ไปที่เนื้อหา


* * * * * 1 คะแนน

เมื่อพ่อแม่ขอ 2 อย่าง 1 ห้ามมาวัด 2 ห้ามทำกิจกรรมวัด


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 26 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 *ความในใจที่ไหลพร้อมน้ำตา*

*ความในใจที่ไหลพร้อมน้ำตา*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 15 May 2005 - 08:29 PM

สวัสดีค่ะทุกท่านๆ
ขณะที่เขียนเวปบอร์ดนี้ น้ำตายังนองหน้าอยู่เลยค่ะ

วันนี้คุณพ่อ คุณแม่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจากต่างจังหวัด เพื่อขอร้องสองเรื่อง
หนึ่ง อย่ามาวัดอีกเลย สอง อย่าทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวกับวัด
ตัวหนูเองก้ยกอ้างเหตุผลสารพัด ท่านก็บอกว่าเป็นห่วงหนูมาก ชักจะลึก จะงมงายมากไป
อยากให้ออกมาก่อน โดยขอสองอย่างนี้

หนูเพิ่งเข้าวัดได้หกเจ็ดเดือน มาวัดครั้งแรกเมื่อ 10 ตุลาคม 2547 ซึ่งเป็นวันหล่อหลวงปู่ทองคำนั่นเอง หนูมาวัด เพื่อไปเข้าค่ายสมาธิของเด็กระดับมหาวิทยาลัยที่ภูเรือ
หลังจากนั้นชีวิตหนูก็เปลี่ยนไปหลังจากเข้าค่าย 6 วัน หนูรู้สึกว่าหนูเป็นลูกหลวงพ่อ เป็นคนของที่นี่ หนูอินมากแล้วก็เริ่มถือศีล8 ติดต่อกันตั้งแต่วันเกิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน

สิ่งเหล่านี้ทำให้พ่อแม่หนูไม่เข้าใจ และเริ่มเป็นห่วงหนูขึ้นเรื่อยๆ
ผสมกับความปรารถนาดีที่หนูอยากให้เขาได้รู้ในสิ่งที่หนูรู้ จึงทำให้หนูได้บอกเล่าเรื่องการฝันในฝันของหลวงพ่อ ปรากฏว่าสิ่งนี้ได้ฝังใจคุณแม่อย่างมาก และทำให้ท่านคิดว่าหนูนั่งสมาธิเพราะอยากเห็นโน่นเห็นนี่ อยากไปสวรรค์ อยากดูอดีตตัวเองซึ่งมันเป็นเรื่องที่เหลวไหล และเกิดขึ้นได้เพราะใจของเราคิดไปเอง

หลังจากหนูได้สติว่าไม่ควรพูดในสิ่งที่ได้พูดออกไปแล้วนั้น ก็กินเวลาอยู่นานหลายเดือน
หลังจากนั้นหนูจึงพูดแต่เรื่องเบาๆ ที่ควรพูด แต่คุณแม่กลับคิดว่าหนูปิดบัง และไม่พูดความจริง

ท่านทั้งสองเคยมาวัดวันอาทิตย์อยู่สองครั้ง และมารับหนูกลับบ้าน (มารับอย่างเดียว) อีกสามสี่ครั้ง

ณ วันนี้หนูถูกสั่งห้าม โดยอ้างเหตุผลว่า

"การที่ทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ มันจะได้บุญเหรอ???"

หนูไม่อาจกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้
หนูพยายามนึกถึงหลวงพ่อ และพยายามทำใจให้ใส


หนูควรทำยังไงดีคะ??
หนูอยากกลับไปในที่ที่หนูคุ้นเคย และรักเหมือนบ้าน
QUOTE


#2 *พี่สาว*

*พี่สาว*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 15 May 2005 - 09:57 PM

สวัสดีค่ะ
ไม่เป็นไรค่ะ ทำใจใสๆแล้วก็อย่าคิดว่า ปัญหานั้นเป็นปัญหาที่ใหญ่ แล้วก็หมั่นอธิษฐานจิตให้ คุณพ่อคุณแม่ท่านเข้าใจ เพราะทุกสิ่งที่ตัวเราทำไป เราสามารถตอบตัวเองได้ว่า เราทำไปเพื่ออะไร และสิ่งที่ต้องทำเป็นสิ่งที่สำคัญแค่ไหน ดังนั้น เราต้องทำตัวให้ดีเสมอต้นเสมอปลาย จนท่านสามารถสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี และยอมรับในตัวเรา ในที่สุด
แต่ก่อนพี่เอง เคยเจอปัญหาเช่นนี้ คุณพ่อ ไม่ค่อยเข้าใจมากๆ ส่วนคุณแม่นั้นท่านเป็นคนที่ค่อนข้างให้อิสระในความคิด แต่ท่านก็สังเกตุเราอยู่ตลอดเวลา สำหรับพี่ ทุกครั้งที่พี่ทำบุญ ก็ทำสำหรับพี่เอง และทำใส่ชื่อคุณพ่อ คุณแม่ และทุกคนในครอบครัว โดยที่ไม่บอกให้ท่านทราบ เพราะกลัวว่าท่านยังไม่เข้าใจและจะว่าวัด ว่าเรา ซึ่งตรงนี้จะทำให้บุญท่านหก แต่ทุกครั้งที่ทำบุญ จะอธิฐาน ให้ท่านเข้าใจ เมื่อเห็นว่าท่านอยู่ในสภาพที่พอจะเข้าใจ ก็ค่อยๆ บอกท่าน เรื่องการทำบุญ
ตอนนี้คุณพ่อของพี่ท่านก็เข้าใจวัดแล้ว ใครว่าวัดท่านอธิบายแก้ต่างให้วัด และเข้าวัดทำบุญเป็น ประจำแล้ว
ขอเป็นกำลังใจให้น้องนักรบใหม่แห่งกองทัพธรรมค่ะ
พี่สาว

#3 แจ่ม

แจ่ม
  • Members
  • 196 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 May 2005 - 11:35 PM

เห็นใจน้องคนนี้มากเลย แต่ว่ายังนึกไม่ออกว่าจะแนะนำน้องได้อย่างไรดี ถ้าใครเคยมีประสบการณ์แบบเดียวกับน้องเค้าก็ช่วยแนะนำด้วยนะคะ
พี่บอกได้แต่เพียงว่าอย่าร้องไห้และอย่าท้อแท้ มีอีกหลายคนที่เป็นอย่างน้องน่ะค่ะ ให้นั่งสมาธิทุกวันไม่ให้ขาด เวลาใจใสแล้วก็น้อมคุณพ่อคุณแม่มาไว้ที่ศูนย์กลางกายแล้วกลั่นท่านให้ใส แผ่เมตตาให้ท่าน แล้วก็อธิษฐานให้ท่านเข้าใจเรื่องบุญ
สำคัญที่สุดอยู่ตรงนี้่นะคะ นั่งสมาธิอย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียวแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสมาวัดช่วงหนึ่ง แล้วก็เป็นเด็กดี ให้คุณพ่อคุณแม่เห็นว่าเราพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากเราได้มาศึุกษาและปฏิบัติธรรม การเรียนก็อย่าให้บกพร่องจะได้ไม่เป็นข้ออ้างจากคุณพ่อคุณแม่ว่าการที่เราเข้าวัดทำให้เสียการเรียน
ทั้งวัด และหลวงพ่ออยู่ไม่ไกลจากเราหรอกค่ะ แค่ตรงศูนย์กลางกายเท่านั้น คิดถึงวัด คิดถึงหลวงพ่อเมื่อไหร่ก็เอาใจไปหยุดตรงนั้นค่ะ

"มองดูพ่ออยู่ตรงกลาง บนหนทางแห่งความไสว กำลังจะถึงเส้นชัย ถ้าเจ้ามั่นใจ ก็ไปด้วยกัน"

#4 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 16 May 2005 - 11:58 AM

การแก้ปัญหาทุกๆ ปัญหา มีอยู่เพียง 2 แบบเท่านั้นครับ คือ
1. การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นนี้ บรรเทาเบาบางไปก่อน
2. การแก้ปัญหาแบบป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต

ผมเห็นว่า เมื่อคุณพ่อคุณแม่ห้ามเช่นนี้ เราก็ยอมๆ ตามใจท่านไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนน่ะครับ แต่ระหว่างนี้เราก็พยายามทำตัวดีๆ ให้ท่านเห็น เหมือนดังที่คุณพี่สาวแนะนำมานั่นแหละครับ เหมือนเวลานั่งสมาธินึกถึงองค์พระแล้วองค์พระหันหน้าผิดทิศทางอยู่ คุณครูไม่ใหญ่ก็จะบอกว่า ให้ยอมตามใจท่านไปก่อน อย่าไปรีบบังคับให้ท่านหันหน้ากลับมาเลย จะผิดหลักวิชา ให้เราทำนิ่งๆ ไว้ พอใจเรานิ่งมีพลังพอแล้ว เดี๋ยวท่านจะยอมตามใจเราเอง

ส่วนการแก้ปัญหาแบบป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีก ลองสังเกตุดูว่า บางคนกลับทำความดีได้อย่างสะดวกสบายไร้อุปสรรค นั่นเพราะเขาประกอบเหตุมาดี ดังนั้น เราก็ต้องประกอบเหตุให้ในอนาคต เราได้เกิดในครอบครัวที่เข้าใจหมู่คณะด้วยนะครับ ด้วยวิธีการดังนี้
1. เวลาใครมาชวนเราทำความดีอะไร อย่าปฏิเสธ แล้วอย่างขัดขวางไม่ให้คนอื่นไปทำความดีนั้นๆ ด้วย
2. หมั่นชักชวนคนอื่นๆ ให้ทำความดี ให้มากๆ (ใครที่ชวนยาก ก็ข้ามไปก่อน ชวนคนอื่นๆไปเรื่อยๆ)
ทำได้เช่นนี้ เราจะประกอบเหตุให้ปัญหานี้ ไม่อาจมากล้ำกลายเราอีกในอนาคตครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#5 *นาน่า*

*นาน่า*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 17 May 2005 - 02:02 AM

อยากอ่านหนังสือของป้าวิลครับขอข้อมูลด่วน

#6 *Guest*

*Guest*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 18 May 2005 - 11:24 PM

ขอบคุณทุกคนค่ะ
ที่ให้คำตอบ

#7 *หมอส้ม*

*หมอส้ม*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 19 May 2005 - 01:10 PM

ผมเองเคยได้ประสบเหตุการณ์แบบน้องมาตลอด 14 ปีตั้งแต่เข้าวัดครั้งแรก 2531 (ตอนอยู่ ม.1)
มีความลำบากใจทุกครั้งที่กลับบ้าน หรือคุณพ่อคุณแม่มาหาที่กรุงเทพ

ตอนนั้นพี่ยังเป็นเด็กน้อย อายุ 13ที่เชื่อคุณครูที่ โรงเรียนสวนกุหลาบ กัลยาณมิตรคนแรกของพี่ อาจารย์ วรพรรณ พูลทองคำ ท่านมีความเมตตาประคับประครองพี่มาตลอด

ตอนมัธยม ความรุนแรงระหว่างวัดกับที่ บ้านยังมีไม่มากนัก เพราะพี่ จะมาวัด ก็งาน บุญใหญ่ ในช่วง ม1- ม3

พอเข้า ม 4 – ม5 ความรุ่นแรงก็เริ่มมากขึ้น เพราะพี่เป็น ประธานชมรมพุทธที่ โรงเรียน ต้องมาวัดบ่อยมาทำกิจกรรมอยู่วัดเป็น สัปดาห์ๆ แต่พี่ก็อดทน เพราะช่วงนั้นปัญหาเรื่องที่ดินวัดยังไม่คลี่คลาย สังคมยังมองเป็นภาพลบอยู่ พี่เองใช้คติที่ว่า เราทำตัวเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ให้ได้คะแนนดี หน้าที่ต่อทางโลกไม่ทำให้บกพร่อง ได้เกรด 3 กว่า ๆไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ท่านไม่สบายใจ เราจะไปไหนท่านก็ควรให้เราไปนะ เพราะเราก็ไม่ได้ทำอะไรให้เสียหาย

พี่ก็เล่นไม้นี้มาตลอด ทุกครั้งที่เรา (ครอบครัวพ่อ แม่ น้องสองคน น้าชาย ลุง ผู้เป็นโจทก์ ) ดุ ดา ว่า พี่ แรกๆ พี่ก็เถียงคอเป็นเอ็น กะเป็นทนายแก่ต่างให้วัด แต่ผลสุดท้าย เราก็แพ้ทุกครั้ง ไม่ได้แพ้ด้วยเหตุผล แต่พี่ยอมแพ้เองเพราะ บรรยากาศมันแย่เอามากๆ บ้านร้อนจนพี่รู้สึกได้
พี่เปลี่ยนวิธีใหม่ คือเมื่อเกิดประเด่น เรื่องวัด พี่จะนิ่งๆ เฉย ๆ จนพวกเข้าขี้เกียจ พูดไปเอง เราก็กลายเป็นดื้อเงียบ พี่ก็มาวัดตามปกติ พี่ ก็ทำบุญทุกบุญตามประสาเด็ก น้อย มัธยมจะทำได้ เก็บเงินค่าขนมสร้างองค์พระให้คุณพ่อ คุณแม่ ได้ 2 องค์ ด้วย ความภูมิใจ และ อฐิษธาน จิตทุกครั้ง ๆๆ พี่ยังจำได้ ทุกๆๆๆๆครั้ง ที่ทำบุญไม่ว่าบุญเล็ก บุญใหญ่ ว่าให้บิดามารดาเป็นสัมมาทิฐิ

ผ่านมาแล้ว 6 ปี จนพี่สอบเข้าแพทย์ที่ มศว ได้ คุณพ่อคุณแม่ก็คงเดิม พี่เองก็ยิ่งคงเดิม คือทำบุญทุกบุญอฐิษฐานตลอด ตั้งใจเล่าเรียน ทำทางโลกไม่บกพร่อง แต่ถึงยังไรเราก็ยังไม่เข้าใจกันและ ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณเมื่อตอนที่พี่จะขออบรม ธรรมทายาท ตอนอยู่ปี 1 ขึ้นปี 2
คุณพ่อไม่ยอมให้พี่บวช เราทะเลาะกันมาก สุดท้ายพี่กราบเท้าท่าน ขอบวช ส่วนคุณแม่ท่านช่วยประณีประนอม ทำให้คุณพ่อเซ็นต์อนุญาตอย่างเสียไม่ได้

ครอบครัวเราก็ยังคงเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ในทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องวัดพระธรรมกาย พวกเรารู้ดีกันทุกคนว่า ควรพยายามพูดถึงเรื่องวัดให้น้อยที่สุดหรือไม่ควรพูดเลย

แต่ทุกครั้งคนที่เริ่มเปิดประเด่น คือพี่ทุกครั้ง ที่ช่วยท่านทำบุญ ตอนจบพี่ ก็พบกับสิ่งเดิมคือ ใจที่ได้ฝึกฝนความอดทนอีกครั้ง และต้องอดทนมากขึ้น ๆ เมื่อพี่ทำงานชมรมพุทธที่มหาวิทยาลัย และเป็นประธานชมรมด้วย

12 ปีผ่านไป ทุกอย่างที่บ้านเหมือนเดิม และจะยิ่งแย่ลงไปอีก กับข่าววัดบนหน้า1 บนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ส่วนพี่ก็ยังคงเดิม คือพี่จบแพทย์แล้ว ทำตัวเป็นลูกที่ดีแต่ขอดื้อเรื่องวัดเรื่องเดียว แต่เราอิสระจากครอบครัวทำให้เราต้องถูกกดดันลดลงไปบ้างแต่ก็ไม่มากนัก

และแล้วคำอฐิษฐานพี่ก็สำเร็จ เมื่อ พี่พาแม่ไปพนาวัฒน์ได้ แม่ท่านก็ชวนคุณพ่อไปพนาวัฒน์ ท่านก็เชื่อกัน
พี่ใช้เวลา 15 ปีในการพยายามทุกทางให้ที่บ้านเป็น ครอบครัวธรรมกาย

เชื่อในพระรัตนตรัย ทำตัวให้ดีให้ท่านรักเรา เราก็ต้องรักท่านสุดหัวใจ

แล้วทุกอย่างจะสำเร็จอย่างมีความสุข

#8 *เอ*

*เอ*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 19 May 2005 - 03:00 PM

ขอแนะนำให้ติดจานที่บ้านด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่จะรู้อะไรดีๆขึ้นเยอะเลย

#9 มองอย่างแมว

มองอย่างแมว
  • Members
  • 722 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:NYC

โพสต์เมื่อ 19 May 2005 - 05:07 PM

กับคุณพ่อคุณแม่ต้องใช้เวลากับความอดทนครับผม
"ฉุดมันเอาไว้ หยุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันรวนเร ต้องหยุดนิ่งสุดใจ หยุดมันเอาไว้ ฉุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันซวนเซ ต้องฉุดให้ใจหยุด"
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)

#10 *จ.ใจเดียว*

*จ.ใจเดียว*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 19 May 2005 - 08:29 PM

ขอให้เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย

#11 *m. ning*

*m. ning*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 19 May 2005 - 09:35 PM

Do the good done,good thing,.You will get the good everytihng.Your family will understand you soon., Same with me . I am doctor. I am ever have same problem , but DMC will help you. ,trust me

#12 *ผู้ตั้งกระทู้*

*ผู้ตั้งกระทู้*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 19 May 2005 - 11:04 PM

คือ หนูพยายามขอให้เขาติดจานดาวธรรมแล้วค่ะ

ทั้งที่จริงหนูก้ร่วมบุญจานหนึ่งจาน ไปไว้ที่บ้านตั้งแต่ปีใหม่แล้วค่ะ

เขาไม่สนใจจะติด เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นพวกเดียวกับเรา โดนหลอก งมงาย

จานดาวธรรมก็เลยวางไว้ในตู้มาหลายเดือน จนกระทั่งบัดนี้

#13 แจ่ม

แจ่ม
  • Members
  • 196 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 May 2005 - 11:43 PM

อธิษฐานดีๆจ้ะ ขอให้สร้างบารมีได้โดยสะดวกไปทุกภพทุกชาติ

#14 TiGerPe@w

TiGerPe@w
  • Members
  • 5 โพสต์
  • Location:Shanghai, China

โพสต์เมื่อ 20 May 2005 - 01:37 AM

QUOTE(ผู้ตั้งกระทู้)
คือ หนูพยายามขอให้เขาติดจานดาวธรรมแล้วค่ะ

ทั้งที่จริงหนูก้ร่วมบุญจานหนึ่งจาน ไปไว้ที่บ้านตั้งแต่ปีใหม่แล้วค่ะ

เขาไม่สนใจจะติด เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นพวกเดียวกับเรา โดนหลอก งมงาย

จานดาวธรรมก็เลยวางไว้ในตู้มาหลายเดือน จนกระทั่งบัดนี้


ถ้าท่านมั่นใจว่าท่านเดินถูกทางก็ไม่เห็นต้องกลัวเลยนี่ครับ แบบนี้แสดงว่าไม่มั่นใจใช่ม้า (เพราะจริงๆของเราถูก อิอิ)

#15 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 20 May 2005 - 02:31 AM

กว่าจะตอบกระทู้นี้ได้ กระผมต้องใช้เวลาเรียบเรียงและจัดกระบวนความคิดอยู่หลายวัน ได้เห็นพี่น้องวงธรรมะด้วยกันพากันมาช่วยโพสต์ให้กำลังใจน้องเช่นนี้ เห็นแล้วก็น่าชื่นใจและต้องขอกราบอนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งนะครับ เอาเป็นว่าตอนนี้ นอกจากหนูจะได้เพื่อนกัลยาณมิตรผู้แนะประโยชน์แล้ว พี่เองไม่อยากให้หนูลืม "เพื่อนแท้ภายใน" ซึ่งก็คือ "บุญกุศลและพระธรรมกาย" นะครับ เพราะท่านนั้นอยู่กับเราตลอดเวลาเลย (แม้ว่าในขณะนี้เราจะยังไม่เข้าถึงท่านก็ตาม) พี่อยากให้น้องนำใจไปจรดให้ถูกที่ คือ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อันเป็นแหล่งแห่งความสุข เพื่อเป็นการชำระธาตุธรรมภายใน ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เป็นนิจ (เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยน้องได้ เท่ากับตัวของน้องเองนะครับ) และเวลานั่งธรรมะ ก็ขอให้น้องนึกถึงบุญบารมีที่น้องได้สั่งสมอบรมและบำเพ็ญมา นับตั้งแต่จุติแรกของการบังเกิดขึ้นด้วยกายมนุษย์ ตราบกระทั่งถึงในกาลปัจจุบันนี้ และที่จะได้กระทำให้ทับทวียิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคตกาล จากนั้น ให้อาราธนาบารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอายตนะนิพพานนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน นับอายุธาตุ อายุบารมีไม่ถ้วน ทั่วธาตุทั่วธรรม บารมีธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยสังฆเจ้าทั้งหลาย (ในที่นี้หมายเอาตั้งแต่ พระโสดาบันบุคคลกระทั่งถึงพระอรหันต์) อีกทั้งบารมีธรรมของมหาปูชนียาจารย์วิชชาธรรมกายทุกท่าน ในขั้นนี้ให้น้อมนึกเอาภาพของบิดามารดาให้มาปรากฏที่ศูนย์กลางกาย นึกให้ชัด ให้ใส ให้สว่าง แล้วน้อมจิตอาราธนาพระธรรมกายเบื้องบนจรดจนถึงที่สุดแห่งธรรมและของมหาปูชนียาจารย์วิชชาธรรมกาย (อันมีพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ หลวงพ่อฯ และคุณยายอาจารย์ฯ เป็นต้น) น้อมจิตขอถึงท่านว่า ขอพระองค์ได้ทรงโปรดเมตตาล้างต้นธาตุต้นธรรม เห็น จำ คิด รู้ ทั้งของฝ่ายบิดามารดา (ให้เอ่ยนามของทั้ง ๒ ท่าน รวมทั้งตัวเราด้วยนะครับ จะได้ชี้เฉพาะเจาะจงลงไปเลย) ตลอดจนตัวของเราให้กลับเป็น ฝ่ายบุญ ฝ่ายพระ ฝ่ายสัมมาทิฏฐิ ฝ่ายธรรมภาคขาว แต่เพียงส่วนเดียวล้วนๆ ได้โดยง่าย โดยเร็วพลัน เป็นอัศจรรย์ ในกาลปัจจุบันฉับพลันนี้เทอญ จากนั้น จึงจะแผ่เมตตาและอุทิศบุญกุศลที่ได้กระทำบำเพ็ญมาแล้วด้วยดีให้กับท่าน ตลอดจนคู่กรรมคู่เวรในอดีตชาติ ที่เราเองได้เคยไปขัดขวางในกองบุญกองกุศลของเขา หนักจะได้เป็นเบา เบาก็จะหาย และก่อนเลิกนั่งสมาธิทุกครั้ง นอกจากจะต้องอธิษฐานล้อมคอกให้แน่นหนา ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านได้อบรมสั่งสอน เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเราจากบาปอกุศลแล้ว สำหรับในกรณีของน้องนั้น คำอธิษฐานที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ

"ขอให้ข้าพเจ้าได้ถือกำเนิดบังเกิดในตระกูลของนักปราชญ์บัณฑิต ผู้เป็นกัลยาณมิตรและสัมมาทิฏฐิบุคคลเท่านั้น และขอให้ข้าพเจ้าพึงอยู่ห่างไกลจากสิ่งอันเป็นพาลทั้งหลาย อันนับเนื่องเข้าในข่ายของธรรมดำภาคมารฝ่ายบาปอกุศลทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นในรูป คน สัตว์ สิ่งของ และขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้ที่มี "ความเจริญคล่องตัวทั้งทางโลกและทางธรรม" อยากทาน ขอให้ได้ทาน อยากรักษาศีล ขอให้ได้รักษาศีล อยากเจริญภาวนา ขอให้ได้เจริญภาวนา อยากศึกษาวิชชาธรรมกาย ก็ขอให้ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายและเป็นผู้ที่แตกฉานในวิชชาธรรมกายได้อย่างสุดประมาณ และหากปรารถนาสิ่งใดอันเป็นไปในทางที่ชอบประกอบไปด้วยกุศล ก็ขอให้สัมฤทธิผลดังกมลที่มุ่งมาดปรารถนาจงทุกประการ ขอความปรารถนาของข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ จงสำเร็จประโยชน์แก่ข้าพเจ้า นับแต่ปัจจุบันกาลนี้ และตลอดไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ."

นิพพาน น ปจฺจโย โหตุ


ปล. ขอย้ำว่า!!! ทุกขั้นตอนที่แนะนำมานี้ ต้องทำทุกวัน และต้องทำเป็นอย่างยิ่งในพิธีกรรมภาคบ่ายของทุกวันอาทิตย์ ซึ่งไม่ควรขาดเลยนะครับ

ท้ายนี้ พี่ก็มีบทกลอนดีๆ ที่คัดสรรมา เพื่อเป็นกำลังใจให้ "แด่...นักรบใหม่แห่งกองทัพธรรม" นะครับ

๑) ให้ท่าน ท่านจักให้ ตอบสนอง
นบท่าน ท่านจักปอง นอบไหว้
รักท่าน ท่านจักครอง ความรัก เรานา
สามสิ่งนี้เว้นไว้ แต่ผู้ "ทรชน" (คนเลว)


(โคลงโลกนิติ)


๒) แม้มิได้เป็นดอกกุหลาบหอม
ก็จงยอมเป็นเพียงลดาขาว
แม้มิได้เป็นจันทร์อันสกาว
จงเป็นดาวดวงแจ่มแอร่มตา

แม้มิได้เป็นหงส์ทะนงศักดิ์
ก็จงรักเป็นโนรีที่หรรษา
แม้มิได้เป็นแม่น้ำคงคา
ก็จงเป็นธาราใสที่ไหลเย็น

แม้มิได้เป็นมหาหิมาลัย
จงพอใจจอมปลวกที่แลเห็น
แม้มิได้เป็นวันพระจันทร์เพ็ญ
ก็จงเป็นวันแรมอันแจ่มจาง

แม้มิได้เป็นต้นสนระหง
จงเป็นพงอ้อสะบัดไม่ขัดขวาง
แม้มิได้เป็นนุชสุดสะอาง
จงเป็นนางที่มิใช่ไร้ความดี

อันจะเป็นอะไรนั้นไม่แปลก
ย่อมผิดแผกดีงามตามวิถี
ประกอบกิจบำเพ็ญให้เด่นดี
สมกับที่ตนเป็นเช่นนั้นเทอญ


(อาจารย์ ฐาปนีย์ นาครทรรพ : ประพันธ์)


"ผู้ที่มีธรรมะอยู่ในใจแล้ว
ย่อมไม่ทุกข์โศก ไม่เศร้าหมอง
ผู้มีธรรมะแล้ว ย่อมรู้ชัดซึ่งความผิดของตนเอง
และไม่นำเอาความผิดของผู้อื่นมาแบก"


"อุปสรรคใดๆ ในโลกนี้
เขานั้นมีเอาไว้ให้เราข้าม
อย่ายอมแพ้แต่จงพยายาม
อยู่ที่ความ คิด รู้ สู้ที่ ใจ
อุปสรรคแค่นี้ก็แค่นี้
อุปสรรคแค่นี้สักแค่ไหน
อุปสรรคแค่นี้สักเท่าใด
อุปสรรคแค่ไหน ใจคิดเอง"


(ตะวันธรรม : ประพันธ์)


ขอให้น้องจงโชคดี ได้รู้ เห็น และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายภายในที่สว่างไสว ที่ละเอียดสุดละเอียด ให้ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายกับมหาปูชนียาจารย์ฯ ให้ได้สร้างบารมีตามติดท่านและหมู่คณะพร้อมทีมงาน ไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างไม่มีถอนถอย และไม่มีวันพลัดพรากจากวิชชาธรรมกาย นับแต่บัดนี้ และตลอดไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมนะครับ สาธุ...
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#16 *ผู้ตั้งกระทู้*

*ผู้ตั้งกระทู้*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 21 May 2005 - 12:25 AM

ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านนะคะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจ

หนูรู้สึกว่าหนูใกล้กับหลวงพ่อมากขึ้นค่ะ

นับตั้งแต่เกิดเรื่อง

และก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึงท่าน

#17 *ตี๋ม.ธ.*

*ตี๋ม.ธ.*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 21 May 2005 - 09:42 AM

เป็นกำลังใจให้น้องเจ้าของกระทู้ จงเชื่อมั่นในบุญกุศลที่เรากระทำมา และตั้งใจกระทำ ขอให้หมั่นทำต่อไปทั้ง ทาน ศีล และภาวนา อย่างที่ทุกๆ ท่านได้แนะนำมาให้ท่านแล้วนะ

เพราะพี่เองเคยเจอมาเหมือนน้อง เช่นกันครับ ปัจจุบัน ก็เบาบางไปมาก ที่เหลือคือพวกเพื่อนๆ ร่วมงานที่อยู่รอบข้าง มีทั้ง ร่วม และไม่ร่วมสร้างบารมี ก็มี

สู้ต่อไป ให้ถึงที่สุดแห่งธรรม

#18 niwat

niwat
  • Members
  • 1420 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 21 May 2005 - 10:20 AM

ถึงแม้ช่วงนี้จะห่างวัดไปบ้าง ก็อย่าลืมนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมทุกวัน ทำใจใสๆ แล้วก็นึกถึงหลวงพ่อไว้ในกลางกายแล้วอธิฐานจิต... (เมื่อท่านทำสมาธิท่านก็นำลูกๆของท่านไว้ที่กลางกายท่านเช่นกัน)

และที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เราสามารถทำหน้าที่กัลฯผู้นำบุญชักชวนคนทำความดีได้ตลอดเวลา เพื่อที่เราจะได้ทำความปราถนาของหลวงพ่อในการสร้างศาสนสถานรองรับพุทธบุตรทั่วโลกให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์.

ขอน้อมนำเนื้อเพลงจดหมายจากตะวัน ที่มีเนื่อเพลงว่า...
"เราต่างก็มีหน้าที่ เพื่อทำโลกนี้ให้พราวไสว
แม้ไม่พบกัน ก็ไม่เป็นไร เพราะใจของเราคิดถึงกัน"


ขอให้น้องสู้ต่อไปน่ะครับ

อนุโมทนาบุญ smile.gif

#19 sao-wanee

sao-wanee
  • Members
  • 100 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 May 2005 - 09:33 AM

ตอนแรกต้องอนุโมทนาบุญกับน้องก่อนเลย สาธุ^/^
ดจังค่ะ เป็นอภิชาตบุตรีเลย (ใช่เปล่าค่ะ หากผิดขออภัยค่ะ)

ส่วนใหญ่มีปัญหาทุกครอบครัวแหละค่ะจะมากหรือน้อย แต่เราไม่ควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ๋
หากเป็นเรื่องเล็ก ก็ทำให้ไม่เป็นเรื่องเลยจะดีกว่า
เพราะคนเราต่างจิตต่างใจ สัมมาทิฐิต่างกัน
แต่ความอดทน ความมีขันติ ของน้องนั้นสำคัญ ไปตลอดชีวิตเลยล่ะค่ะ
หากคิดว่า พวกเราเดินมาถูกทางแล้ว ก็ลองกันสักตั้งเป็นไร ไม่เห็นเสียหายอะไร
ในการสั่งสมบุญบารมี เตรียมเสบียงไว้ใช้ในวัฎฎะ
เหมือนพี่นัดฝัน พี่หมอส้มแนะนำ
ครอบครัวพี่นี่นะ คล้าย ๆ ของพี่หมอส้ม
แต่มาเป็นพัก ๆ บ้างทีก็ตามมา พวกเค้ายังไม่เข้าใจ ว่าชีวิตเรา ๆ เกิดมาทำอะไร
อะไรคือจุดมุ่งหมายของชีวิตที่แท้จริง พูดไปแล้วก็เหนื่อย บ้างทีโต้ซะเราอึ้ง
จนบางที เฮ้ย! เรากำลังสร้างวิบากวจีกรรมให้เค้าเปล่าเนี่ยะ
เลยเฉย ๆ บ้าง บางทีนะ ก็ได้แค่เตือน
เออ! ตอนหลัง ปล่อย ๆ จนบางทีคิดว่า
ตัวใครตัวมันแล้วกัน เอาไว้ไปเรียนรู้กันเองแล้วกัน
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ทิ้งไม่ได้ เป็นห่วงอยู่ดี
ทำบุญให้โดยเฉพาะพ่อแม่ ส่วนใหญ่ใช้ชื่อครอบครัวเป็นหลัก
เต็มกำลังที่มี
โดยเฉพาะอาทิตย์ต้นเดือน ขออารธนาบารมีหลวงปู่ คุณยายฯ หลวงพ่อธัมมะ
ส่งบุญไปให้พวกเค้าเหล่านั้นด้วย ทั้งที่มีชีวิตและล่วงลับไปแล้ว
โดยเฉพาะพวกที่ยังมีชีวิตอยู่ พ่อแม่พี่น้องให้ได้มาสร้างบารมีร่วมกัน
มีดวงตาเห็นธรรมกันซะทีเทอญ
ข้อความพี่หมอส้มนั้น ชัดเจนมาเลยนะค่ะ
ส่วนเรื่องติดจานหากพ่อแม่ไม่ยอมให้ติด
น้องก็หาแผ่นซีดีหรือวีซีดีเครสต่าง ๆ ไปให้ท่านดูก่อน
ผ่อนสั้นผ่อนยาว ตึงบ้างผ่อนบ้าง
แต่ที่สำคัญ ตัวน้องอย่าหลุดออกไปจากหมู่คณะนะค่ะ
เดี๋ยวจะตามกันลำบาก อิอิ

#20 *พี่สาวจากแดนไกล*

*พี่สาวจากแดนไกล*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 05 June 2005 - 12:41 PM

อ่านกระทู้ของน้องคนนี้แล้ว...นึกถึงประโยคที่ว่า "มารบ่มี บารมีบ่เกิด" ค่ะ
นี่แหล่ะค่ะ การสร้างบารมี ...ฝึกความอดทน ฝึกปัญญา เราจะค่อยๆแกร่งขึ้นค่ะ
ครอบครัวของพี่ ก็ไม่มีใครเข้าใจเลยค่ะ พ่อ แม่ พี่น้องทุกคน เขาต่อต้านกันหมดนะคะ
แม้แต่สามีของพี่เองก็เหมือนกันค่ะ.....พี่ต้องแอบทำบุญ..จะให้รู้ไม่ได้ ถ้ารู้เมื่อไหร่ ก็จะมีปัญหาทันที ...พี่จะไปวัดก็ไม่ได้...พี่เลยใช้วิธี..ฟังธรรมจากอินเตอร์เน็ตแทนค่ะ...แล้วฝึกสมาธิเอง
ตามวิธีทีพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอน..ต้องตื่นมาตอนที่สามียังไม่ตื่นเพื่อมานั่งสมาธิ(เขาจะได้ไม่รบกวน)...แล้วพี่ก็อธิษฐานทุกวัน...ขอให้สามีอย่าขัดขวาง การทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี ขอให้เขาเป็นสัมมาทิฐิ...แม้แต่เวลานี้พี่ก็อธิษฐานขอถือพรหมณ์จรรย์ให้ได้ตลอดรอดฝั่ง..อย่าได้มีความกังวลใจใดๆเลย...ดูเหมือนเป็นไปได้ยากนะคะ...แต่ขอให้น้องเชื่อในบุญเถอะค่ะ...ว่าเป็นไปได้แล้วค่ะ...ตอนนี้ที่บ้านพี่ติดจานดาวธรรมแล้วค่ะ...ให้คุณแม่ ให้น้องสาวได้ดู...ถึงแม้พี่ชายจะยังคงต่อต้านอยู่ ..คุณแม่พี่ยังคงเกรงใจพี่ชายอยู่ก็จริงนะคะ แต่คุณแม่จะแอบเปิดจานดาวธรรมฟังค่ะ ตอนที่พี่ชายไม่อยู่..ส่วนน้องสาวนั้น...จากคนที่ไม่เคยสวดมนต์ ไม่เคยทำสมาธิ..อารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย..ดื่มเหล้าทุกวัน...ตื่นตอนเที่ยง...เที่ยวกลางคืน..ไม่ขยัน ไม่ค่อยทำบุญ... เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นคนละคนไปแล้วค่ะ...เดี๋ยวนี้ ตื่นตี4 มาสวดมนต์ ทำสมาธิ มาใส่บาตรทุกวัน...เลิกเที่ยว เลิกเหล้า แล้วพยามเก็บเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อค่ะ
คุณแม่พี่ ..เปลี่ยนจาก คนที่ตระหนี่ ไม่ค่อยทำบุญ ตอนเช้าไม่อยากตื่นมาใส่บาตร ไม่อยากฟังจานดาวธรรม (บอกว่าไม่เห็นมีสาระ).... มาเดี๋ยวนี้ คุณแม่ตื่นมาใส่บาตรทุกเช้า ฟังจานดาวธรรมทุกวัน...ความตระหนี่ในการทำบุญลดน้อยลง เริ่มเข้าใจในบุญมากขึ้น...

ส่วนสามีพี่ แต่ก่อนนี้ จะไม่พอใจเมื่อรู้ว่าพี่ทำสมาธิ...สวดมนต์...มาเดี๋ยวนี้ เขาปล่อยแล้วค่ะ
ผลทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นมาได้ (อย่างอัศจรรย์)นี้ คือ...เวลาที่พี่ฟังธรรม เข้าใจเรื่องของบุญ เข้าใจเรื่องของวิบากกรรม ที่หลวงพ่อท่านสอน..แล้วพี่ก็อธิษฐานค่ะ...ด้วยการนึกน้อม คุณแม่ และน้องสาว และสามี เข้ากลางกาย...กราบขอบารมีธรรม ของมหาปูชนียาจารย์ทุกองค์ทุกท่าน..มีหลวงปู่สด จันทสโร ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย เป็นที่สุด กราบขอบารมีของคุณยายอาจารย์ กราบขอบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ช่วยกลั่นกาย วาจา ใจ ธาตุธรรม จำคิดรู้..ของทุกคนที่พี่น้อมเข้าศูนย์กลางกายนี้ ให้ใจเขาใส สะอาด สว่าง บริสุทธิ์ เปิดทางบุญให้เขาค่ะ ขอให้ทำได้สำเร็จ ...
พี่อธิษฐานทุกวัน..ขอให้น้องอย่าท้อถอยนะคะ....นึกถึงบุญ นึกถึงความดี ความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา..แล้วอธิษฐานนะคะ...ทำใจให้ใสๆ ใจใสๆแล้วมีพลังนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้น้องนะคะ...ทุกอย่างสำเร็จด้วยอานุภาพแห่งบุญค่ะ
พี่สาวจากแดนไกล

#21 *Guest*

*Guest*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 06 June 2005 - 10:52 PM

ส่วนวิธีของพี่นั้น พี่ก็คุยกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยเหตุผลว่า ถ้าไม่ให้เข้าวัด งั้นก็จะเที่ยวดิสโก้เธคเอามั๊ย

#22 *ผู้ตั้งกระทู้*

*ผู้ตั้งกระทู้*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 13 June 2005 - 01:04 PM

ขอกราบอนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรของโลก ทุกท่านนะคะ

ตอนนี้หนูมีกำลังใจที่จะสร้างบารมีอย่างหึกเหิมขึ้นมากมาย

จะพยายามไม่ตกบุญทุกบุญค่ะ

#23 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 05 August 2005 - 03:46 AM

ที่ถูกต้อง ณ เวลานี้ควรใช้คำว่า "มารมี บารมีลด มารหมด บารมีเพิ่ม" จะดูเหมาะกว่านะครับ สำหรับในกรณีของแขกผู้เยี่ยมชมที่บอกว่า "ถ้าไม่ให้เข้าวัด งั้นก็จะไปเที่ยวดิสโก้เธคเอามั้ย" ถ้าจะว่าไปแล้วหากฟังแบบเผินๆ ก็ดูเหมือนดีนะ แต่แท้ที่จริงแล้วหากพิจารณาดูให้ดีก็จะเห็นว่ามันมีอากัปกิริยาของการประชดประเทียดแฝงอยู่ นี่อันตราย!!! นะครับ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านเคยดูเคสของผู้ที่เคยมีกรรมเถียงพ่อแม่มาแล้ว และท่านยังได้กล่าวเตือนเจ้าของเคสนั้นด้วยว่า ถ้าไม่เลิกพฤติกรรมแบบนี้ เมื่อตายไปแล้วจะต้องไปรับโทษในมหานรกขุมที่ ๔ "โรรุวมหานรก" (แปลว่า "นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้") และเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะต้องป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่เกี่ยวกับช่องปากซึ่งรักษาให้หายได้ยาก อาทิ โรคมะเร็งในกล่องเสียง เป็นต้น สำหรับความเห็นส่วนตัวนั้น ผมเองก็เข้าใจนะครับว่า มนุษย์ปุถุชนเช่นเราเมื่อมีอายุมากขึ้น นิสัยอย่างหนึ่งที่จัดเป็นอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานที่เพิ่มมากเป็นเงาตามตัวไปด้วยประการหนึ่งก็คือ "ทิฐิ" (หมายถึง ความอวดดื้อถือดี) และเจ้านี่เป็นตัวร้ายเลยล่ะ โดยเฉพาะหากนำเอานิสัยดังกล่าวไปแสดงกับบุพการีอย่างชนิดไม่พอเหมาะพอสมแล้วล่ะก็ เดี๋ยว "มาร" มันจะเอาความผิดในกฎแห่งกรรมมาปรับคดีโทษเรา ชาตินี้ว่าแย่แล้ว ชาติหน้ามิยิ่งแย่ไปกว่านี้อีกหรือ จึงเตือนคุณมาด้วยความหวังดีและหวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะครับ
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#24 KATCH

KATCH
  • Members
  • 105 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 May 2006 - 10:54 PM

เรื่องนี้อาจมีที่มานะ ( เรื่องกรรมในอดีต ขอยกไว้ ) แต่มาดูเหตุปัจจุบันดีว่า
คงเคยได้ยินคำว่า จะทำดี ให้ได้ดี ต้อง 1. ทำให้ถูกดี 2. ทำให้ถึงดี 3. ทำให้พอดี
( หาอ่านเพิ่มเติมได้ที่หนังสือของหลวงพ่อทัตตชีโวค่ะ จำไม่ได้ว่าชื่อหนังสืออะไร )

เหตุการณ์ลักษณะนี้ มักจะเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ขอยกตัวอย่างนะ

สำหรับคนที่ไปวัดใหม่ๆ อย่างบางคนเพิ่งมาวัด หรือเพิ่งผ่านการอบรมธรรมทายาท ประมาณว่า
พออบรมเสร็จ ไฟลุกโชน อินมาก ปีติเกินไปสักหน่อย กลับไปก็ขึ้นเทศน์เลย ไปสอนคนที่เรารู้จัก โดยลืมไปว่าคนรับ เขาไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรเหมือนเรา อีกอย่างพื้นฐานใจก็ยังเป็นแบบคนในสังคมทั่วๆ ไป บางทีเขาอาจอยู่ในฐานะที่สูงกว่าเรา เช่น พ่อแม่ ครู หรือญาติพี่น้อง จึงทำให้เขามองเราว่าเรายังเป็นเด็กกะเปี๊ยกอยู่ ริอาจไปสอนผู้ใหญ่ มันเลยไม่ได้ผล ที่สำคัญหากเขาได้ข่าว ได้ข้อมูลที่ผิดๆ เกี่ยวกับวัดมา ป่วยการที่จะพูดแก้ต่าง เพราะภาพเรา มันกลายเป็นว่า เราเพี้ยนไป อินไป หรือโดนล้างสมอง นั่น..เป็นสิ่งที่เขาเห็น ซึ่งก็ถูกของเขานะ ที่เขาห้ามก็เพราะเขารักเรา ไม่อยากให้เราเป็นอย่างภาพที่เขาคิด ( แม้จะผิดก็ตาม ) แต่เท่าที่เคยเห็น..ก็พฤติกรรมเรา มันเข้าทางที่เขาอาจว่ามาจริงๆ ด้วยเพราะการขาดศิลปะของเราเองแท้ๆ

สิ่งหนึ่งที่มันเกิดการต่อต้านอย่างนี้ เพราะเมื่อเรารู้และเข้าใจเกี่ยวกับวัด หรือเกี่ยวกับธรรมะแล้ว ต้องค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า ที่สำคัญให้เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน ( เน้น ต้องมีศิลปะด้วยนะ ) ไม่ใช่ พอเข้าวัดปุ๊บ พอออกไปอยู่ในสังคมภายนอก เราก็บรรเลงเลย ถือศีล 8 อย่างเคร่ง เลิกคบเพื่อน แยกตัว กรณีอินจัด มาแต่วัด จัดชีวิตประจำวันไม่ลงตัว การงานที่เคยทำก็เสีย การเรียนก็กระท่อนกระแท่น ส่งผลกระทบให้คนรอบข้างเข้าใจผิด บางทีถึงคราวจะให้ข้อมูลคนรอบข้าง แทนที่จะค่อยพูดค่อยจา หรือฟังเขาให้มากก่อน ( จะได้รู้ว่าเราจะเข้าทางไหนถูกน่ะ ) กลับรีบไปยัดเยียดข้อมูลให้เขา ( เพราะบางท่านอาจรู้เยอะไปหน่อย คือ อยากบอกอยากเล่า แต่ไม่ได้นึกว่าเขาอยากฟังหรือเปล่า แน่นอนว่า เขาไม่รับ หรือรับไม่ได้แน่นอน เราเลยต้องหงายหลังกลับมา

ที่จริงแล้วเรามาวัด เราน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นและดีขึ้น ยิ่งเข้าวัดมากเข้า หน้าตาก็น่าจะผ่องใส มีนิสัยดีขึ้น การงาน การเรียนก็ก้าวหน้า ปฏิบัติตนต่อทิศทั้ง 6 ได้อย่างไม่บกพร่อง อย่างนี้รับรองว่า คนรอบข้างจะรู้สึกเลื่อมใสเราเอง เพราะ...เราเป็นคนที่พูดจาดี เชื่อถือได้ มีเหตุผล อารมณ์มั่นคง รักการเป็นผู้ให้ มีน้ำใจ จะเป็นผู้นำก็ได้ ผู้ตามก็ดี ฯลฯ ยิ่งแบบนี้เห็นแล้วก็อยากเข้าใกล้ เห็นเราแล้วมีความสุข เข้ามาปรึกษาปัญหาได้ ทำได้อย่างนี้ เดี๋ยวเขาก็จะเกิดคำถามขึ้นในใจเขาและถามเราว่า เอ ทำไมเราถึงได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้ มาถึงจุดนี้แล้ว เรียกว่าใจเขาพอจะอ่อนโยนขึ้นบ้างแล้วล่ะ ถึงตรงนี้ค่อยพูดเรื่องบุญ เรื่องวัดดีกว่าไหมจ๊ะ
จากนั้นก็ค่อยๆ ทำหน้าที่กัลยาณมิตรชวนเขามาเส้นทางนี้

แต่เท่าที่อ่านกระทู้แล้ว อืมมม ก็มาถึงรอบตัดเชือกแล้วเนอะ ยังไงก็แล้วแต่ คิดว่าไม่สายหรอก ผิดพลาดทางเทคนิคก็เริ่มใหม่ได้ ( แต่ต้องหมั่นให้กำลังใจตัวเองบ่อยๆ นะ ถึงจะล้มก็อย่าล้มนาน ต้องสู้ใหม่ ทำดีเรื่อยไป นึกเสียว่าตรงนี้อาจเป็นภาพกรรมในอดีตของเราก็ได้ เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยเวลาค่ะ เพราะบางคนอาจเจอหนักกว่าคุณอีก กว่าเขาจะพาที่บ้านมาวัดได้ ก็เป็นสิบปีแน่ะ แต่มันก็คุ้มค่ากับการรอคอยมิใช่หรือ อืมมม....คงต้องอาศัยลูกอึดสักกะหน่อย สู้ สู้ ไอ้มดแดง )

เป็นกองเชียร์ให้นะ...วิ้ดๆ บึ้ม ! ^__^ laugh.gif
( 555 เป็นอะไรที่พิมพ์นานนนนนมาก ขอบอก จิ้มดีด แฮ่ะๆ แต่ไม่เป็นไร เราก็รักที่จะเอาใจช่วยมากกว่า ....บายยยยย )

#25 ง่ายๆ

ง่ายๆ
  • Members
  • 147 โพสต์
  • Location:USA

โพสต์เมื่อ 15 June 2006 - 07:12 PM

เห็นใจจังครับ เศร้ามากครับ เข้มแข็งไว้นะครับ ให้มั่นคงในคุณความดี เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำน่ะถูกต้องแล้ว ทำต่อไป สักวัน ท่านต้องเข้าใจครับ เอาใจช่วยนะ
หลุดพ้นจากพันธนาการ


#26 ป่าน072

ป่าน072
  • Members
  • 371 โพสต์
  • Location:โคราช
  • Interests:การศึกษาต่อในวิชา วิทยาศาสตร์<br />วิศวะปิโตรเคมี

โพสต์เมื่อ 23 August 2006 - 04:57 PM

ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างเพิ่มขึ้นนะคะ สาธุ
เมื่อดวงตาปิดสนิมอย่างละมุน
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง

#27 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 31 January 2007 - 02:15 PM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ