แบบทดสอบย่อย ว่าด้วยเรื่องของ "ความเมา"
#1
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 02:37 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#2
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 04:56 PM
นิวรณ์ 5 คือธรรมอันกั้นจิต ไม่ให้บรรลุความดี เป็นข้าศึกแก่สมาธิ มี 5 อย่างคือ
กามฉันท์ คือ ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมี รูป หรือความพอใจในกาม
พยาบาท คือ การปองร้ายผู้อื่น
ถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงา หาวนอน จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม
อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ
วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย
นิวรณ์นั้นเป็นข้าศึกแก่สมาธิ เวลามีนิวรณ์ สมาธิก็ไม่มี เวลามีสมาธิ นิวรณ์ก็ไม่มี เหมือนมืดกับสว่าง เวลามืดสว่างไม่มี เวลาสว่างมืดก็หายไป จะนำมารวมกันไม่ได้
นิวรณ์เกิดจาก
สัญญา : ความจำได้หมายรู้
สังขาร : ความปรุงแต่งทางจิตบางอย่างเข้ามายั่วยวนให้เกิด
นิวรณ์เกิดขึ้นที่จิตเพียงแห่งเดียว แต่มีผลต่อแห่งอื่นๆ สาเหตุที่เกิดนิวรณ์ คนมีตาหูจมูก ลิ้น กายใจ ก็ต้องมองเห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เป็นต้น
เมื่อตาเห็นรูป ก็จะเลือกดู แต่รูปที่ดี จะต้องคิดนึกถึงรูปปานกลาง และรูปเลวด้วย
คือต้องนึกถึงไตรลักษณ์ เป็นหลักพิจารณาอยู่เสมอ จะได้ไม่หลง ถ้าจะให้จิตอยู่ในอารมณ์ พระนิพพานอยู่เสมอ เมื่อเห็นอะไรก็ต้องพิจารณาให้เข้าสู่ไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลา แม้เกี่ยวกับการได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ฯลฯ ก็ต้องพิจารณาให้เห็นพระไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน การเพ่งสมาธิวิปัสสนา ให้เพ่งพระพุทธรูป (พุทธานุสสติ) กายคตสติ อสุภ ดีที่สุด เมื่อเพ่งจนเกิดสมาธิแล้วก็พิจารณาไปสู่พระไตรลักษณ์ หรืออีกวิธีคือ ความยินดีพอใจ ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ทั้งปวงอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกสมมติกันว่าเป็นสุข แต่พระอริยะเจ้าเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นทุกข์ การยินดีในสุภนิมิต เช่นนี้เรียกว่า กามฉันท์
ผู้มีกามฉันท์นี้ควรเจริญ กายาคตาสติ พิจารณาเห็นร่างกายให้เห็นเป็นปฏิกูล
พยาบาทเกิดขึ้น เพราะความคับแค้นใจ ผู้มีพยาบาท ชอบโกรธเกลียดผู้อื่นอยู่เสมอๆ ควรเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา คิดให้เกิดความรัก เมตตาสงสารผู้อื่น
ผู้มีความเกียจคร้าน ท้อแท้อยู่ในใจ ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน เรียกว่าถูกถีนมิทธะครอบงำ ควรเจริญอนุสสติกัมมัฎฐาน พิจารณาความดีของตนและผู้อื่น เพื่อจะได้มีความอุตสาหะ ทำงานแก้ความท้อแท้ใจ เสียได้
ความฟุ้งซ่าน รำคาญ เกิดจากการที่จิตไม่สงบ ควรเพ่งกสิณให้ใจผูกอยู่ในอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่ง หรือเจริญกัมมัฏฐานให้ใจสังเวชเช่น มรณสติ
ความลังเลไม่ตกลงได้ เนื่องจากไม่ได้พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนควรเจริญธาตุกัมมัฏฐาน เพื่อจะได้รู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริง
ธรรมทั้ง 5 ประการนี้เมื่อเกิดกับผู้ใด ย่อมจะเป็นธรรมอันกั้นจิตไม่ให้ผู้นั้นบรรลุความดีหรือสิ่งที่ตนประสงค์ได้ ฉะนั้นผู้หวังความสำเร็จในชีวิตควรเว้นจากนิวรณ์ 5 ประการนี้
ตรวจข้อสอบแล้ว เฉลยด้วยนะคะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#3
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 05:32 PM
แต่เมาใจเป็นประจำทุกค่ำคืน
ขอตอบคุณขุนศึกครับ ไม่รู้ว่าจะตอบได้ใกล้เคียงหรือเปล่า
มัวเมาในที่นี้คือ มัวเมาใน อุปกิเลส 16 ข้อ มีตั้งเยอะแล้วข้อไหนล่ะครับท่านขุนศึก
1. อภิชฌา---ความละโมบอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของๆตน
2. พยาบาท---ความคิดปองร้าย
3. โกธะ------ความโกรธ
4. อุปนาหะ---ความผูกโกรธ
5. มักขะ-----การลบหลู่ผู้อื่น
6. ปลาสะ-----ยกตัวตีเสมอ
7. อิสสา------ความริษยา
8. มัจฉริยะ----ความตะหนี่
9. มายา------มารยา
10. สาเถยยะ----ความโอ้อวด
11. ถัมถะ-------ความกระดื้อกระด้าง
12. สารัมภะ-----ความแข่งดี
13. มานะ-------ความถือตัว
14. อติมานะ----ความดูหมิ่นผู้อื่น
15. มทะ-------ความมัวเมา
16. ปมาทะ----ความประมาท
น่าจะเป็นข้อ1 คืออภิชฌา ความละโมบอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน
ซึ่งข้อนี้เมื่อมีอยู่ในใจของผู้ใดแล้ว เขาจะหาความสงบสุขทางด้านจิตใจไม่ได้เลยแม้แต่ นาทีเดียว
#4
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:16 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#5
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 07:01 PM
กำหนด ระยะเวลาการเฉลยค่ะ เช่น คำถามนี้ ปิดรับการตอบ ภายใน วัน และ เวลา ......... เป็นต้นค่ะ
เวลาที่เหมาะสม น่าจะ 1 วัน 1 คืนค่ะ (อันนี้ความคิดเห็นนะคะ) หรือ 2 วัน 2 คืน หมายถึง ข้ามกลางวัน และกลางคืน น่ะค่ะ
เพราะท่านที่เข้ามากลางวัน อาจไม่ได้เข้ามากลางคืน ท่านที่ไม่ว่างกลางวัน ก็อาจเข้ามากลางคืน
และจะได้มีเวลาค้นคว้าไงคะ
เพราะว่า ถ้ามาตอบกันน้อย แล้วเฉลย ก็ไม่ดีค่ะ อาจมีบางท่านพลาดการตอบ ทั้งที่อยากตอบ เพราะเข้ามาไม่ทันน่ะค่ะ
และถ้าไม่กำหนดระยะเวลาการเฉลย คนที่ตอบแล้ว ก็จะลุ้นอยู่ตลอดค่ะ ตื่นเต้น มาก........ อยากทราบผลการสอบค่ะ
แต่ว่า ชื่นชม คุณ ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี มากๆๆๆเลยค่ะ กับการตั้งกระทู้แบบนี้ ขออีกเรื่อยๆ นะคะ สา...ธุ ค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#6
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 07:21 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#7
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 07:32 PM
#8
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 10:50 PM
ตอบ มทะ ( ๑ ใน ๑๖ อุปกิเลส ) ความเมาในที่นี้ หมายถึง ความเมาในทางจิตที่มีมูลมาจากโมหะ คนละอย่างกับ ความมัวเมาทางด้านวัตถุเช่น การเมาสุรา ยาเสพติด
มทะ หมายถึง ความเมา มี ๓ อย่าง
๑. อาโรคยมทะ คือ ความเมาในความไม่มีโรค
๒. โยพพนมทะ คือ ความเมาในความเป็นหนุ่มสาว
๓. ชาติมทะ คือ ความเมาในชาติ
อุปกิเลส ๑๖ อย่าง
๑. อภิชฌา ความโลภ กิเลสประเภท โลภะ
๒. พยาบาท ความคิดปองร้าย กิเลสประเภท โทสะ
๓. โกธะ ความโกรธ กิเลสประเภท โทสะ
๔. อุปนาหะ ความผูกโกรธ กิเลสประเภท โทสะ
๕. มักขะ การลบหลู่ผู้อื่น กิเลสประเภท ทิฏฐิ
๖. ปลาสะ ยกตัวตีเสมอ กิเลสประเภท มานะ
๗. อิสสา ความอิจฉาริษยา
๘. มัจฉริยะ ความตะหนี่
๘. มายา ความเจ้าเล่ห์ มารยา
๑๐. สาเถยยะ ความโอ้อวด กิเลสประเภท มานะ
๑๑. ถัมถะ ความกระดื้อกระด้าง กิเลสประเภท มานะ
๑๒. สารัมภะ ความแข่งดี กิเลสประเภท มานะ
๑๓. มานะ ความถือตัว กิเลสประเภท มานะ
๑๔. อติมานะ ความดูหมิ่น กิเลสประเภท มานะ
๑๕. มทะ ความมัวเมา กิเลสประเภท โมหะ
๑๖. ปมาทะ ความประมาทเลินเล่อ กิเลสประเภท โมหะ
ตอบ มทะควรจะเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับปมาทะมากที่สุด เพราะ มทะและปมาทะ จัดอยู่ในกิเลสประเภทโมหะเหมือนกัน เมื่อมทะ คือ ความมัวเมา เกิดขึ้นเมื่อใดแล้ว ปมาทะ คือ ความประมาทเลินเล่อย่อมตามมาเสมอ
ความไม่ประมาท เป็นทางอมตะ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
ผู้ไม่ประมาท ไม่มีวันตาย ผู้ประมาท ถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว
_/|\__/|\__/|\_
ส า ธุ ค รั บ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ใ ค ร เ ชิ ด. . .ใ ค ร ชู. . .ช่ า ง เ ข า
ใ ค ร เ บื่ อ. . .ใ ค ร บ่ น. . .ท น เ อ า
ใ จ เ ร า. . .ร่ ม เ ย็ น. . .เ ป็ น พ อ
. . .|2@|<_|3( )( )|\| @ |-|()T/\/\@I|_.C()/\/\. . .
#9
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 12:12 AM
ตีโจทย์ไม่แตกเลย เพราะรู้น้อย อับอาย....อับอาย ยิ่งนัก
คราวหน้าต้องแก้ตัวใหม่ สู้ สู้ ค่ะ
รู้สึกเหมือนจะไปสอบ จอหงวน ชิงตำแหน่ง จอมยุทธ พระธรรม เลยค่ะ
สนุกจังค่ะ ชอบ ชอบ ชอบมากๆๆๆๆ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#10
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 06:45 AM
#11
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 07:23 AM
คือท่านคิดดีทำดีแล้วครับที่ตั้งปัญหาธรรมะ ให้พวกเราตอบกัน นอกจากจะได้ความรู้ที่ดีแล้ว
ยังสนุกไปกับการค้นหาข้อมูล ทำให้มีความสุขไปด้วย ข้อแรกผมอยากจะเสนอว่า
อยากให้มี ฟอร์รั่ม ของการตอบปัญหาธรรมะโดยเฉพาะไปเลยครับ ข้อสอง
ผมอยากให้ท่านเฉลยปัญหาไปเลย ในกรณี ที่มีผู้ตอบ ถูกแล้ว โดยไม่ต้องรอวันที่กำหนด
เพราะเมื่อมีผู้ตอบถูกแล้ว ท่านก็เฉลยแล้ว ผู้ที่มาทีหลัง ก็จะได้ไม่ต้องมาตอบอีก
เพียงแต่เข้ามา ชมเชย ยกย่อง สาธุ กับผู้ที่ตอบถูกไปแล้ว เพราะถ้าท่านไม่เฉลยในทันทีเมื่อมี
ผู้ตอบถูก คนที่มาทีหลังก็อาจจะเอาไปตอบได้อีก หรือถ้าเขาไม่เอาไปตอบอีก ก็แสดงว่า
ที่เขาตอบนั้นต้องผิดหมด เพราะมีคนตอบถูกตั้งแต่ต้นแล้ว คนที่ตอบถูกคนแรกเขาจะได้ภูมิใจ
ผมว่าควรจะตั้งปัญหาข้อต่อไปดีกว่าครับ ผมเสนอเฉยๆ อย่าคิกมากนะครับ ขออนุโมทนาสาธุครับ
#12
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 05:25 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#13
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 05:53 PM
ผมขอให้ท่านอยู่กับเวบบอร์ดของdmcไปตลอดนะครับ ขออนุโมทนาสาธุครับ
#14
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 09:16 PM
ฉบับประมวลศัพท์
โดย พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
อุปกิเลส โทษเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ทำจิตใจให้เศร้าหมองขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก
มี ๑๖ อย่าง คือ ๑) อภิชฌาวิสมโลภะ ละโมบ จ้องจะเอาไม่เลือกควรไม่ควร ๒)
โทสะ คิดประทุษร้าย ๓) โกธะ โกรธ ๔) อุปนาหะ ผูกโกรธไว้ ๕) มักขะ ลบหลู่คุณท่าน
๖) ปลาสะ ตีเสมอ ๗) อิสสา ริษยา ๘) มัจฉริยะ ตระหนี่ ๙) มายา เจ้าเล่ห์
๑๐) สาเถยยะ โอ้อวด ๑๑) ถัมภะ หัวดื้อ ๑๒) สารัมภะ แข่งดี ๑๓) มานะ ถือตัว
๑๔) อติมานะ ดูหมั่นท่าน ๑๕) มทะ มัวเมา ๑๖) ปมาทะ เลินเล่อหรือละเลย
อุปกิเลส ห่อหุ้มจิตไว้ ไม่ให้ได้รับแสงสว่างคือคุณธรรม เปรียบเสมือนสนิมห่อหุ้ม
เนื้อเหล็กเอาไว้
#15
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 10:10 PM
เนื้อเหล็กเอาไว้
สาธุ... ถูกต้องครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#16
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 07:19 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#17
โพสต์เมื่อ 11 November 2006 - 10:38 PM
#18
โพสต์เมื่อ 23 December 2006 - 08:31 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#19
โพสต์เมื่อ 26 January 2007 - 01:27 PM