ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ

นั่งเพลิน ๆแล้วถูกดูดมาที่กลางท้องอย่างแรง


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 17 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

แบบสำรวจ: นั่งเพลิน ๆ แล้วถูกดูดมาที่กลางท้องอย่างแรง (2 สมาชิก ได้เข้าร่วมลงคะแนน)

นั่งเพลิน ๆแล้วถูกดูดมาที่กลางท้องแรก ๆ ก็แค่วนเวียนดูดเบา ๆ พอซักพักก็ดูดแรงมากเหมือนไม่เหล็กดูด

  1. ต้องวางใจหรือทำอย่างไรต่อครับ (2 ลงคะแนน [100.00%])

    อัตราส่วนของคะแนน: 100.00%

ลงคะแนน ผู้มาเยือนไม่มีสิทธิ์ลงคะแนน

#1 usr33640

usr33640
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 October 2010 - 08:55 AM

นั่งเพลิน ๆแล้วถูกดูดมาที่กลางท้องอย่างแรง ต้องวางใจหรือทำอย่างไรต่อดีครับ

#2 ขุนรบพระนิพพาน

ขุนรบพระนิพพาน
  • Members
  • 39 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 October 2010 - 09:49 AM

เท่าที่เคยได้ยินในเคส study มา หลวงพ่อแนะนำว่าให้วางใจเฉยๆต่อไปนะครับ (ผมก็ไม่เคยเหมือนกัน) : ) sleep.gif

#3 usr37097

usr37097
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 October 2010 - 09:55 AM

มี3 ทางเลือก
1.ทำเฉยๆ ปล่อยให้มันดูด แบบเพลินๆต่อไป
2.เลิกนั่งไปเลย
3.นอนหลับ

ลองไปฟังหลวงพ่อฯนำนั่งสมาธิ แล้วตัดสินใจดู ว่าจะเลือกข้อไหน


#4 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 October 2010 - 04:46 PM

ดีแล้ว มาถูกทางแล้วครับ ปล่อยใจนิ่งๆเฉยตรง 072 จะปรากฎ ดวง และกายในกาย จนถึง พระธรรมกายภายใน

เมือเห็นแล้วก็มาต่อวิชชา และเจริญวิชชาและวิปัสสนาที่แท้จริงต่อไป แม้ไม่เห็นอะไรเลยก็ให้พิจารณาธรรมะบ่อยๆครับ ให้ใจเราใสสว่างด้วยธรรมะ


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย

#5 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 06 October 2010 - 08:13 PM

...อย่าไปกลัว อย่าไปเร่ง อย่าไปเพ่ง อย่าไปจ้อง และหยุดความอยากทั้งหมดให้สิ้น
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#6 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 06 October 2010 - 10:51 PM

จดจำมา ว่า แรกๆ ที่ถูกดูด อาจจะวางใจเฉยๆ ยาก เพราะว่ายังไม่ชิน ยังตื่นเต้น ยังกลัว
ก็ฝึก ถูกดูดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเอง
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#7 usr33640

usr33640
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 October 2010 - 07:57 AM

ขอบพระคุณสำหรับทุกคำตอบ จะพยายามต่อไปครับ สาธุครับ

#8 ping

ping
  • Admin
  • 251 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 08 October 2010 - 06:37 PM

เจริญพร (เข้ามาตอบช้าไปหน่อย เพราะมีเรื่องอื่นๆเข้ามาแทรกทำให้ไม่ได้จังหวะเข้ามาตอบสักที)

หลวงปู่ท่านสอนไว้ว่า "ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิดประเสริฐนัก" และ "หยุดเป็นตัวสำเร็จ"

ให้น้อง นรอ.usr33640 ลองทำดังนี้ดูนะ

จำอารมณ์สบายที่ทำให้ใจรวมหยุดนิ่งแล้วทำให้เกิดอาการถูกดูดที่กลางท้องเอาไว้ น้อมเอาอารมณ์นั้นมาเป็นที่ตั้งของการทำสมาธิในครั้งต่อๆไปทุกครั้ง วางใจที่ศูนย์กลางกายและปล่อยใจให้อยู่กับอารมณ์สบายอย่างนั้นไปเรื่อยๆโดยไม่คาดหวังอะไรทั้งสิ้น ให้อารมณ์สบายนั้นหล่อเลี้ยงใจของเราไปให้นานที่สุดตรงที่ศูนย์กลางกาย ทำอย่างนี้ทุกๆวันต่อเนื่อง แล้วจะมีวันหนึ่งที่ใจจะถูกดูดเข้าไปภายในอีก และจะเป็นบ่อยๆเพิ่มมากขึ้น ก็ขอให้สละเวลาหาเวลานั่งเพิ่ม วันละหลายๆครั้ง ครั้งละนานๆขึ้น ประสบการณ์จะดีขึ้นและมั่นคงขึ้นไปเป็นลำดับ

และเวลาตอนที่ใจถูกดูดเข้าไปอีก ก็อย่าตื่นเต้น หรือตกใจ กลัว หรือดีใจ ให้ประคองใจหยุดนิ่งเฉยๆต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูประสบการณ์ภายในไปเรื่อยๆเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่าเอ๊ะอ๊ะหรือสงสัยใดๆ ให้รักษาความนิ่งของใจต่อไปอย่างสบายๆ เราเป็นเพียงผู้ดูไม่ใช่ผู้กำกับ ดูไปเรื่อยๆอย่างสบายๆ และอย่าให้มีความทะยานอยากเข้าครอบงำใจ แล้วประสบการณ์ภายในจะดีขึ้นเรื่อยๆ และไม่จำเป็นที่ประสบการณ์จะต้องเหมือนกันทุกครั้ง เวลามีประสบการณ์ภายในอะไรเกิดขึ้น ก็ให้สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ามันเป็นของมันอย่างนั้นเอง หยุดนิ่งอย่างเดียว เท่านั้น...

และการถูกดูดเข้าไปภายในนั้น จะมี 2 แบบ

แบบที่ 1 ก็คือแบบที่น้องได้สัมผัสแล้ว คือ แบบถูกดูดแรง แบบนี้มักทำให้เราที่ยังไม่เคยชิน อาจรู้สึกกลัว ตกใจ หรือสงสัย ก็เป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวเคยชินแล้วจะหายไปเอง (การถูกดูดแบบที่ 1 นี้เป็นขั้นตอนที่กำลังปรับจากหยาบภายนอกไปสู่ความละเอียดภายใน) แสดงว่าน้อง นรอ.usr33640 มาถูกทางแล้ว ให้ขยันนั่งสมาธิให้ต่อเนื่องในช่วงนี้จะทำให้ใจหยุดได้ง่ายขึ้นและมีประสบการณ์ที่ดีขึ้นไปเป็นลำดับ

แบบที่ 2 ก็คือแบบถูกดูดอย่างนุ่มนวลเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็หลุดเข้าไปมิติภายในทันที ไม่มีการอาการเหมือนแบบที่ 1 (วื้ดเดียวแบบนุ่มๆเบาๆสบายๆแล้วเข้ากลางภายในไปเลย) อย่างนี้จะไม่รู้สึกตกใจกลัว แต่จะตื่นเต้น หรือสงสัยบ้าง ก็ทำบ่อยๆให้เคยชินแล้วจะหายไปเอง ซึ่งแบบที่ 2 นี้ เกิดจากการทำสมาธิมาอย่างต่อเนื่องจนบุญบารมีอินทรีย์ในตัวพร้อมที่จะเข้าถึงธรรมภายในมาก เมื่อหยุดใจนิ่งได้ถูกส่วน ก็จะเกิดการดูดเข้าสู่ภายในแบบที่ 2 ดังกล่าว

และไม่ว่าประสบการณ์ภายในของเราจะเป็นแบบที่ 1 หรือแบบที่ 2 ก็ดีทั้งนั้น และก็ให้ใช้สูตรเดียวกันคือ หยุดนิ่งเฉยอย่างเบาๆสบายๆให้ต่อเนื่องต่อไปเรื่อยๆ (หยุดเป็นตัวสำเร็จ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ เป็นคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ที่หลวงพ่อท่านนำมาสอนไว้)

แบบที่ 1 จะมีอาการถูกดูดไปสักพัก ถ้าเราสามารถประคองใจนิ่งๆต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวใจจะถูกส่วน แล้วจะตกศูนย์เข้าไปสู่มิติภายใน จะพบกับความสว่าง เป็นจุดเล็กๆบ้าง เป็นแสงสว่างคลุมไปทั่วทุกทิศบ้าง ฯลฯ ก็ให้ใช้ใจหรือความรู้สึกที่เป็นตัวเรามองเข้าไปที่กลางความสว่างนั้น ให้ใจไปหยุดอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ ให้นานที่สุด เมื่อใจละเอียดถูกส่วนมากยิ่งขึ้น เดี๋ยวดวงปฐมมรรคจะผุดขึ้นมาจากศูนย์กลางกายกลางท้องของเราให้เห็นเอง

แบบที่ 2 จะไม่มีอาการถูกดูดเหมือนแบบที่ 1 จะวื้ดเดียวแล้วจะตกศูนย์เข้าไปสู่มิติภายในไปเลยอย่างนุ่มนวลเบาสบาย ต่อจากนี้ก็ให้ทำเหมือนกับที่แนะนำไปในแบบที่ 1 จนดวงปฐมมรรคผุดขึ้นมาให้เราเห็น

เอาแค่นี้ก่อน ...

ถ้ามีประสบการณ์มาถึงตรงนี้แล้วเมื่อไหร่ ก็ให้ใจของเราหยุดนิ่งเฉยอย่างสบายๆที่ตรงศูนย์กลางของดวงปฐมมรรค หรือสิ่งที่เรากำลังเห็นต่อไปเรื่อยๆ แล้วประสบการณ์จะพัฒนาต่อไปเองอย่างเป็นธรรมชาติจนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกายภายใน

บุญรักษา

#9 usr33640

usr33640
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 October 2010 - 10:16 AM

ก่อนอื่นต้องกราบนมัสการพระอาจารย์ping และกราบขอบพระคุณครับที่ช่วยสอนเป็นขั้นตอน เข้าใจแจ่มแจ้งดีและจะพยายามนั่งเยอะ ๆ ต่อ ไปครับ แต่เรียนถามอีกอย่างคือตอนนอนผมชอบปรับใจให้เบาขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเคลิ้ม ๆ จะหลับแล้วรู้สึกเหมือนจะุ่พุ่งออกนอกโลกดิ่งลงเร็วมากเหมือนตกลงเหวลึก ๆนะครับแต่มันไม่สุดซักทีเหมือนใจจะขาดครับ คราวหลังผมเลยกำหนดไว้ในใจไว้ว่าถ้าพุ่งอีกฉันจะต้องลืมตา(แบบชีวิตจริงกลัวความสูงนะครับ) เมื่อดิ่งทุกครั้ง ส่วนใหญ่ก็จะลืมตาแทบทุกครั้ง แล้วรู้สึกเหมือนใจเต้นแรง แบบนี้ต้องวางใจอย่างไรครับ(ทำอย่างไรครับเพราะกลัวความสูง)

จริง ๆ แล้วผมเคยนั่งได้ในระดับฟ้าสางนะครับนั่งไปชั่วโมงที่่ 2 รู้สึกเหมือนมีเมฆจาง ๆ เคลื่อนผ่านแล้วค่อย ๆ สว่างขึ้นๆ ก็ถามตัวเองว่าไหนว่าต้องเห็นองค์พระกับดวงแก้ว ทำไมมีแต่เมฆจาง ๆ ลอยผ่าน ก็เลยเลิกนั่งครับ( ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ศึกษานะครับ ว่าเขาจะเริ่มเป็นอย่างไรก่อน เน้นนั่งอย่างเดียว เพราะตอนนั้นนั่งแล้วมีความสุขทุกครั้งแม้ใครเปิดเพลงดัง ๆ เมื่อเข้าสมาธิแล้วก็ไม่สนใจนั่งได้ครับ นั่งตรงไหนก็ได้ขอให้มีที่นั่งก็พอ )
ขอกราบนะมัสการครับ นักเรียนอนุบาล 33640

#10 กิตติ ไตรรัตน์

กิตติ ไตรรัตน์
  • Members
  • 51 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 16 October 2010 - 12:30 PM

อนุโมทนากับการนั่งธรรมะด้วยครับ
Website Coach Kitti http://coachkitti.com


ความดี คนดีทำได้ง่าย คนชั่วทำได้ยาก
ความชั่ว คนชั่วทำได้ง่าย คนดีทำได้ยาก
ดังนั้น ความดี ทำได้ง่ายมากๆๆๆ

#11 ping

ping
  • Admin
  • 251 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 16 October 2010 - 11:33 PM

เจริญพร น้อง นรอ.usr33640

QUOTE
เรียนถามอีกอย่างคือตอนนอนผมชอบปรับใจให้เบาขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเคลิ้ม ๆ จะหลับแล้วรู้สึกเหมือนจะุ่พุ่งออกนอกโลกดิ่งลงเร็วมากเหมือนตกลงเหวลึก ๆนะครับแต่มันไม่สุดซักทีเหมือนใจจะขาดครับ คราวหลังผมเลยกำหนดไว้ในใจไว้ว่าถ้าพุ่งอีกฉันจะต้องลืมตา(แบบชีวิตจริงกลัว ความสูงนะครับ) เมื่อดิ่งทุกครั้ง ส่วนใหญ่ก็จะลืมตาแทบทุกครั้ง แล้วรู้สึกเหมือนใจเต้นแรง แบบนี้ต้องวางใจอย่างไรครับ(ทำอย่างไรครับเพราะกลัวความสูง)


วิธีแก้ การกลัวความสูง

สมัยยังเด็กจนถึงวัยรุ่น(นิสิตปี 1)หลวงพี่เองก็เคยกลัวความสูงเช่นกัน เฉียดไปใกล้ที่สูงเมื่อใดจะรู้สึกหวิวๆที่ใจ แล้วร่างกายมันจะเริ่มเซ แล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที แต่เมื่อมาเข้าชมรมพุทธที่จุฬาฯแล้ว ศึกษาและปฏิบัติธรรมะมากขึ้น อยู่มาวันหนึ่งก็บอกกับตนเองว่า จะต้องเลิกกลัวความสูงให้ได้

เลยไปยืนจับราวเหล็กบนระเบียงนอกหน้าต่างบนชั้นของตึกที่สูงๆแล้วหลับตา แล้วค่อยๆลืมตามองแล้วมองลงไปข้างล่างพื้นดิน ก็เกิดอาการใจหวิว แล้วความกลัวก็ตามมา ก็หลับตาลง(อยู่สักพักใหญ่) จนความรู้สึกใจหวิวค่อยๆหายไปและความกลัวค่อยๆหายไป(โดยคิดสอนตนเองว่า ที่เรากลัวเรากลัวอะไร อ่อ..เรากลัวตายนั่นเอง ก็บอกกับตนเองว่า ก็จับราวเหล็กแน่นซะขนาดนี้ ไม่ตกลงไปตายหรอก อย่ากลัวตายไปเลย เราจะไม่กลัวตายๆๆๆๆ บอกตนเองอย่างนี้อยู่หลายๆครั้งในใจ) ก็จะลืมตาดูใหม่ ก็เกิดอาการใจหวิว และกลัว แต่ปริมาณจะน้อยลงกว่าครั้งแรก ก็หลับตาลง รอจนอาการหวิวและกลัวค่อยๆหมดไป ก็ลืมตาดูใหม่ (แน่นอน มือยังจับที่ราวเหล็กแบบแน่นสุดชีวิต และไม่กล้าขยับตัวเลย).....ก็ให้ทำสลับกันไปใน
ลักษณะนี้หลายๆครั้ง จนกระทั่งพอเราลืมตาดูข้างล่างพื้นดินแล้วเราไม่รู้สึกใจหวิว และไม่รู้สึกกลัวอีก ก็เป็นอันเสร็จพิธี (ถ้าให้ดี พาเพื่อนที่ไม่กลัวความสูงไปยืนอยู่ข้างๆเราด้วย เราก็จะรู้สึกอุ่นใจ รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เผื่อมีอะไร เพื่อนมันจะได้ช่วยเราได้ทัน)

จากนั้นมา ความรู้สึกกลัวความสูง ก็หายไปเลย (แต่ก็ยังต้องระวังที่สูงอยู่ดี เพราะเราจะประมาทไม่ได้) แต่ใจจะไม่หวิว และไม่กลัวความสูงอีกต่อไปเวลาที่ต้องเฉียดไปใกล้บริเวณขอบพื้นที่สูงๆ...

วิธีแก้ การกลัวความสูง(ในสมาธิ)

ต้องสู้ด้วยความไม่กลัว จึงจะผ่านประสบการณ์นี้ไปได้ อย่ากลัว อย่าลืมตา ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่มันเป็น ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น มีอะไรให้ดูก็สักแต่ว่าดูไป รู้อะไรก็สักแต่ว่ารู้ แล้วทิ้งทฤษฎีทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดไปก่อน รักษาใจให้นิ่งๆเฉยๆสบายๆอย่างเดียว ให้คิดว่า ตายเป็นตาย(แต่ไม่ยักตายซะที) อย่างไรก็ได้ไปสวรรค์ เพราะเรากำลังทำความดี ให้คิดว่าพระธรรมกายท่านกำลังรอเราอยู่ที่สุดปลายทางนั้น หรือหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย กำลังรอเราอยู่ที่สุดปลายทางนั้น มีสิ่งดีๆกำลังรอเราอยู่ที่สุดปลายทางนั้น...ให้ปล่อยใจไปเลย อย่ากลัว และก็อย่าอยากที่จะลงไปจนเผลอไปเร่งประสบการณ์ เดี๋ยวจะใจถอนกลับออกมาซะก่อน

สรุปคือ เมื่อใจกำลังดิ่งลงไปตามทางนั้น ก็ให้ปล่อยใจตามไปเลย อย่ากลัว อย่าอยาก อย่าเอ๊ะอ๊ะสงสัยใดๆทั้งสิ้น ให้ทำใจเฉยๆ (โดยประคองใจให้เฉยๆ อย่าไปบังคับใจให้เฉยๆ ต่างกันนะตรงนี้) มีอะไรก็ดูไป รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ประคองใจให้นิ่งๆอย่างเดียว ไปจนกว่าจะถึงที่สุดปลายทางนั้น

และเมื่อไปถึงที่สุดปลายทางนั้นแล้ว จะหลุดเข้าไปสู่มิติภายใน แล้วเมื่อได้พบเห็นประสบการณ์ใดๆในตอนนี้ ก็ให้ทำอย่างเดิมอย่างเดียวคือ ประคองใจให้นิ่งๆ แล้วดูประสบการณ์ที่เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ มีอะไรให้ดูก็ดูไป แล้วส่งใจหรือความรู้สึกที่เป็นตัวเราไปตรงศูนย์กลางของสิ่งที่เห็น แตะลงไปเบาๆ ทำอย่างนี้เรื่อยไป...

การที่รู้สึกเหมือนใจจะขาด ก็เพราะใจกำลังจะหลุดจากกายหยาบไปสู่มิติภายใน ให้อดทนแล้วสู้ต่อไป แล้วจะดีขึ้นเอง...ลืมตาแล้วรู้สึกเหมือนใจเต้นแรง ก็เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อมีประสบการณ์มาถึงตรงนี้ อุปมาเหมือนรถ(ใจ)วิ่งมาเร็วๆแล้วกำลังจะหยุดแต่เราดันไปเหยียบเบรคกะทันหัน(ลืมตา) รถ(ใจ)มันก็เลยสั่นไปทั้งคัน(ใจเต้นแรง)


QUOTE
จริง ๆ แล้วผมเคยนั่งได้ในระดับฟ้าสางนะครับนั่งไปชั่วโมงที่่ 2 รู้สึกเหมือนมีเมฆจาง ๆ เคลื่อนผ่านแล้วค่อย ๆ สว่างขึ้นๆ ก็ถามตัวเองว่าไหนว่าต้องเห็นองค์พระกับดวงแก้ว ทำไมมีแต่เมฆจาง ๆ ลอยผ่าน ก็เลยเลิกนั่งครับ( ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ศึกษานะครับ ว่าเขาจะเริ่มเป็นอย่างไรก่อน เน้นนั่งอย่างเดียว


เมื่อมีประสบการณ์ภายในอะไรมาให้ดูให้เห็นก็ตาม ก็อย่าเอ๊ะอ๊ะสงสัย มีอะไรให้ดูก็ดูไป อย่าไปกำกับ อย่าไปปฏิเสธ ดูไปเฉยๆอย่างเดียว และก็ไม่จำเป็นว่า ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นไปตามที่ได้ยินได้ฟังมา และไม่จำเป็นว่าจะต้องเหมือนเดิมทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับความละเอียดของใจเราในตอนนั้นครั้งนั้นว่า จะละเอียดพอเหมาะกับประสบการณ์ใดก็จะเห็นประสบการณ์นั้น ก็แค่นั้นเอง...

และให้พึงพอใจกับทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เราทำได้ เพราะความพอใจจะทำให้ใจของเราเกิดความพอดี และความพอดีจะทำให้ใจของเราเกิดถูกส่วน และเมื่อใจของเราหยุดถูกส่วน ใจจะตกศูนย์แล้วเข้าสู่มิติภายในไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ...

ลองไปปฏิบัติตามดูนะ แล้วมีประสบการณ์อะไรก็มาเล่าให้ฟังต่อแล้วกัน...

อนุโมทนาบุญ สาธุ...

บุญรักษา



#12 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 October 2010 - 12:44 AM

สาธุกับพระอาจารย์ครับ ที่ได้ขยันมาโปรดตอนดึก พระอาจารย์ยังไม่จำวัตรเลย อิอิ นอนไวๆนะครับ เด๋วจะไม่สบาย ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง

.............

ขอแนะนำผู้ปฏิบัติเพิ่มเติมว่าให้

เพียรพยายามนั่งสมาธิบ่อยๆครับ

อาการที่เห็นนิมิตทั่วๆไป เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเราฝันไปครับ แต่ถ้าเห็นขนาดนี้ได้แล้ว ให้กำหนดจุดเล็กใสตรงกลางของกลางนิมิตทั่วๆไปนั้น

สักพักหนึ่ง หากเล็งได้ถูก 072 หากวางใจได้ถูกศูนย์ถูกส่วนดี ก็จะเข้าสิบตกศูนย์ ถูกดูดๆๆๆๆๆ ไปฐานที่ 6 ทันทีครับ แล้วจะเห็นดวงปฐมมรรคขึ้นมาทันใจ

หากสติ มากกว่าสมาธิ

จะรู้สึกอาการถูกดึงดูดได้อย่างมาก และมักจะหายไป ไม่เห็นดวง เพราะว่าสติมากเกิน มันแข็งไปครับ ไม่ยอมปล่อยวางให้มันดึงดูดตกศูนย์ไป

หากสมาธิ มากกว่าสติ

โดยมากจะอาการคล้ายคนนอนหลับ หรือเกิดอาการวูบๆ บ่อยๆ และอาจจะมีอาการถูกดูดวูบๆ สักพักหนึ่งเหมือนคนเพิ่งจะฟื้นคืนสติ แต่กลับเห็นดวงสว่างแวววาวเสมือนกระจกส่องเงาหน้า (อาการแบบนี้คล้ายๆที่ผมเห็น แต่ไม่ได้ง่วงนะครับ อิอิ)

หากสติ และสมาธิ เสมอกัน

จะรู้สึกสงบสว่าง สดชื่น แล้วเมื่อหยุดใจถูกส่วนก็จะถูกดูดไปฐานที่ 6 เข้าสิบตกศูนย์เห็นดวงธรรมลอยเด่นที่ฐาน 7 ได้อย่างชัดเจน บางคนก็สดชื่น บางคนก็ตกใจ ดีใจเกินคาด หายไปอีกก็มีครับ แต่พวกนี้จะเห็นกระบวนการต่างๆชัดมากเลยทีเดียว

เมื่อเห็นชัดเจนดีแล้วเป็นอุคคหนิมิต ชัดมากขึ้นเป็นปฏิภาคนิมิต และเข้าสิบตกศูนย์เป็นระดับดวงปฐมมรรคที่แท้จริง คราวนี้ก็จะติดตาติดใจ แม้ไม่ต้องนึกก็เห็นได้ครับ สว่างไสวอยู่อย่างนั้นเลยทีเดียว

...........................

เล็งสิบ เล็งศูนย์ กันให้ดีๆนะครับ แต่มิใช่เล็งจนเกร็ง แค่วางใจง่ายๆเบาๆ ตรงกลางของกลาง ตรงจุดเล็กใส เป็นพอครับ

กดดูครับ กดเลย>>> จุดเล็กใสกลางดวงในดวง

...........................

แต่ว่าสิ่งที่อยากจะเเนะนำก็คือ ทุกท่านจะสงบหรือไม่สงบ จะเห็นดวงหรือไม่เห็นก็ตาม ต้องมีสติฝึกโยนิโสมนสิการบ่อยๆ เริ่มที่เรื่องไตรลักษณ์นี่แหละครับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และธรรมะอื่นๆด้วย

เพราะบางท่านนี่ จี้จะเอาให้เห็นอย่างเดียว แต่ไม่เคยเลยที่จะพิจารณาธรรมะ บางคนหนักเลยพอนั่งแล้วไม่สงบ นั่งมานานหลายปีก็ไม่เห็น เลยท้อแท้ พอกันทีวิชชาธรรมกาย เลิกนั่งเปลี่ยนไปนั่งแบบสายอื่นๆเลย บางคนก็ออกห่างธรรมะไปเลย

เพราะคนเหล่านี้ไม่เข้าใจธรรมปฏิบัติอย่างแท้จริงนะครับ เขารู้แค่ว่านั่งเพื่อเห็น จริงๆแล้วเป็นการนั่งเพื่อภาวนาธรรมครับ


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย

#13 ping

ping
  • Admin
  • 251 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 17 October 2010 - 08:55 AM

เจริญพร โยม นรอ.ธาตุล้วนธรรมล้วน

ขอขอบใจที่เป็นห่วงสุขภาพของหลวงพี่ ก็พยายามจะไม่นอนดึกแล้วเชียว แต่วันนี้เพื่อนสหธรรมมิกชวนให้หลวงพี่ไปบอกบุญกฐินคุณยายกับท่าน ตั้งแต่ 09.45-17.15 น.กว่าจะกลับถึงวัด สรงน้ำเสร็จก็รีบเข้า office มาทำงานรับบุญต่อ ดูดาวธรรมไปด้วย เผลอแป๊บเดียวดึกซะและ ก็แวะเข้ามาดูในเว็บบอร์ด เลยอดไม่ได้ที่จะต้องเข้ามาตอบกระทู้ซะนิดนึง หันไปดูนาฬิกา แล้วก็บอกกับตนเองว่า ลุยตอบต่อไป เพราะอยากให้เจ้าของกระทู้ได้มาอ่านได้ไวๆทันใจทันใช้เอาไปปฏิบัติต่อได้

และช่วง ที่ต้องไปจำพรรษาช่วยงานที่ต่างประเทศ ก็จะเข้าเว็บบอร์ดตามเวลาที่สะดวกในต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเห็นหลวงพี่เข้ามาตอน ตี 3 ก็ได้ในเวลาของเมืองไทยจ้า

ขออนุโมทนาบุญ หลวงพี่โหลด จุดเล็กใสกลางดวงในดวง ไปเรียบร้อยแล้ว สาธุ...

จะพยายามไม่จำวัดดึกจ้า เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง และอายุจะได้ยืนๆ....

#14 usr33640

usr33640
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 October 2010 - 07:31 PM

เรียนถามต่อนะครับช่วงเช้ามืดประมาณตอนตี 5 นะครับพอรู้สึกตัวจะตื่น ชอบเห็นดวงสว่างจ้าอยูตรงหน้า พอตื่นขึ้นมามองก็หายไป เป็นประจำครับ(ตอนแรกก็คิดว่าใครเอาไฟมาส่องหน้า ) แต่ละครั้งขนาดดวงและสีของแสงจะไม่เหมือนกันครับ บางครั้งก็จ้าใสมาก ๆ บางครั้งก็ดวงกลม ๆ ขนาดจานข้าวแต่สีจะเป็นนีออนเหลือง ๆ เรียนถาม(พระอารจารย์ping หรือผู้รู้ก็ได้ครับ)ว่าใจเราเริ่มใสแล้วใช่ไหมครับ แล้วทำไมเวลาลุกขี้นมามองถึงได้หายไป

#15 usr33640

usr33640
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 October 2010 - 07:47 PM

ขอขอบคุณนรอ.ธาตุล้วนธรรมล้วนด้วยครับที่ส่งภาพให้คลิ๊กดู(เพิ่งเปิดดูเมื่อกี้เองครับ พอดีคอมฯมีปัญหานิดหน่อย) ดูภาพแล้วเหมือนตอนที่จะดิ่งเลยครับเหมือนมาก และดิ่งเร็วเหมือนใจจะขาด มองภาพแล้วจี๊ดที่ใจมาก จะมองบ่อยๆและตามไปครับจะได้ชิน อาจจะใช้สูตรพระอาจารย์ ping ร่วมด้วยคือไปยืนที่สูงบ่อย ๆ ขอคุณอีกครั้งครับ ได้ผลเป็นอย่างไรจะมารายงานครับ

#16 ping

ping
  • Admin
  • 251 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 22 October 2010 - 08:56 PM

เจริญพร โยมน้อง นรอ.usr33640

QUOTE
เรียนถามต่อนะครับช่วงเช้ามืดประมาณตอนตี 5 นะครับพอรู้สึกตัวจะตื่น ชอบเห็นดวงสว่างจ้าอยูตรงหน้า พอตื่นขึ้นมามองก็หายไป เป็นประจำครับ(ตอนแรกก็คิดว่าใครเอาไฟมาส่องหน้า ) แต่ละครั้งขนาดดวงและสีของแสงจะไม่เหมือนกันครับ บางครั้งก็จ้าใสมาก ๆ บางครั้งก็ดวงกลม ๆ ขนาดจานข้าวแต่สีจะเป็นนีออนเหลือง ๆ เรียนถาม(พระอารจารย์ping หรือผู้รู้ก็ได้ครับ)ว่าใจเราเริ่มใสแล้วใช่ไหมครับ แล้วทำไมเวลาลุกขี้นมามองถึงได้หายไป


ถูกต้องแล้ว ใจเริ่มใสแล้ว และที่เวลาลุกขึ้นมามองแล้วหายไปเพราะว่า ใจยังละเอียดไม่พอ พอลืมตาใจเลยถอนออกมา จึงทำให้ไม่เห็นอีก

ควรปฏิบัติดังนี้

พอรู้ตัวจะตื่น แล้วเห็นดวงสว่างอยู่ตรงหน้า ก็อย่าเพิ่งลืมตา ให้ดูไปสักพักแล้วค่อยๆน้อมให้ดวงสว่างนั้นมาอยู่ตรงตำแหน่งศูนย์กลางกายฐานที่ 7 โดยค่อยๆไล่จากฐานที่ 1 มาถึงฐานที่ 7 (ให้ศึกษาภาพที่ตั้งของใจฐานทั้ง 7) โดยทำแบบนี้ทุกครั้งไป ประคองดวงสว่างให้มาอยู่ตรงตำแหน่งดังกล่าวแต่อย่าไปบังคับนะ ค่อยๆทำ และอย่าไปกังวลเรื่องเวลา ถ้ากลัวว่าจะไม่ทันไปทำธุระอย่างอื่น ก็ให้บอกกับตนเองว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นี้นี่แหละ เป็นกิจอันแท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์ อย่างอื่นไว้ทีหลัง...

ลองไปทำดูนะ ได้ผลอย่างไรมาบอกแล้วกัน

บุญรักษา



#17 ธรรมประจำ

ธรรมประจำ
  • Members
  • 0 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 December 2010 - 10:20 AM

อนุโมทนาสาธุครับ

ขอขอบคุณ know how จากพระอาจารย์และผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านครับ

#18 Tor Alif

Tor Alif
  • Members
  • 36 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 September 2014 - 08:44 PM

กระทู้นี้ชอบมากเลยครับ :D เลยขออนุญาตขุดกระทู้เก่ามาคุยต่อน่ะครับผม เพราะมีข้อสงสัยนิดๆ

คืออ่านไปจะมีที่บอกว่า "ให้กำหนดจุดเล็กใสตรงกลางของกลางนิมิตทั่วๆไปนั้น

สักพักหนึ่ง หากเล็งได้ถูก 072 หากวางใจได้ถูกศูนย์ถูกส่วนดี ก็จะเข้าสิบตกศูนย์ ถูกดูดๆๆๆๆๆ ไปฐานที่ 6 ทันทีครับ แล้วจะเห็นดวงปฐมมรรคขึ้นมาทันใจ" หรือ "แล้วส่งใจหรือความรู้สึกที่เป็นตัวเราไปตรงศูนย์กลางของสิ่งที่เห็น แตะลงไปเบาๆ ทำอย่างนี้เรื่อยไป..."

- คือจะถามว่า เวลาทำสมาธิแล้วเห็นนิมิตที่เป็นภาพวิวทั่วไป  ให้นึกจุดเล็กใสกลางภาพ จะไม่เป็นการเอาสมาธิออกนอกตัวใช่ไหมครับ เมื่อเห็นภาพแล้วให้วางใจไว้กลางท้อง หรือกลางภาพ หรืออย่างไรดีครับ อยากรู้แบบละเอียด :)