ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

จิต และ ใจ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 12 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 February 2006 - 11:53 PM

อยากทราบว่าจิตกับใจต่างกันและเหมือนกันอย่างไรคะ อย่างเช่นการ ฝึกจิต กับ ฝึกใจ หรือ บังคับจิต กับบังคับใจ ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยคะ

#2 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 01:14 AM

คำถามเหมือนว่าเจ้าของกระทู้จะทราบอยู่แล้วเลยครับ
ขอเดาเอานะครับว่า
กาย คือ ที่อยู่อาศัยของ ใจ หรือ จิต หรือ วิญญาณ

ใจ จิต วิญญาณ คือ สภาวะหรือระดับความละเอียดของใจในระดับต่างๆ ครับ

ใจ ทำหน้าที่รับรู้ อารมณ์จากภายนอกเข้ามากระทบกับใจภายใน แล้วทำให้ใจรู้สึกดีใจเสียใจ หรือเฉยๆ ก็เรียกว่าใจ

จิต คือ คุณสมบัติทั้งหมดของใจ ไม่ว่าจะเป็น เห็น จำ คิด รู้ หรือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาประชุมรวมกันละเอียดกว่าใจ เรียกว่า จิต
เช่น เจริญสติปัฎฐาน 4 เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม เป็นต้น

วิญญาณ คือ ตัวรู้ หรือตัวรับรู้ ที่อยู่ในจิต ละเอียดกว่า ใจ และละเอียดกว่า จิต เรียกว่า วิญญาณ

กายกับใจเป็นของคู่กัน เมื่อมีกายก็ต้องมีใจ ลองรับเสมอ หรือที่ภาษาพระทั่วไปเรียกว่า
รูปนาม

ใจ จิต วิญญาณ ต่างกันด้วยความละเอียด และคุณสมบัติ
เหมือนกันเพราะเรียกสั้นๆ ว่า ใจ
********************************************************
ฝึกจิต ก็คือ ฝึก เห็น จำ คิด รู้ ให้หยุดรวมเป็นจุดเดียวกัน
ฝึกใจ ก็คือ ฝึกใจให้ละวางขันธ์ 5 คือกาย ที่เกี่ยวเนื่องด้วยกายให้มากที่สุด หยุดนิ่งจนเกิดเป็นจิต ณ ภายใน

บังคับจิต คือ ไม่หยุดก็บังคับให้หยุด วอกแวกก็บังคับให้นิ่ง เห็นด้วยใจในนิมิตไม่นิ่งก็ต้องบังคับให้มองด้วยใจให้นิ่งๆ ให้ได้ เป็นต้น

บังคับใจ คือ บังคับใจที่สอดไปในอารมณ์ภายนอก ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ให้มารวมหยุดลงที่ใจ บังคับใจให้จดจ่อที่จิต ละวางกาย หรือสิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยกาย เรียกว่า บังคับใจ เป็นต้น

***ผิดถูกประการใดขออภัยด้วยครับ ท่านใดทราบเชิญร่วมบุญด้วยครับสาธุ***

หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#3 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 09:58 AM

โดยรวมแล้ว เหมือนๆกันอ่ะครับ จิต คือตัวที่มันสำนึกลึกๆอยู่ข้างใน ใจ คือตัวที่มันวอกแวกซัดส่ายไปมาคิดไปในเรื่องราวต่างๆ การปฏิบัติธรรมคือทำทั้งสองอย่างให้มันหยุดให้มันนิ่ง อย่าไปคิดมากเลยครับ




#4 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 03:37 PM

ใจ

ใจของเราน่ะ อะไรที่เรียกว่าใจ? เห็นอย่างหนึ่ง จำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง ๔ อย่างนี้รวมเข้าเป็นจุดเดียวกัน นั้นแหละเรียกว่า ใจ

อยู่ที่ไหน? อยู่ในเบาะน้ำเลี้ยงหัวใจ คือความเห็นอยู่ที่ท่ามกลางกาย ความจำอยู่ที่ท่ามกลางเนื้อหัวใจ ความคิดอยู่ท่ามกลางดวงจิต ความรู้อยู่ท่ามกลางดวงวิญญาณ เห็น จำ คิด รู้ ๔ ประการนี้หมดทั้งร่างกาย ส่วนเห็นเป็นต้นของรู้ ส่วนจำเป็นของเนื้อหัวใจ ส่วนคิดเป็นต้นของดวงจิต ส่วนรู้เป็นต้นของดวงวิญญาณ

ดวงวิญญาณ เท่าดวงตาดำข้างในอยู่ในกลางดวงจิต

ดวงจิต เท่าดวงตาดำข้างนอกอยู่ในกลางเนื้อหัวใจ
ดวงจำ กว้างออกไปอีกหน่อยหนึ่งเท่าดวงตาทั้งหมด
ดวงเห็น อยู่ในกลางกายโตกว่าดวงตาออกไป นั่นเป็นดวงเห็น


ดวงเห็นนั่นแหละ ธาตุเห็นมันอยู่ศูนย์กลางดวงนั้น นั่นแหละเรียกว่าเห็น เห็นอยู่ในธาตุเห็นนั้น
ดวงจำ ธาตุจำมันอยู่ในศูนย์กลางดวงนั้น
ดวงคิด ธาตุคิดมันอยู่ศูนย์กลางดวงนั้น
ดวงรู้ ธาตุรู้อยู่ในศูนย์กลางดวงนั้น

เห็น จำ คิด รู้ ๔ อย่างนี้แหละ เอาเข้ามารวมเป็นจุดเดียวกันเรียกว่า "ใจ
"



จากพระธรรมเทศนาเรื่อง
"หลักการเจริญภาวนาสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน"



#5 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 04:30 PM

อ่านข้างบนแล้วงงไหมครับ
สรุปก็คือ จิต มันเป็นส่วนประกอบของใจอีกทีน่ะครับ เพราะจิตเกิดจากความคิด ซึ่งความคิดนั้น รวมกับ ความเห็น ความจำ ความรู้ จึงประกอบขึ้นมาเป็นใจ
I just gotta get out of this prison cell.
Someday I'm gonna be free.

#6 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 07:10 PM

ขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยแนะคะ
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้

#7 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 07:15 PM

[attachmentid=2407]

[attachmentid=2408]


จากภาพบนอธิบายว่า ใจนั้นมีองค์ประกอบหลักอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๔ ประการ ซึ่งทำหน้าที่ในการตอบสนองต่อผัสสะที่เข้ามากระทบสู่ดวงจิตที่ซ้อนอยู่ภายใน ได้แก่ เห็น ๑ จำ ๑ คิด ๑ รู้ ๑ ส่วนภาพล่าง แสดงให้เห็นถึงรายละเอียดต่างๆ ของตำแหน่งอันเป็นฐานที่ตั้งดั้งเดิมของใจ (ฐานที่ ๗)

ปล. เห็นพี่ xlmen กับคุณถูกส่วนเข้ามาโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้ ผมเลยช่วยหาภาพมาประกอบเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อสมาชิกและผู้เยี่ยมชมทุกท่านให้สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น อนุโมทนาบุญซึ่งกันและกันนะครับ สาธุ... สาธุ... สาธุ...

ไฟล์แนบ



#8 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 February 2006 - 12:36 AM

มีภาพแล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้นมากคะ ขอบคุณมาก อนุโมทนาสาธุคะ
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้

#9 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 20 February 2006 - 12:47 AM

ถ้าเช่นนั้น ผมขอถามต่อเลยก็แล้วกันนะครับว่า เจตสิก คืออะไร? จำแนกออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง? มีบทบาทและหน้าที่อันสัมพันธ์กับดวงจิตอย่างไร? และหากเปรียบใจของเราเป็นเช่นน้ำแล้ว เจตสิกเปรียบได้กับอะไร? ขอความกรุณาผู้รู้ทุกท่าน มาช่วยตอบกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

#10 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 February 2006 - 02:59 PM

เอ ผมก็ไม่รู้มากซะด้วยสิครับ อภิธรรมไม่แม่นเท่าไหร่ครับ
ตอบแบบเดาๆ อีกเช่นเคยครับ

จิต คือ ธรรมชาติที่รู้ได้ เห็นได้ จำได้ คิดได้ เรียงใหม่คือ เห็น จำ คิด รู้
เจตสิก คือ อารมณ์ของจิต แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ กุศลาธรรมา(อารมณ์ดี) ,อกุศลาธรรมา(อารมณ์ชั่ว),
อัพยากตาธรรมา (อารมณ์กลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว อารมณ์เฉยๆ)

ถ้าเปรียบใจหรือจิตเป็นเช่นน้ำแล้ว
เจตสิกเปรียบได้กับ ตะกอนในน้ำ หรือสารเจือปนในน้ำ

เมื่อตะกอนในน้ำมันมีมากอยู่ก็ไม่สามารถที่จะเห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำได้ ดังนั้นถ้าหากใช้สารส้มทำให้ตะกอนในน้ำตกลงก่อน ตะกอนก็จะเกิดการนอนก้น น้ำก็จะใสได้ และสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในน้ำได้อย่างชัดเจน

ขี้ตะกอน หมายถึง อกุศลมูล แบ่งออกเป็น โลภมูลจิต โทสมูลจิต โมหะมูลจิต
สารส้ม หมายถึง กุศลมูล แบ่งออกเป็น อโลภมูลจิต อโทสมูลจิต อโมหะมูลจิต
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#11 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 20 February 2006 - 04:15 PM

QUOTE
เจตสิกเปรียบได้กับ ตะกอนในน้ำ หรือสารเจือปนในน้ำ

พี่ตอบว่าเป็นตะกอน หรือสารเจือปน ถูกต้องนะครับ แต่หากเป็นผม ผมจะเปรียบเจตสิกเป็นเช่นดั่งสีหลากสีที่ละลายอยู่ในน้ำอันเปรียบเสมือนกับดวงจิต และถ้าจะสรุปให้ง่ายขึ้นแล้ว เจตสิก คือ อารมณ์อันทำหน้าที่ในการปรุงแต่งจิตให้เป็นไปในสภาวะต่างๆ นั่นเองครับ


#12 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 February 2006 - 10:29 PM

อย่างนี้เราก็ต้อง ควบคุมเจตสิกให้ดีใช่ไหมคะ เพราะเจตสิกเป็นตัวคุมจิตเราอีกที
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้

#13 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 01:13 AM

ถูกต้องนะครับ และเรายังต้องมีอินทรีย์สังวรมาเป็นเครื่องคอยกำกับอีกด้วยครับ