เพราะตามที่ผมเข้าใจคือ คุณรู้สึกว่าไม่ดี ... กลัวบาปกรรม
แต่ก็เสียดายงานที่ทำอยู่ ...
คือ ความรู้สึกที่เป็นคนมีศีล 5 มักไม่ชอบ เห็น ได้ยิน หรือฟัง เรื่องการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต
พอได้ฟังแล้ว ใจมันไม่ดี รู้สึกเศร้าหมอง
แต่คุณมีมโนสำนึกที่ดี ... คอยตอกย้ำอยู่แบบนี้ แก้ไขได้ยากครับ
จึงควรห่าง ๆ ไว้ก็ดี ...
แต่สำหรับบางคนที่เขาปล่อยวางตรงนี้ได้ ... เขาก็จะไม่มัวหมอง ... ก็ปล่อยให้เขาทำไป
ถ้าที่บ้านไม่ว่าอะไร ... ไม่มีปัญหาด้านการเงิน หรือ ไม่มีพันธะกับใคร ... แนะนำว่า หางานใหม่ดีกว่าครับ ... ( อันนี้สำหรับคุณคนเดียว แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่วางใจได้ ไม่ต้องหางานใหม่ก็ได้ครับ )
แต่ถ้าเดือดร้อนเรื่องเงิน ... ก็ต้องเสี่ยงแรงกรรม ... แต่ผมคิดว่า
ถ้าเราฝึกนิสัย รังเกียจงานที่เกี่ยวข้องกับการผิดศีล ... มันจะติดตัวเราไปข้ามชาติได้
ถ้าเลือกได้ ... อยู่ให้ห่าง ๆ งานเหล่านี้ไว้ ... ก็ดีครับ
#8 *Guest*
โพสต์เมื่อ 26 October 2005 - 01:35 PM
ตรงนี้ก็เลยคิดว่าถ้าเราไม่สามารถตัดความรู้สึกกังวลใจได้ก็ลองสมัครงานที่อื่นดูก็ได้ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าเราตัดใจได้ว่าเราไม่เกี่ยวกับการฆ่า แล้วไม่กังวลก็คงไม่เป็นไรหรอก
แต่ถ้าเป็นเราเราคงลองมองหางานใหม่ดู เป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับตัวเองด้วยนะ นายเชื่อไหม เรานะแม้แต่น้ำเปล่ายี่ห้อง สิงห์ กับ ช้าง เรายังไม่ซื้อกินเลย รู้สึกว่าไม่อยากส่งเสริมหรือเกี่ยวข้องกับมิจฉาอาชีวะพวกนี้
#9 *Guest*
โพสต์เมื่อ 27 October 2005 - 12:06 AM
#10
โพสต์เมื่อ 27 October 2005 - 10:24 AM
ถามว่า ถ้าเรา กินเนือสัตว์ เท่ากับเรา ส่งเสริม ให้คน ฆ่าสัตว์หรือไม่ การที่เรามีเงินมีทรัพย์มาก แสดงว่าเรา เป้น สาเหตให้คนเป็นโจรหรือไม่ ถ้าเราเป็น พนักงานชงกาแฟ ให้อธิปดี กรมประมง จะเป็นเครื่องช่วยให้ท่าน กระปรี้กระเปร่า ทำงานจับปลา ได้มากขึ้นหรือไม่ หรือ เป็นพนักงาน ติดตั้งชุมสายโทรศัพ เป็นเหตให้คนใช้สัญญาณมือถือจุดระเบิดหรือป่าว
การที่กล่าวมาทั้งหมด มิใช่ให้ปล่อยปละละเลย ไม่ระวังเรื่องศีลธรรม หากแต่เป็นเพียงแนวทางว่า ให้เรา รักษาศีล แบบไม่ซีเรียส ไม่เคร่งเครียด แต่เคร่งครัด
มีภิกษุรูปหนึ่ง ไม่กล้าบวชเพราะเกรงว่าจะรักษาศีล227ไม่ไหว พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาติให้รักษาศีลเพียงข้อเดียว คือการทำใจให้เบิกบานตลอดเวลา ไม่นาน พระรูปนั้นก็บรรลุอรหัตผลครับ
#11
โพสต์เมื่อ 28 October 2005 - 08:17 AM
เสี่ยงแรงกรรมดู .. เช่น ถ้ามีเพื่อน ... ชาติหน้าเพื่อนอายุอาจสั้น มีโรคประจำตัวเยอะ ก็ปล่อยวาง ...
แล้วก็ถามว่า ทำไมคนที่เรารู้จัก ป่วยโน่นป่วยนี่ตลอด ...
หรือ ทำไมคนที่เรารู้จัก ไม่มีสัมมาทิฐิ หรือจิตใจโหดร้าย ฆ่าสัตว์ต่อหน้าเรา ...
ชวนทำบุญ ก็ไม่ทำ รักษาศีลก็ไม่เอา ...
คงจะประมาณนี้มั๊งครับ ...
การกินเนื้อสัตว์ เคยอ่านในหนังสือ คล้ายๆ ว่า คุณยายบอกว่า "ใช้ธาตุ เลี้ยงธาตุ"
จริง ๆ แล้ว ถ้าเขาไม่ฆ่า ผมก็ไม่กิน ...
แต่ถ้าสั่งใคร ให้ไปฆ่าสัตว์ มาให้กิน ผมก็ไม่ทำหรอกครับ ... สงสารมัน .. ไม่ได้กลัวผิดศีล5 ... แต่สงสาร ... เพราะเป็นคนรักสัตว์
แต่ถ้ามันตายแล้ว ... หรืออยู่ในจาน เฉย ๆ ครับ ... กินได้อร่อยดี
กรณีของคุณ เหมือนกับ ไม่ศรัธทาในงานที่ทำ ... เพราะเกรงผลของกรรม โดยจิตสำนึกรู้ดี รู้ชั่ว เป็นตัวกำหนด
ชีวิตของเรา ถ้าเลือกได้ ... ก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเราเอง
ถ้าต้องมีชีวิต แบบเสี่ยงแรงกรรม ... ใจหมองแบบนี้
ไม่ดีครับ ....
การได้ยินสิ่งดี ๆ จะทำให้ใจผ่องใสอยู่เสมอ ...
การได้ยิน หรือได้ฟัง หรือได้รับรู้สิ่งไม่ดี ... จะทำให้ใจเศร้าหมอง ...
ดู ๆ แล้ว อายุคุณยังไม่เท่าไหร่ ...
ถ้าตัดมโนสำนึกที่ดี หรือปล่อยวาง เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ ... ควรเปลี่ยนงานครับ
เว้นเสียแต่ มีความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ ... ค่อยหาวิธีปล่อยวางครับ
ศีล5ข้อ ... ละได้ยากที่สุด คือ ข้อ4 การพูด
ข้ออื่น ๆ ง่ายมาก ... แต่คุณมาติดตรงข้อ 1
ถ้าเทียบกับนักสร้างบารมีท่านอื่น ๆ คุณยังเป็นรองอยู่นะ
เพราะคุณตัดใจเรื่องงานของคุณไม่ได้ ....
จริง ๆ แล้ว การประกอบอาชีพ เป็นเรื่องอาชีวะศีล
อยู่ใน หัวข้ออะไรหว่า ? จตุรงค์ศีล หรือเปล่า ไม่แน่ใจ ( เช่น ปาฏิโมกข์ศีลสังวรณ์, ปัจจัยนิสิต4, อาชีวะศีลสังวรณ์, อินทรีย์ศีลสังวรณ์ )
คนจีนรุ่นก๋งของผม ... สั่งพ่อผมไว้เลยว่า ...
จะรวยยังไงก็ได้ ... แต่ห้ามทำธุรกิจ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โดยเด็ดขาด ...
คุณคิดว่าอย่างไรครับ ?
ถามจิตใต้สำนึกคุณดูก็แล้วกัน
#12 *Guest*
โพสต์เมื่อ 28 October 2005 - 12:54 PM
#13 *Guest*
โพสต์เมื่อ 28 October 2005 - 10:19 PM
ก่อนหน้านี้พอดีผมได้งานส่งออกอาหารที่ต้องใช้วัตถุดิบจากปลาทูน่า เลยไม่แน่ใจว่างานนี้จะมีส่วนสนับสนุนการฆ่าสัตว์หรือป่าว เลยไปกราบถามพระอาจารย์ไพบูลย์ คำถามและตอบเป็นดังนี้นะครับ (ใจความนะครับ)
พระอาจารย์ - เราสั่งให้เขาฆ่าสัตว์หรือป่าว
ผม - ผมสั่งซื้ออาหารอย่างเดียวแต่ไม่ได้สั่งฆ่า
พระอาจารย์ - แล้วปลาทูน่าเนี่ยไปเอามาจากไหน
ผม - บริษัทที่ผมจะไปทำเค้ามีบริษัทที่เอาปลาส่งมาให้บริษัทผมเพื่อนำไปแปรรูปทำเป็นอาหารครับ
พระอาจารย์ - แล้วบริษัทเราเนี่ย มีเรือประมงเป็นของตัวเองหรือป่าว
ผม - ปล่าวครับ แค่สั่งซื้อปลามาเฉยๆ
พระอาจารย์ - เท่าที่รู้มา ปกติแล้ว ปลาพวกที่ชาวประมงจับมา มักจะตายก่อนที่จะนำมาขายอยู่แล้ว ดังนั้น เท่ากับเราไปซื้อซากสัตว์มา ดังนั้นไม่บาป
ผม - แล้วผมจะไม่เท่ากับสนับสนุนการฆ่าหรือครับ
พระอาจาย์ - เอางี้ จะดูว่าบาป หรือ ไม่บาปให้ดูว่า เรามีส่วนหรือเกี่ยวข้องในการฆ่าหรือไม่ ถ้าเราไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการฆ่า แล้วเราไปซื้อปลามา เท่ากับเราไปซื้อซากสัตว์ ถ้าเราไม่ซื้อมา ซากสัตว์ก็เน่าอยู่ดี ดังนั้นเท่ากับ เราไปซื้อธาตุมาเฉยๆ เพราะ การดูว่าบาป หรือ ไม่บาป นั้น ต้องดูว่า สัตว์นั้นมีวิญญาณหรือไม่ ถ้าวิญญาณไม่มีแล้ว เราไปซื้อมา เท่ากับเราซื้อซากศพ วงจรของบาปมันตัดลงไปตั้งแต่วิญญาณสัตว์นั้นออกจากร่างไปแล้ว
บทสนทนาระหว่างผม กับพระอาจารย์ก็ประมาณนี้แหละครับ ก็ลองเอาไปพิจารณากันดูละกันครับ ว่า ตกลงการค้าสัตว์นั้นบาปหรือไม่บาป
อย่างปัจจุบันผมทำงานส่งออกไก่แปรรูป โดยซื้อมาจาก ซีพี โดยซีพีจะแปรรูปมาเรียบร้อยแล้ว อย่างกรณีของผม ผมเลียบๆ เคียงๆ ถาม โรงงานซีพีที่มีนบุรีว่า ปกติซีพีฆ่าไก่ประจำวันละเท่าไหร่ ผมได้คำตอบว่า 50,000 หรือ 100,000 ตัว ประมาณนี้ต่อวัน (ผมจำตัวเลขไม่ได้ เพราะถามมานานแล้วเหมือนกัน)
ซึ่งปกติแล้ว การขายไก่ระดับอุตสาหกรรมนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่า ขาย แต่มันต้องขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้อไก่แต่ละส่วนด้วย เช่น ขนาดปีก ขนาดน่อง ขนาดอก เป็นต้น ซีพีจะต้องทำการประมาณการว่าขนาดไหนที่ซีพีจะขายได้ ดังนั้นซีพีจะต้องทำการเลี้ยงไก่จนได้ขนาดของอวัยะวะไก่ตามที่ต้องการแล้วจึงทำการเชือด เพราะถ้าเลี้ยงต่อไป ไก่ก็จะโตเกินไป ขนาดของปีก ขนาดของน่อง ขนาดของอก จะไม่ได้ตามที่ซีพีสามารถขายได้เพราะใหญ่เกินไป ดังนั้นซีพีต้องทำการเชือดไก่เป็นประจำทุกวัน ซึ่งไม่ใช่เชือดตามคำสั่งลูกค้า ดังนั้นเท่ากับว่าบาปการเชือดไก่นั้นเป็นของโรงฆ่าของซีพีโดยตรง และรวมไปถึงผู้มีจิตยินดีในการฆ่าไก่ด้วย แต่สำหรับผู้ไปซื้อเนื้อไก่จากซีพีนั้นไม่เกี่ยวข้องเพราะไปซื้อซากไก่มาเท่านั้น เพราะซากไก่นั้นไม่มีวิญญาณแล้ว วงจรบาปได้ยุติไปแล้วตั้งแต่วิญญาณออกจากไก่
สำหรับเจ้าของกระทู้นั้น ถ้าไม่มีส่วนในการฆ่า งานที่ทำไม่ใช่บำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ฆ่า เพียงแต่ทำองค์กรซีพี บาปย่อมไม่เกิดครับ ต้องแยกให้ออกครับ ถ้าคิดว่าบาปจะเกิดขึ้นก็ต้องตอบให้ได้ว่าบาปเพราะอะไร อย่าเหมาว่าการทำงานในซีพีมีส่วนสนับสนุนการฆ่า แต่ถ้าจะไม่ดีก็คงจะเป็นผิดตรงที่ สิ่งแวดล้อมนะครับ เพราะต้องอยู่ในองค์กรที่ใช้การฆ่าสัตว์เป็นธุรกิจ อาจจะต้องได้ยิน ได้รู้เห็นการฆ่าทุกวัน ก็ให้ทำใจเฉย อย่ายินดีและให้แผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้นละกันครับ ถ้าจะให้ดี นึกถึงองค์พระให้ได้ทั้งวัน จะทำให้ใจไม่ไปเกาะเกี่ยวกับการฆ่านะครับ แถมยังได้บุญอีกด้วย
#14 *Guest*
โพสต์เมื่อ 28 October 2005 - 10:19 PM
ก่อนหน้านี้พอดีผมได้งานส่งออกอาหารที่ต้องใช้วัตถุดิบจากปลาทูน่า เลยไม่แน่ใจว่างานนี้จะมีส่วนสนับสนุนการฆ่าสัตว์หรือป่าว เลยไปกราบถามพระอาจารย์ไพบูลย์ คำถามและตอบเป็นดังนี้นะครับ (ใจความนะครับ)
พระอาจารย์ - เราสั่งให้เขาฆ่าสัตว์หรือป่าว
ผม - ผมสั่งซื้ออาหารอย่างเดียวแต่ไม่ได้สั่งฆ่า
พระอาจารย์ - แล้วปลาทูน่าเนี่ยไปเอามาจากไหน
ผม - บริษัทที่ผมจะไปทำเค้ามีบริษัทที่เอาปลาส่งมาให้บริษัทผมเพื่อนำไปแปรรูปทำเป็นอาหารครับ
พระอาจารย์ - แล้วบริษัทเราเนี่ย มีเรือประมงเป็นของตัวเองหรือป่าว
ผม - ปล่าวครับ แค่สั่งซื้อปลามาเฉยๆ
พระอาจารย์ - เท่าที่รู้มา ปกติแล้ว ปลาพวกที่ชาวประมงจับมา มักจะตายก่อนที่จะนำมาขายอยู่แล้ว ดังนั้น เท่ากับเราไปซื้อซากสัตว์มา ดังนั้นไม่บาป
ผม - แล้วผมจะไม่เท่ากับสนับสนุนการฆ่าหรือครับ
พระอาจาย์ - เอางี้ จะดูว่าบาป หรือ ไม่บาปให้ดูว่า เรามีส่วนหรือเกี่ยวข้องในการฆ่าหรือไม่ ถ้าเราไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการฆ่า แล้วเราไปซื้อปลามา เท่ากับเราไปซื้อซากสัตว์ ถ้าเราไม่ซื้อมา ซากสัตว์ก็เน่าอยู่ดี ดังนั้นเท่ากับ เราไปซื้อธาตุมาเฉยๆ เพราะ การดูว่าบาป หรือ ไม่บาป นั้น ต้องดูว่า สัตว์นั้นมีวิญญาณหรือไม่ ถ้าวิญญาณไม่มีแล้ว เราไปซื้อมา เท่ากับเราซื้อซากศพ วงจรของบาปมันตัดลงไปตั้งแต่วิญญาณสัตว์นั้นออกจากร่างไปแล้ว
บทสนทนาระหว่างผม กับพระอาจารย์ก็ประมาณนี้แหละครับ ก็ลองเอาไปพิจารณากันดูละกันครับ ว่า ตกลงการค้าสัตว์นั้นบาปหรือไม่บาป
อย่างปัจจุบันผมทำงานส่งออกไก่แปรรูป โดยซื้อมาจาก ซีพี โดยซีพีจะแปรรูปมาเรียบร้อยแล้ว อย่างกรณีของผม ผมเลียบๆ เคียงๆ ถาม โรงงานซีพีที่มีนบุรีว่า ปกติซีพีฆ่าไก่ประจำวันละเท่าไหร่ ผมได้คำตอบว่า 50,000 หรือ 100,000 ตัว ประมาณนี้ต่อวัน (ผมจำตัวเลขไม่ได้ เพราะถามมานานแล้วเหมือนกัน)
ซึ่งปกติแล้ว การขายไก่ระดับอุตสาหกรรมนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่า ขาย แต่มันต้องขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้อไก่แต่ละส่วนด้วย เช่น ขนาดปีก ขนาดน่อง ขนาดอก เป็นต้น ซีพีจะต้องทำการประมาณการว่าขนาดไหนที่ซีพีจะขายได้ ดังนั้นซีพีจะต้องทำการเลี้ยงไก่จนได้ขนาดของอวัยะวะไก่ตามที่ต้องการแล้วจึงทำการเชือด เพราะถ้าเลี้ยงต่อไป ไก่ก็จะโตเกินไป ขนาดของปีก ขนาดของน่อง ขนาดของอก จะไม่ได้ตามที่ซีพีสามารถขายได้เพราะใหญ่เกินไป ดังนั้นซีพีต้องทำการเชือดไก่เป็นประจำทุกวัน ซึ่งไม่ใช่เชือดตามคำสั่งลูกค้า ดังนั้นเท่ากับว่าบาปการเชือดไก่นั้นเป็นของโรงฆ่าของซีพีโดยตรง และรวมไปถึงผู้มีจิตยินดีในการฆ่าไก่ด้วย แต่สำหรับผู้ไปซื้อเนื้อไก่จากซีพีนั้นไม่เกี่ยวข้องเพราะไปซื้อซากไก่มาเท่านั้น เพราะซากไก่นั้นไม่มีวิญญาณแล้ว วงจรบาปได้ยุติไปแล้วตั้งแต่วิญญาณออกจากไก่
สำหรับเจ้าของกระทู้นั้น ถ้าไม่มีส่วนในการฆ่า งานที่ทำไม่ใช่บำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ฆ่า เพียงแต่ทำองค์กรซีพี บาปย่อมไม่เกิดครับ ต้องแยกให้ออกครับ ถ้าคิดว่าบาปจะเกิดขึ้นก็ต้องตอบให้ได้ว่าบาปเพราะอะไร อย่าเหมาว่าการทำงานในซีพีมีส่วนสนับสนุนการฆ่า แต่ถ้าจะไม่ดีก็คงจะเป็นผิดตรงที่ สิ่งแวดล้อมนะครับ เพราะต้องอยู่ในองค์กรที่ใช้การฆ่าสัตว์เป็นธุรกิจ อาจจะต้องได้ยิน ได้รู้เห็นการฆ่าทุกวัน ก็ให้ทำใจเฉย อย่ายินดีและให้แผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้นละกันครับ ถ้าจะให้ดี นึกถึงองค์พระให้ได้ทั้งวัน จะทำให้ใจไม่ไปเกาะเกี่ยวกับการฆ่านะครับ แถมยังได้บุญอีกด้วย
#15 *Guest*
โพสต์เมื่อ 28 October 2005 - 11:49 PM
#16
โพสต์เมื่อ 29 October 2005 - 09:44 AM
เริ่มงานกับ CP : 2 กันยายน 2546
ตำหน่ง : วิศวกรด้านเครื่องจักร (จบเครื่องกลมาครับ)
สังกัด : บ.กรุงเทพฯ อาหารสัตว์ ในเครือ CP
หน้าที่รับผิดชอบ : ทำแบบติดตั้งเครื่องจักรผลิตอาหารสัตว์ ประเมินราคางานก่อสร้างเครื่องกล
ควบคุมงานติดตั้ง ทดสอบการเดินเครื่องจักร
Comment : ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสัตว์. ฆ่าสัตว์ ดูแลรักษาสัตว์ แต่อย่างใดครับ
#17
โพสต์เมื่อ 31 October 2005 - 07:43 AM
ไม่บาปหรอกครับ ... แค่รับมาแล้ว ส่งต่อไป ... ( ผมเข้าใจว่า กระทู้ที่เข้ามานี้ เป็นเรื่องของจิตใจมากกว่า )
อย่างที่คุณแนะนำมา คือ ทำใจได้ หรือ ปล่อยวางได้
หรือ อย่างพระอาจารย์แนะนำก็ถูก ... เพราะแต่ละคนเมื่อโดนกระทบใจแล้ว เอาไปปรุงแต่งจิต ไม่เหมือนกัน
ซึ่งสุดท้ายแล้ว วัดกันที่ "ใจขุ่น หรือใจใส"
ส่วนคุณสิริโภ
"ทำแบบติดตั้งเครื่องจักรผลิตอาหารสัตว์ "
"ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสัตว์. ฆ่าสัตว์ ดูแลรักษาสัตว์ แต่อย่างใดครับ"
ถ้าคุณ Plot ไม่เดือดร้อนใจ ... ใจไม่ขุ่นมัว ... ก็ทำต่อไปได้ครับ
แต่อย่างที่บอกคือ คุณต้องอยู่กับมันไปตลอด อีกหลาย 10 ปี
ซึ่งพอคุณแก่แล้ว คุณลองนึกย้อนกลับมา ... คุณจะปฏิเสธได้หรือครับ .. ว่าไม่ได้อยู่ในธุรกิจฆ่าสัตว์ ... เพราะเงินเดือนที่ได้รับ ก็ได้มาจากการฆ่าสัตว์หลายล้านชีวิต
( ความเห็นนี้ สำหรับคุณ Plot คนเดียวนะครับ ... ส่วนคุณสิริโภ กับคุณปลาทูน่า ปล่อยวางได้ ก็ไม่เป็นปัญหา )
แต่ผม ก็ยังงง ๆ อยู่เลยว่า ธุรกิจอื่น ๆ มีอีกตั้งเยอะแยะ
จะมาจมอยู่กับที่เดิม ๆ ทำไม ? เสี่ยงแรงกรรม ? เสียความรู้สึก ? สับสน ? ตอบจิตใต้สำนึกตัวเองไม่ได้ ? ถูกผิดก็ไม่รู้ ?
ถ้าเป็นผม ต้องถูกเท่านั้น !!!! ถูก ๆ ผิด ๆ ทางตรรกกะ ก็คือ ผิดนั่นแหล่ะ เลือกเอาที่ดี ๆ ไว้ก่อนดีกว่าครับ
#18
โพสต์เมื่อ 19 November 2005 - 01:47 AM
ส่วนเรื่องราว ของหญิงสาวนางหนึ่ง นางเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ นางไปอยู่กินกับสามีนายพราน คุณต้องแยกให้ออกด้วยเพราะเธอเป็นพระอริยะบุคคลแล้วปิดอบายไปนานแล้ว แต่ตัวคุณเองยังไม่เป็นอริยบุคคลชั้นต้นเพราะฉะนั้นอย่าประมาทครับ
ผมเองยังเคยทำงานบริษัทฝรั่งผลิตบุหรี่ ทำแผนกตรวจสอบสินค้า ผมยังลาออกได้เลยครับเพราะการสนับสนุนในมิจฉาอาชีพก็เท่ากับส่งเสริมให้คนทำบาป ผมยอมอดยอมจนดีกว่าต้องรวยเพราะเงินบาปครับ เงินเดือนที่คุณได้ก็คือเงินที่เกิดจากการฆ่าสัตว์จำนวนมหาศาล คุณเองก็จะต้องได้บาปด้วยครับ
วิธีพิสูจน์ไม่ยากหลอกครับ คุณลองถามใจคุณดูสิว่าคุณสบายใจกับการทำงานแบบนี้ไหม แล้วสุดท้ายบุญในตัวคุณจะบอกเองว่าเลิกเถอะไม่สบายใจเลย เพราะอะไรครับ ก็เพราะมันบาปงัยครับ ใจกายละเอียดเขาก็ไม่อยากตกนรกเหมือนกันครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#19 **
โพสต์เมื่อ 19 November 2005 - 10:43 AM
แต่ทำไมการค้าขายเนื้อสัตว์บางจึงตกอยู่กับผู้เกี่ยวข้องบางคน แต่บางคนไม่บาปเช่น ผู้เสพ (คือผู้กินหมู กินไก่ แหละครับ)
พระอาจารย์ท่านตอบว่า เพราะวัตถุต่างกัน สำหรับเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด เป็นวัตถุที่เป็นโทษในตัวของมันเองอยู่แล้ว ผมเข้าใจว่า ไม่ว่าวัตถุสิ่งนี้จะไปตกอยู่กับใคร วัตถุนั้นก็เป็นโทษแก่คนผู้นั้น
แต่สำหรับเนื้อสัตว์ ถ้าจะพูดให้ชัดๆ ก็คือ ศพของสัตว์ ศพของสัตว์นั้นไม่ให้โทษแก่ใคร แต่เป็นธาตุที่เอาไปหล่อเลี้ยงร่างกายของสิ่งมีชีวิต แต่สำหรับคนที่ทำให้สัตว์กลายเป็นศพ ก็คือคนที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์ ไม่ว่าจะเลี้ยงเพื่อนำไปฆ่า คนส่งสัตว์ไปฆ่า คนสั่งให้เชือด คนเชือด คนเหล่านี้บาปหมดครับ เพราะมีส่วนทำให้สัตว์นั้นตายลง
แต่คนที่ชำแหละหมู ไก่ (ศพหมู ไก่) หรือขายเนื้อหมู ไก่ คนกินหมู ไก่ ที่ไม่มีส่วนในการสั่งฆ่า ไม่บาปแล้วนะครับ เพราะเนื้อหมู ไก่ (ศพหมู ไก่) นั้นไม่ถือว่า เป็นสิ่งมีชีวิตแล้ว แต่เป็นเพียงแค่ธาตุ4 ที่รอเวลาเปื่อยเน่าเท่านั้น
#20
โพสต์เมื่อ 06 January 2006 - 01:48 AM
เสียดายมากที่ผมตอบกลับช้าไปไม่ทราบคุณ....จะได้อ่านหรือป่าวครับ
ผมเคยเปิดร้านขายอาหาร ขายขาหมู ตอนแรกผมก้คิดแบบคุณนี่แหละว่าเราไม่ได้ฆ่าซักหน่อยเราซื้อซากมันมาทำอาหารขายไม่น่าจะบาป แต่พอผมขายไปเรื่อย ๆ ช่วงที่ขายดีเวลาผมไปตลาดขาหมูขาดตลาดเลยครับ คนขายหมูบอกว่าหมูขาดตลาดต้องสั่งเพิ่ม นั่นแสดงว่าการค้าขายเนื้อสัตว์ก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมการฆ่าครับ แม้แต่เวลาไปซื้อหมูในห้างแม็คโคร ถ้าหมูขาดเขาก็ต้องสั่งฆ่าหมูเพิ่มอีกแหละครับบาปมันไม่หมูนะครับ
วันหนึ่งผมได้นิมิตในสมาธิ(เรียกว่าฝันละกัน)ไปเห็นคนหัวเป็นหมูตัวเป็นคน บางคนตัวเป็นคนหัวเป็นหมู ร้องแบบหมู วิ่งหนีชายคนหนึ่งที่กำลังวิ่งไล่ตาม โดยเขาจะจับหมูเหล่านั้นลงกระทะบ้าง ตักน้ำร้อนกรอกปากบ้าง สารพัดจะทรมาน หลังจากนั้นก็มีชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "หมูนี่ดีนะ จะทำอาหารอะไรก็ได้ ต้ม ทอด ย่าง อืมดีจิงๆ" นับแต่วันนั้นมาผมจำได้สนิทและไม่คิดเอาตนเองไปเสี่ยงกับอบายคือนรกอีกแล้วครับ ที่เล่าให้ฟังเพราะสงสารเพื่อนร่วมโลกโดยเฉพาะกัลยาณมิตรไม่ควรเลยที่จะต้องมาตกนรกหนะครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#21
โพสต์เมื่อ 06 January 2006 - 12:35 PM
เพราะว่ามีลูกค้าอย่างพวกเราที่ทานเนื้อสัตว์
ร้านข้าวขาหมูเลยสั่งเนื่อหมูจากพ่อค้าเนื้อในตลาดสด
แล้วพ่อค้าเนื้อหมูในตลาดสดก็เลยสั่งเนื้อหมูจากโรงฆ่า
แล้วโรงฆ่าก็ฆ่าหมู (ไม่ว่าจะฆ่าไว้แล้ว หรือ ฆ่าตามสั่งก็เถอะ)
กลับกลายเป็นว่าเราทานหมูผิด เพราะถ้าไม่มีคนทานหมู ก็ไม่มีใครฆ่าหมู อธิบายตามหลักเศรษฐศาสตร์ได้ว่าว่าถ้าไม่มีอุปสงค์ (demand) ก็ไม่มีอุปทาน (supply)
ดังนั้นเราควรทานแต่ผักเหรอค่ะ
จำได้ว่าเคยมีกระทู้ที่ถามเรื่องเช่นนี้แล้ว ขอรบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายอีกครั้งด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ