คิดอย่างนี้ถูกรึเปล่า
#1
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 12:06 AM
ก็เลยอยากจะมีทรัพย์มาก ๆ (พูดง่าย ๆ คืออยากรวย!!!)
แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่า เอ ...การที่อยากมีทรัพย์มาก ๆ นั้นจะทำให้เราเขว กลายเป็นเราโลภมากหรือเปล่าเพราะอยากมีทรัพย์มาก ๆ แล้วเราจะกลายเป็นคนตระหนี่รึเปล่าเพราะเราอยากจะประหยัดทุกอย่าง แล้วจะมีใครคบเราอีกหละ เพื่อน ๆ ชวนไปไหนก็ไม่อยากไป เสียดายตังค์ อยากเก็บเอามาทำอย่างอื่นที่จำเป็นมากกว่าไปเที่ยว
#2
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 02:48 AM
ไม่จริงหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับว่าเมื่อเรามีทรัพย์มากแล้ว เรามีปัญญาเป็นเครื่องกำกับให้เรารู้จักใช้ทรัพย์ที่ได้มาอย่างชาญฉลาด และเป็นไปเพื่อประโยชน์ทั้งในภพนี้และภพหน้าหรือเปล่าต่างหากล่ะครับ
ความตระหนี่แก้ได้ด้วยการให้ครับ แล้วเราต้องอธิษฐานจิตกำกับอยู่เนืองๆ ว่า "เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามีโภคทรัพย์ใหญ่ไว้เป็นสมบัติใช้สอยเฉพาะตนแล้ว ก็ขออย่าได้มีความตระหนี่ ให้สามารถอาศัยทรัพย์นั้นในการสร้างมหาทานบารมีอย่างมีสติและมีปัญญา สงเคราะห์ทั้งโลกและทั้งธรรมได้อย่างเต็มที่เต็มกำลังไม่มีขาดตกบกพร่องไปทุกภพทุกชาติ" ดังนี้เป็นต้น
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#3
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 08:18 AM
หนึ่งของความคิดฟุ้งซ่าน เรื่องแบบนี้มันอาจจะเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นหยุดคิด เพราะมันคือ
สมุหทัย เหตุแห่งทุกข์
ตัณหาในกรณีนี้มันคือความอยากได้
และวิภวตัณหามันคือความไม่อยากได้
สองสิ่งนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงค้นพบและ
ตรัสรู้ธรรมเป็นสิ่งแรก นั่น คือ อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค
แหมกดผิดไปหน่อย ไปเสียแล้วยังพิมพ์แก้ไขไม่เสร็จเลย เฮ้อ !!!
ความอยากที่ถูกต้องนั้นคือ อยากพ้นทุกข์ อย่างเดียว จึงไม่เป็นตัณหา
เอาแค่นี้แล้วกัน
#4
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 09:45 AM
เราต้องมีทรัพย์ เอาไว้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย
อย่าให้ทรัพย์มาเป็นนายเรา เราต้องเป็นนายทรัพย์
เวลาผมมีทรัพย์ และมีความตั้งใจจะทำบุญ
ผมรีบทำทันที
มิฉะนั้น จะมีเหตุให้ทรัพย์ก้อนนี้หายไปอย่างไม่สมเหตุสมผล
หลังจากทำบุญแล้ว ก้อแปลกนะครับ
เหตุแห่งการเสียทรัพย์อย่างไม่มีเหตุผล ก็หายไปอย่างบังเอิญนะครับ
ทำให้เรารู้สึกปิติกับการทำบุญของเรา
และอย่างการใช้ทรัพย์อย่างสมเหตุสมผลนี้ มิใช่การตระหนี่นะครับ
#5
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 10:50 AM
แต่เมื่อมีทรัพย์แล้ว...เราก็ต้องตามแบบที่คุณขุนศึกผู้พิชิตหงสาพูดค่ะ
#6
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 11:32 AM
#7
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 01:22 PM
เรารู้อยู่แล้ว อะไรเรียกว่า โลภ อะไรเรียกว่าตระหนี่
อยากรวยได้ แต่ก็ไม่ต้องถึงกับกระหาย ต้องไม่โลภ
และก็ไม่ประหยัด จนเพื่อนรับไม่ได้
ไม่ไปเที่ยว ก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ถ้าเราพึงพอใจจะไปวัดปฏิบัติธรรมนะคะ
อธิษฐาน ให้ได้รวย เพื่อให้ได้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย
แต่ก็ต้องอย่าเผลอ ไปตระหนี่ ต้องมีจิตใจเมตตา เผื่อแผ่ ใจกว้าง
เพราะยิ่งให้ ก็จะยิ่งได้
#8
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 01:26 PM
มีแซวนะครับ มีแซว อย่างนี้ต้องโดนเอางวงรวบทั้งคู่เลย 555+
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#9
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 02:55 PM
สาธุ
[quote]ก็เลยอยากจะมีทรัพย์มาก ๆ (พูดง่าย ๆ คืออยากรวย!!!)[quote]
ที่มาแห่งทรัพย์คือการทำทานค่ะ
[/quote]การที่อยากมีทรัพย์มาก ๆ นั้นจะทำให้เราเขว กลายเป็นเราโลภมากหรือเปล่าเพราะอยากมีทรัพย์มาก ๆ แล้วเราจะกลายเป็นคนตระหนี่รึเปล่าเพราะเราอยากจะประหยัดทุกอย่าง แล้วจะมีใครคบเราอีกหละ เพื่อน ๆ ชวนไปไหนก็ไม่อยากไป เสียดายตังค์ อยากเก็บเอามาทำอย่างอื่นที่จำเป็นมากกว่าไปเที่ยว[quote]
ฏ้ต้องมีปัญญากำกับ ในการใช้ทรัพย์ด้วยค่ะ
เพื่อสั่งสมปัญญาบารมี ก็ควรนั่งสมาธิมากๆ สนับสนุนการศึกษา และอธิษฐานกำกับให้รอบคอบค่ะ
...อย่างนี้ สำเร็จแน่นอนค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 09:08 PM
#11
โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 11:33 PM
เอามาสร้างบารมี ใจไม่ได้โลภนิคะ
ตระหนี่ คือ อะไรที่สมควรใช้จ่าย (ได้แก่ ปัจจัย4) แต่ไม่ใช้จ่าย ไม่ให้ทาน
แต่ว่าไปเที่ยว ไปเพลิดเพลิน ไม่ใช่สิ่งจำเป็น
ประหยัด กับ ตระหนี่ ไม่เหมือนกัน
#12
โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 12:08 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#13
โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 02:27 PM
ขอบุญ คุ้มครอง ผู้อยู่ในบุญ สา...ธุ
#14
โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 02:44 PM
ความตระหนี่(มัจฉริยะ ๕) แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
1. ความตระหนี่ที่อยู่ (อาวาสมัจฉริย)
2. ความตระหนี่สกุล (กุลมัจฉริย)
3. ความตระหนี่ลาภ (ลาภมัจฉริย)
4. ความตระหนี่วรรณะ (วัณณมัจฉริย)
5. ความตระหนี่ธรรม (ธรรมมัจฉริย)
#15
โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 05:16 PM
ไว้สร้างบารมี อย่างนี้ก็ไม่น่าจะเสียหายนะครับ ถ้าลูกสาวเอาด้วย 555+
แต่...!!! ถ้าลูกสาวดันไปมีแฟนจนแล้วท่านก็ ตีวงกรอบ (วงกบ) ว่าอย่างนี้ไม่มีเสียดีกว่า...(กีดกัน)
เลยหันเห กระบวนทรรศน์ให้ลูกสาว ถือพรมจรรย์ แกมบังคับ
โดยยกเอาการอกตัญญูมาอ้างเมื่อไม่ทำตามความเห็นท่าน
จนลูกสาวสูญเสียความเป้นตัวของตัวเอง
โดยมีเหตุผลอ้างว่า การครองเรือน มีโทษภัย (จริงครับผมเห็นด้วย)
แต่ ถ้าหากลูกสาวสามารถหาสามีรวยสักร้อยล้าน ท่านก็คงไม่ปฎิเสธ
อย่างนี้ มีท่านใดเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยประการใดครับ..PLEASE....+++
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#16
โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 01:24 AM
1. ความตระหนี่ที่อยู่ (อาวาสมัจฉริย)
2. ความตระหนี่สกุล (กุลมัจฉริย)
3. ความตระหนี่ลาภ (ลาภมัจฉริย)
4. ความตระหนี่วรรณะ (วัณณมัจฉริย)
5. ความตระหนี่ธรรม (ธรรมมัจฉริย)
ถูกต้องนะคร้าบ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#17
โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 02:24 AM
#18
โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 08:42 AM
อย่างนี้ มีท่านใดเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยประการใดครับ..PLEASE....+++
ไม่เห็นด้วยค่ะ ตอนสมัยสาว ๆ เคยทะเลากับแม่เรื่องนี้เหมือนกันค่ะ จนมีหนุ่มแถวบ้านร้องเพลงอะไรน๊า...โธ๋!!!เจ้าหน้ามล คนจนเจ้ารักไม่ได้....ประมาณนี้
#19
โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 09:00 AM
อย่างนี้ มีท่านใดเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยประการใดครับ..PLEASE....+++
คนรวย ต่อให้รวยพันล้าน ก็มีทุกข์เหมือนกัน ทุกข์แบบคนรวย (เชื่อเถอะ)
#20
โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 11:35 AM
มัจฉริยะ ๕ (ความตระหนี่, ความหวง, ความคิดกีดกันไม่ให้ผู้อื่นได้ดี หรือมีส่วนร่วม — meanness; avarice; selfishness; stinginess)
๑. อาวาสมัจฉริยะ (ตระหนี่ที่อยู่, หวงที่อาศัย เช่น ภิกษุหวงเสนาสนะ กีดกันผู้อื่นหรือผู้มิใช่พวกของตน ไม่ให้เข้าอยู่ เป็นต้น — stinginess as to dwelling)
๒. กุลมัจฉริยะ (ตระหนี่ตระกูล, หวงสกุล เช่น ภิกษุหวงสกุลอุปฐาก คอยกีดกันภิกษุอื่นไม่ให้เกี่ยวข้องได้รับการบำรุงด้วย เป็นต้น — stnginess as to family)
๓. ลาภมัจฉริยะ (ตระหนี่ลาภ, หวงผลประโยชน์ เช่น ภิกษุหาทางกีดกันไม่ให้ลาภเกิดขึ้นแก่ภิกษุอื่น — stinginess as to gain)
๔. วัณณมัจฉริยะ (ตระหนี่วรรณะ, หวงสรีรวัณณะ คือผิวพรรณของร่างกาย ไม่พอใจให้ผู้อื่นสวยงาม ก็ดี หวงคุณวัณณะ คือ คำสรรเสริญคุณ ไม่อยากให้ใครมีคุณความดีมาแข่งตน หรือไม่พอใจได้ยินคำสรรเสริญคุณความดีของผู้อื่น ก็ดี — stinginess as to recognition)
๕. ธัมมมัจฉริยะ (ตระหนี่ธรรม, หวงวิชาความรู้ และคุณพิเศษที่ได้บรรลุ ไม่ยอมสอนไม่ยอมบอกผู้อื่น กลัวเขาจะรู้เทียมเท่าหรือเกินตน — stinginess as to knowledge or mental achievements)
....ไม่แน่ใจว่า "ธัมมมัจฉริยะ" กับ "ธรรมมัจฉริย" สะกดอย่างไหนกันแน่ ส่วนคำว่า "ยะ" ที่ลงท้าย บางที่ก็เขียนไม่มีสระ-อะ ค่ะ...
#21
โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 08:50 PM
มีสามีจน ก็ทุกข์แบบหนึ่ง กลัวว่าความเป็นอยู่จะลำบาก กังวลเรื่องหาเลี้ยงชีพ หาได้ไม่พอกิน
มีสามีไม่จนแต่ไม่รวย ก็ทุกข์แบบหนึ่ง กลัวว่าต่อไปจะจนลง กังวลว่าทำไมยังไม่รวยสักที
มีสามีรวย ก็ทุกข์อีกแบบหนึ่ง กลัวว่าจะไปมีภรรยาน้อย กังวลเรื่องสามีหายไปไหนมา เรื่องแบ่งทรัพย์
ใครที่แต่งงานแล้ว ต่อมาเกิดอยากประพฤติพรหมจรรย์ แต่ว่ายังมีสามีอยู่ การมีสามีก็กลายเป็นความลำบากของภรรยา
จะเป็นใครก็ทุกข์ทั้งนั้น
เป็นโสด นกน้อย บินอิสระ ก็ทุกข์น้อยหน่อย
#22
โพสต์เมื่อ 09 July 2006 - 10:26 PM
ขอให้รวยได้ดังที่คิดนะครับ และขอให้มีปัญญา เพื่อจะได้ใช้ทรัพย์สร้างบารมี จะได้รวยทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรมนะครับ
#23
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 12:31 AM
ก็เลยอยากจะมีทรัพย์มาก ๆ
คิดเหมือนกันเปี๊ยบเลยค่ะ ต่างกันหน่อยเดียวตรงที่อยากช่วยคนที่ลำบากมากๆ และไม่มีโอกาสดีๆ เช่นเราๆ ท่านๆ มากกว่า บางครั้งเห็นแล้วสงสารมากๆ อยากจะเอามาเลี้ยงดูที่บ้านให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ความเป็นจริงมันทำไม่ได้ขนาดนั้น..น่าเสียดายเน๊อะ......ยังงัยก็ขออนุโมทนาความคิดคุณ Nu ด้วยแล้วกันนะคะ แค่คิดดีๆ ก็รู้สึกดีมากๆ แล้วล่ะค่ะ และก็ดีใจนะที่มีคนคิดเหมือนกัน (แต่สงกาสัยว่าจะได้แต่คิดอ่ะนะ!!!)