ปฐมจิตตุปบาทกาล :: การเกิดขึ้นของดวงจิตดวงแรกที่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้า
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/quicktime.gif)
สมัยพระชาติหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมานพหนุ่มยากจน เป็นบุคลคนธรรมดาคนหนึ่ง
มานพนั้นได้เลี้ยงดูบิดามารดาเป็นอย่างดีด้วยความกตัญญู , ทำงานหนักทุกวัน บิดามารดาอยากให้บุตรแต่งงานเพราะจะได้แบ่งเบาภาระ
แต่เมานพไม่อยากครองเรือน มานพบอกว่าครอบครัวนั้นยากจนยากจน จึงอยากเลี้ยงดูพ่อแม่เท่านั้น ไม่อยากแต่งงาน
บิดามารดาก็เลยไม่ขัดต่อความคิดนั้น
ต่อมาบิดาของมานพเสียชีวิต มานพก็ต้องทำงานหนักกว่าเดิม วันหนึ่งมานพเดินไปเห็นเรือสำเภา จึงคิดว่าเราน่าจะหางานที่ดีกว่าการเก็บของป่าขาย, หาที่ทำกินดีๆ และเลี้ยงแม่ต่อไปดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็เข้าไปหาพ่อค้าซึ่งเป็นเจ้าของเรือ แล้วบอกว่าตนอยากมาทำงานด้วยและจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และได้ขอนำมารดามาอยู่ด้วย พ่อค้าก็ตกลง เพราะดูลักษณะร่างกายกำยำแข็งแรงคงทำงานให้ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับเป็นคนกตัญญูจึงตอบรับไว้
หลังจากนั้นก็ทำการออกเรือสำเภาขนส่งสินค้า เดินเรือไปในหมาสมุทร มานพหนุ่มก็ทำงานและเลี้ยงมารดาได้เป็นอย่างดี หลังจากเดินทางมาได้เพียง 7 วัน พายุก็พัดกระหน่ำมา
เมื่อรู้รู้ว่ามีพายุพัดมา มานพจึงก็รีบไปหามารดาและเตรียมหาหนทางหนี เรือนั้นไม่สามารถต้านทานต่อพายุได้จึงอัปปางลงพร้อมกับคนในเรือและสินค้าทั้งหลาย มานพได้แบกมารดาหนีและกระโดดออกจากเรือ จากนั้นก็พยายามว่ายน้ำหนีให้ไกลจากเรือเท่าที่จะทำได้ และเมื่อหันกลับมาดู พบว่า แม่คนอื่นๆ ลอยคอตาย บ้างก็โดนสัตว์ทะเลกินหมด มานพคิดเพียงสิ่งเดียวว่า ต้องพาแม่รอดให้ได้
จากนั้นก็ว่ายน้ำข้ามวันข้ามคืนก็เกิดอาการอ่อนเพลีย แต่ด้วยบุญบารมีที่ได้สั่งสมมากระตุ้นจิตสำนึกว่า วัฏฏสงสารนี้เป็นทุกข์เหมือนกับกำลังแหวกว่ายในท้องทะเล จุดๆ นั้นจะหมดแรงแล้ว คิดว่ากำลังจะตายแล้ว
ในขณะที่ว่ายน้ำอยู่กลางทะเลนั้น ใจของท่านเกิดมหากรุณา เกิดความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ คือปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนาที่จะสร้างความดีให้บรรลุธรรม สามารถค้นพบวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้ด้วยตัวท่านเอง ทรงตั้งปณิธานว่า ถ้าตัวเราถึงชีวิตพินาศขาดสูญลงในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่ พร้อมกับมารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งโพธิญาณ ขอเราได้ช่วยสัตว์ทั้งหลายอันเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงซึ่งฝั่งโน้นคือ อมตมหานิพพาน เมื่อพบแล้ว ก็ตั้งความปรารถนาที่จะเผยแผ่วิถีทางดำเนินชีวิตอันบริสุทธิ์นั้น แก่ชาวโลก ให้ได้เข้าถึงหนทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นเช่นเดียวกับท่าน โดยไม่มีความรู้สึกหวงวิชชาเลยแม้แต่น้อย
( คำอธิษฐานครั้งแรกนี้ ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์) *โพธิสัตว์ = สัตว์ผู้ปรารถนาโพธิญาณ
ด้วยแรงอธิษฐานและคิดถึงแต่บุญ จึงมีเรี่ยวแรงแบกแม่ต่อได้อีก 2-3 วัน ในที่สุดก็ถึงฝั่งด้วยมหาปิติ จากนั้นก็ทำมาหากินเลี้ยงมารดาจนมารดาถึงแก่กรรมด้วยความกตัญญู เมื่อมานพละโลกในชาตินั้นก็ได้ไปจุติบนสวรรค์
พระพุทธองค์ไม่ทรงย่อท้อ แม้เส้นทางการสร้างบารมีจะมีอุปสรรคมากมายเพียงใด ก็ไม่เคยนึกถึง คิดแต่ว่า เป้าหมายหรือความปรารถนานั้นต้องสมหวัง ทรงสร้างความดี เช่นนั้นสืบเนื่องมายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน พระองค์ทรงสละเลือดมากกว่าน้ำในมหาสมุทร สละเนื้อมากกว่าแผ่นดิน ควักลูกตาออกทำทานก็มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า ตัดหัวบูชาธรรมมากกว่าผลมะพร้าวในชมพูทวีป ทรงทำอย่างนั้นมา ตลอดทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งถึงวาระที่บารมีเต็มเปี่ยมแล้ว จึงคอยโอกาสแห่งการตรัสรู้ธรรม.
ความนึกคิดในใจของพระองค์แตกต่างจากความนึกคิดของมวลมนุษย์ทั้งหลาย คือเมื่อชาวโลกเมื่อประสบความทุกข์ ก็ไม่คิดหาหนทางที่จะออกจากความทุกข์นั้น อยู่ไปวันหนึ่งๆ ด้วยความเคยชินกับความทุกข์ จึงต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งทุกข์ประจำ และทุกข์จร ครั้นพระองค์ท่านมองเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวชแล้ว เห็นแล้วก็ได้ข้อคิด อยากแสวงหาหนทางให้หลุดพ้นจากทุกข์ อยากเข้าถึงความสุขที่แท้จริง.
*ในชาตินี้เรียกว่า ปฐมจิตตุปบาทกาล
-การที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นจำเป็นจะต้องสร้างบารมีอย่างเข้มข้นและใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากอย่างน้อยก็ต้องสร้างบารมีถึง ๒๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป
-เมื่อพระโพธิสัตว์สร้างบารมีจนเต็มเปี่ยมและได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังสามารถจำแนก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เป็น 3 ประเภท ตามระยะเวลาการบำเพ็ญบารมี คือ
การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ตั้ง ความปราถนาในใจ เปล่งวาจา แล้วจึงได้รับพุทธพยากรณ์ใช้ระยะเวลาดังนี้
1. ปัญญาธิกพุทธเจ้า: ปราถนาในใจ ...7 อสงไขย เปล่งวาจา ...9 อสงไขย จนกระทั้ง ได้รับพยากรณ์ต้องให้ครบอีก 4 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป :
[รวมทั้งหมดเป็น 20 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป]
2. สัทธาธิกะพุทธเจ้า: ปรารถนาในใจ 14 อสงไขย เปล่งวาจา 18 อสงไขย จนกระทั้ง ได้รับพยากรณ์ต้องให้ครบอีก 8 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป :
[รวมทั้งหมดเป็น 40 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป]
3. วิริยาธิกะพุทธเจ้า: ปรารถนาในใจ 28 อสงไขย เปล่งวาจา 36 อสงไขย จนกระทั้ง ได้รับพยากรณ์ต้องให้ครบอีก 16 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป :
[รวมทั้งหมดเป็น 80 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป][/size]
อยากให้ทุกท่านมีตถาคตโพธิศรัทธา ขอกราบอนุโมทนา สาธุ