ถามเรื่องการบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
#1
โพสต์เมื่อ 12 May 2006 - 11:26 AM
#2
โพสต์เมื่อ 12 May 2006 - 12:20 PM
ตอบ อุปมาเหมือนเราเรียนหนังสืออยู่ จริงอยู่ เราอาจเรียนแบบสบายๆ ตั้งใจบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง ก็ได้ ไม่มีใครมาว่าเรา แต่ถ้าถึงเวลาสอบแต่ละวิชา ถ้าเราสอบไม่ผ่านวิชาเดียว เราก็ไม่สามารถที่จะจบการศึกษาได้ ส่วนใครที่สอบผ่านแล้ว เรียนจบแล้ว คะแนนที่ออกมาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเรียนจบ แต่ว่าจบแบบพอผ่านๆได้คะแนนน้อย บางคนอาจจะได้คะแนนมาก ก็ได้
ฉันใดก็ฉันนั้น การบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าก็เช่นกัน เราอาจทำไปตามสบายก็ได้ไม่เข้มข้น แต่ ถ้าเราบำเพ็ญไม่ได้ตามเกณฑ์ ก็เป็นไม่ได้ เพราะว่า ก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์เป็นนิยตะโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องดูก่อนว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ บำเพ็ญบารมีมาครบถ้วนหรือไม่ ถ้ายังไม่ครบท่านก็ยังไม่พยากรณ์ ส่วนพระโพธิสัตว์องค์ใดที่ครบแล้วเมื่อถึงเวลาพระองค์ก็พยากรณ์ให้ แต่เมื่อถึงเวลาที่จะตรัสรู้ก็เหมือนการเรียนจบ จำนวนผู้จะบรรลุธรรมตามพระองค์ อายุของพระองค์ ความยาวนานของศาสนาของพุทธ ฯลฯ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็ขึ้นอยู่กับบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาในอดีตชาติ _/|\_ สาธุ
*******************************************
#3
โพสต์เมื่อ 12 May 2006 - 02:22 PM
ส่วนการสร้างบาปอกุศลหรือการประมาทมัวเมาหลงในเบญจกามคุณ 5 เช่น หลงในทรัพย์ หลงในทิพยสมบัติ
รวมความคือ หลงในรูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ และธรรมารมณ์ที่น่าใคร่ หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
หลงในการกิน กาม เกียรติ กล่าวคือ ความหลงสร้างบ้านสร้างเมืองคือ กิเลส ตัณหา ให้เจริญเมื่อใด
เมื่อนั้นย่อมได้ชื่อว่า ตักน้ำออกจากตุ่มครับ
บางคนน้ำเต็มเร็ว และไม่ตักน้ำออกจากตุ่ม
บางคนน้ำเต็มเร็ว แต่ก็ตักออกเร็วเหมือนกัน
บางคนน้ำเต็มช้าหยดทีละหยด แต่ไม่ตักน้ำออกเลย ก็ยังมีโอกาสเต็มตุ่มได้เร็วกว่าคนชอบตักน้ำออกจากตุ่มเร็วครับ
บางคนน้ำเต็มช้า และก็ตักน้ำออกเร็วกว่าตักเข้า พวกนี้ไปอบายสบายเลยไม่มีวันได้รับพุทธพยากรณ์ครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#4
โพสต์เมื่อ 12 May 2006 - 10:34 PM
ถ้าสร้างบารมีแบบสบายๆ แค่นี้ก็สอบตกแล้วครับ ไม่มีทางได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะการสร้างบารมีมันไม่ได้หมูนะครับ แล้วยิ่งถ้าจะต้องการบรรลุพระโพธิญาณ ต้องบำเพ็ญทั้ง 30 ทัศให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ สละทั้งทรัพย์ อวัยวะ ชีวิต บุตร ธิดา ภรรยา นี่คือเส้นทางที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ต้องผ่านไปให้ได้ เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะบรรลุพระโพธิญาณ ถ้ายังไม่สามารถทำได้ระดับนี้ สร้างบารมีไป 100 อสงไขยก็ไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณหรอกครับ เพราะมันผิดตั้งแต่วิธีการแล้ว เมื่อวิธีการผิด จะให้ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน มันก็เป็นไปไม่ได้ครับ เหมือนจะไปหาความหวานจากเกลือ หาความมืดจากดวงอาทิตย์ มันหาไม่ได้หรอกครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#5
โพสต์เมื่อ 12 May 2006 - 11:00 PM
เลข 60 ควรเปลี่ยนเป็น 40 ครับ
1. อุคฆฎิตัญญูโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระปัญญาธิกพุทธเจ้า ใช้ระยะเวลา 20 อสงไขยแสนกัป
2. วิปจิตัญญูโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัทธาธิกพุทธเจ้า ใช้ระยะเวลา 40 อสงไขยแสนกัป
3. ไนยโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระวิริยาธิกพุทธเจ้า ใช้ระยะเวลา 80 อสงไขยแสนกัป
อนุโมทนาบุญครับ :)
#6
โพสต์เมื่อ 13 May 2006 - 03:54 AM
#7
โพสต์เมื่อ 13 May 2006 - 10:51 AM
แล้วไปอยู่ในที่ ๆ มีโรคระบาดด้วย( มารทั้ง ๕ ฝูง ) คุณจะเผลอทำความชั่วและไปอบาย
ก่อน สุดท้ายเมื่อพลัดหลงจากหมู่คณะไปแล้ว ก็จะไปเสียเวลาอยู่ในวัฏฏะ เช่นวงจรคู่เวร
คู่กรรม และบางทีไปเกิดในเวลาที่ไม่มีพุทธศาสนา นานมากระหว่างนี้จะไม่มีเวลาสร้าง
บารมีเพิ่มเลย บุญเก่าก็ใช้ออกไปเรื่อย ๆ นับแล้วเผลอ ๆ ๒๐ อสงไขยไม่ได้อะไร
#8
โพสต์เมื่อ 13 May 2006 - 11:54 AM
เผลอพลาด ไปทำผิดพลาด ลงอบายหล่ะแย่เลยครับ ตั้งใจสร้างบารมีกันดีกว่าครับ
#9
โพสต์เมื่อ 13 May 2006 - 08:50 PM
ฐานะในสังคมก็ดี แต่ไปนับถือ ศาสนาอื่น เพราะเหตุใดครับ
เป็นไปได้ไหมท่านเหล่านี้สร้างบารมีมามากแต่กลับเปลี่ยนใจกลางทะเล
#10
โพสต์เมื่อ 13 May 2006 - 09:33 PM
ฐานะในสังคมก็ดี แต่ไปนับถือ ศาสนาอื่น เพราะเหตุใดครับ
เพราะทำบุญมามาก แต่ไม่ได้อธิษฐานล้อมกรอบให้ดีว่า เกิดมาพบใดชาติใดขอให้ได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาครับ ทำให้พลัดไปเกิดในศาสนาอื่น แต่บุญเก่าที่ทำในพระพุทธศาสนาทำให้เค้าสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน แต่น่าสงสารครับ เพราะถ้าไม่เจอพระพุทธศาสนาเสียแล้ว รวยก็รวยเปล่า ฉลาดก็ฉลาดเปล่า ทุกสิ่งทีได้มาเป็นสูญเปล่าเพราะใช้แต่บุญเก่า แต่ไม่ได้สร้างบุญใหม่ในเนื้อนาบุญเพื่อเป็นการเอาบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติ
ภพชาติต่อไป ทุกสิ่งก็จะค่อยๆ เสื่อมลงในทุกๆ ด้านจนกว่าบุญเก่าๆ ที่เคยสร้างไว้ในพระพุทธศาสนาได้ช่อง ดึงดูดให้ไปเกิดเจอและนับถือพระพุทธศาสนาและได้สร้างบุญในเนื้อนาบุญของพระพุทธศาสนา ชีวิตจึงจะค่อยๆ ดีขึ้นอีกครั้ง ซึ่งชีวิตชาวโลกโดยทั่วไปมักเป็นเช่นที่ว่าแหละครับ เหมือนกราฟพุ่งขึ้นสูงแล้วก็ค่อยๆ ลง พอลงไปถึงจุดๆ หนึ่ง ก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าอธิษฐานล้อมกรอบให้ได้เกิดในพระพุทธศาสนาตลอดไป ชีวิตของบุคคลผู้นั้น ก็จะพุ่งขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียวจนบรรลุพระนิพพานอันเกษมไงครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#11
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 10:19 AM
วิปจิตัญญูโพธิสัตว์
ไนยโพธิสัตว์
ช่วยอธิบายให้กระจ่างหน่อยครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#12
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 10:26 AM
2. ข้อ 2 หมายถึง พระโพธิสัตว์ ผู้มีกรุณาปานกลาง ก็จะบรรลุธรรมช้ากว่าแบบแรก จึงบำเพ็ญบารมี 40 อสงไขย แล้วก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าน่ะครับ
3. ข้อ 3 หมายถึง พระโพธิสัตว์ ผู้มีกรุณามาก ก็จะบรรลุธรรมช้ากว่าทั้งสองแบบข้างต้น จึงบำเพ็ญบารมี 80 อสงไขย แล้วก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าน่ะครับ
ซึ่งครูไม่ใหญ่เคยบอกว่า พระศรีอารียเมตไตย ก็เป็นแบบที่ 3 นี้ พระองค์ตั้งใจว่า เมื่อพระองค์ลงมาเกิด และตรัสรู้ธรรม จะให้เหลือศาสนาเพียงแค่ ศาสนาเดียวเท่านั้น ทีเดียวแหละครับ
#13
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 10:19 PM
ให้ลองนึกตามนะครับ คนที่จะเป็นผู้นำคนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำในการพาเหล่าสรรพสัตว์ข้ามฝั่งแห่งวัฏสงสารนั้น ถามว่า ท่านจะต้องบำเพ็ญบารมีมากกว่า หรือน้อยกว่าผู้ที่บำเพ็ญบารมีโดยตั้งความปรารถนาเพียงแค่สาวกภูมิครับ?
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#14
โพสต์เมื่อ 22 June 2006 - 11:10 PM
ลูกพระธรรม