ทำอย่างไรที่จะสลัดความคิดเกี่ยวกับกามนอกจากการเพ่งอสุภะ
#1
โพสต์เมื่อ 15 May 2008 - 03:45 PM
ช่วยด้วยนะครับ
๑.กุศลธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีขาวใส กายในกายขาวใสทั้งหมด เรียกว่าภาคพระ ภาคขาว ภาคบุญ
๒.อกุศลาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีดำ กายในกายดำทั้งหมด เรียกว่า ภาคมาร ภาคดำ ภาคบาป
๓.อัพยากตาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอัพยากตา เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีตะกั่วตัด กายในกายสีตะกั่วตัดทั้งหมด เรียกว่า ภาคกลาง ภาคไม่บูญไม่บาป
ทั้ง ๓ ธาตุธรรมนี้ ย่อมมีต้นธาตุ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมตลอดสาย
ต้นธาตุถือเป็นผู้บัญชาการในธาตุธรรมนั้นๆ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมในนิพพาน
#2
โพสต์เมื่อ 15 May 2008 - 04:16 PM
เมื่อบวชแล้วก็ขอให้ระวังเรื่องของสุภาพสตรีให้ดีนะครับ เพราะสตรีเพศถือเป็นภัยของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เรียกได้ว่าในขณะบวชหากไม่เจอได้เลยเป็นดีที่สุด หากได้พบและไม่มีกิจจำเป็นอันใด ก็ไม่พึงเข้าไปสนทนาด้วย และถ้าหากมีกิจจำเป็นต้องเข้าไปพบและสนทนาด้วย ก็พึงสนทนากับเธออย่างมีสติและอย่าพูดนาน เพราะถ้าพูดนานเกินความจำเป็น ก็อาจทำให้มีโอกาสพลั้งเผลอไปต้องอาบัติสังฆาทิเสสในอีก ๔ ข้อที่เหลือนั่นได้เช่นกันครับ ผมขอเตือนไว้เสียแต่เนิ่นๆ ก่อนว่า อาบัติกองนี้ไม่อาจปลงให้กลับบริสุทธิ์ได้ด้วยวิธีปกติธรรมดานะครับ ภิกษุผู้ต้องอาบัติจะต้องไปอยู่ปริวาสกรรมเท่านั้น จึงจะพ้นและกลับบริสุทธิ์ได้ใหม่อีกครั้งครับ
อาบัติที่จำเป็นสำหรับภิกษุผู้บวชใหม่; http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=15854
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#3
โพสต์เมื่อ 15 May 2008 - 04:24 PM
๑.กุศลธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีขาวใส กายในกายขาวใสทั้งหมด เรียกว่าภาคพระ ภาคขาว ภาคบุญ
๒.อกุศลาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีดำ กายในกายดำทั้งหมด เรียกว่า ภาคมาร ภาคดำ ภาคบาป
๓.อัพยากตาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอัพยากตา เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีตะกั่วตัด กายในกายสีตะกั่วตัดทั้งหมด เรียกว่า ภาคกลาง ภาคไม่บูญไม่บาป
ทั้ง ๓ ธาตุธรรมนี้ ย่อมมีต้นธาตุ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมตลอดสาย
ต้นธาตุถือเป็นผู้บัญชาการในธาตุธรรมนั้นๆ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมในนิพพาน
#4
โพสต์เมื่อ 15 May 2008 - 04:28 PM
อย่างผม ผมจะพิจารณาความไม่เที่ยงของสังขาร นี่คือการพิจารณาอาสุภะอย่างหนึ่ง เมื่อเห็นผู้หญิงสวยผมจะจินตนาการไปละว่าผู้หญิงคนนี้พอแก่ตัวไป หน้าตาจะเป็นอย่างไร จนเดี๋ยวนี้เวลาผมเห็นผู้หญิงสวย ภาพของผู้หญิงคนนั้นยามแก่จะผุดขึ้นในหัวผมอัตโนมัติ ทำให้ผมเลิกสนใจไปโดยปริยาย
อย่างที่2ที่ผมใช้ในการพิจารณาคือ ความสบายเมื่อได้อยู่คนเดียวและพิจารณาโทษภัยของผู้หญิง ผมจะนึกอยู่เสมอ ถ้าผมมีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต จากของที่ผมอยากได้จะกลายเป็นไม่ได้ จากที่ผมอยากกินจะไม่ได้กิน จากที่ผมจะได้ไปไหนมาไหนคนเดียวก็จะมีตัวถ่วงมาคอยถ่วงผมไว้ เมื่อพิจารณาเช่นนี้บ่อยเข้า เราจะเริ่มมีนิสัยรักสันโดษขึ้นมาแล้วจะกำจัดกามตัณหาออกไปโดยอัตโนมัติครับ
ถ้ามีอาการหนักมากหรือเป็นคนตัณหาจัดมาก ให้ใช้ศีล8เข้ามาช่วย คือละเลิกจากการรับประทานมื้อเย็น ไม่แต่งตัวเสริมหล่อ ไม่ดูการละเล่นฟ้อนรำขับร้อง นอกจากศีล8แล้วถ้าไม่นอนบนฝูกที่นอนสูงใหญ่ด้วย จะช่วยได้เยอะครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#5
โพสต์เมื่อ 15 May 2008 - 04:54 PM
ถ้าไม่เห็น จะได้ไม่คิด คงจะพอช่วย
#6
โพสต์เมื่อ 15 May 2008 - 05:23 PM
คำตอบ ก็ต้องสร้างกำลังกายให้แข็งแรงขึ้นมาก่อน ด้วยการหมั่นออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ ขับถ่ายเป็นเวลา นอนให้เพียงพอ ใช่มั้ยครับ ทีนี้พอกายแข็งแรงแล้ว โรคภัยต่างๆ ก็จะหายไปเอง
ใจคุณก็เช่นกัน จะต้องสร้างกำลังแห่งใจ 5 ประการขึ้นมา คือ ปัญญา ศรัทธา สติ สมาธิ ความเพียร
คุณต้องสร้างปัญญาก่อน ด้วยการอ่านหนังสือที่สอนให้หลีกจากกาม พูดคุยกับบัณฑิตที่เขาห่างไกลจากกามราคะจริงๆ เช่น พระ หรือ คุยกับมิตรแท้ใน DMC นี้ก็ได้ครับ เป็นต้น ปัญญาจะช่วยให้คุณคิดได้ ดังที่คุณไชยานุภาพ แนะนำมาว่า ให้คิดกับเพศตรงข้ามเหมือนญาติ เป็นพี่สาว น้องสาว เป็นต้น หรือ จะคิดแบบคุณ เคยเข้าวัด แนะนำก็ได้ พิจารณาความไม่งามของร่างกาย พิจารณาโทษของการมีครอบครัวเป็นต้น
เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้ว พอมั้ย คำตอบคือ ไม่พอ เพราะหลายอย่าง คนเรารู้ว่าดี แต่ก็ไม่ทำ เช่น ตื่นเช้า รู้ว่าดี แต่ก็ตื่นสาย ทำไม ใช่มั้ยครับ
ดังนั้น จึงต้องสร้างกำลังแห่งใจประการที่ 2 คือ ศรัทธา ครับ ศรัทธาเชื่อมั่นในความอยากหลุดพ้นของตัวคุณเอง ถ้าคุณมีใจอยากหลุดพ้นจริงๆ คุณก็ทำได้ หรือ ศรัทธาในผู้ที่เขาหลุดพ้นทั้งหลาย เช่น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ เป็นต้น
มีสองกำลังแล้ว พอหรือยัง ยังครับ คุณจะต้องมีกำลังสติ ซึ่งสามารถฝึกได้ด้วยการรักษาศีลแปด และการสำรวมอินทรีย์ ดังที่คุณ เคยเข้าวัด และ tnuwat แนะนำมานั่นแหละครับ เมื่อมีสติ คุณก็จะไม่เผลอสติ หลงไหลฟุ้งซ่านไปกับสิ่งเหล่านั้น
แต่สติก็ยังไม่พอนะครับ เพราะบางครั้งรู้ทั้งรู้ว่าไม่ดี แต่ก็ทำ เพราะอดใจไม่ไหว ดังนั้น จึงต้องสร้างกำลังที่จะรู้จักข่มใจ นั่นคือ กำลังสมาธิ ไงล่ะครับ ทำได้ด้วยการ ฝึกสมาธิครับ ลองหาเวลาไปปฏิบัติธรรมต่อเนื่อง 3 วัน 7 วันดูครับ หมั่นสร้างความมั่นใจแห่งใจ หรือ กำลังสมาธิขึ้นมา
ทั้งหมดนี้ ต้องปิดด้วยกำลังสุดท้าย คือ ความเพียรครับ เพียรทำบ่อยๆ เหมือนแมงมุมไงล่ะครับ เวลามันชักใย หากมีใครมาทำลายใย มันก็ไม่ท้อ ชักใยใหม่
เพียรพยายาม คือ ความงามของจักรวาล
#7
โพสต์เมื่อ 15 May 2008 - 06:27 PM
#8
โพสต์เมื่อ 15 May 2008 - 07:05 PM
เวลาคิดเรื่องนั้นปุ๊บ ก็สลัดความคิดทันที ทำไห้เก่งชำนาญเดี๋ยวก็จะไม่มีเรื่องพวกนี้เลยครับ
#9
โพสต์เมื่อ 16 May 2008 - 06:33 AM
#10
โพสต์เมื่อ 16 May 2008 - 08:24 AM
แค่ศีล 8 ก็ช่วยเยอะแล้ว และยิ่งสภาพแวดล้อมในวัดเรื่องพวกนี้ก็ยิ่งคิดน้อย หากคุณบวชนะ คุณต้องระวังแค่เวลาคุณอยู่ตัวคนเดียว (เวลาอาบน้ำ หรือเข้าห้องน้ำ หากเกิดอารมณ์ก็ต้องรีบระงับครับ อยู่วัด 2 เดือน คงไม่ยากหรอกครับ
#11
โพสต์เมื่อ 17 May 2008 - 09:11 PM
นึกถึงวงจรอุบาทว์ของเรื่องรักๆใคร่ๆ และการผิดศีลกาเมสิ
ช่วยได้เยอะนะ
ขอลอกมาจากที่เราเคยตอบในกระทู้อื่นๆนะ
-------------------------------------------
Step การเสวยวิบากกรรมกาเม.. คร่าวๆพอจะมีดังนี้..
(บางคนอาจจะกระโดดข้ามบาง Step ไป เพราะมีบุญอื่นๆมาอุ้มไว้บ้าง
บางคนถึงกับไปสวรรค์ก่อน แต่เมื่อวิบากกรรมกาเมส่งผล ก็จะประมาณนี้นะ)
1. ในชาติที่เกิดเป็นชาย เจ้าชู้ มากรัก ได้ผู้หญิงแล้วทิ้งไปมีใหม่ หรือชอบเที่ยวผู้หญิง
2. ไปมหานรกขุม 3 ยาวนาน.. ยาวนาน.. (เราไม่แน่ใจว่าไปอุสทะนรกก่อนหรือเปล่า) รับบุญใดๆไม่ได้เลย แม้มีคนทำให้
3. ยมโลกขุม 3 ยาวนาน.. รับบุญได้บ้าง หากมีคนทำให้
4. เปรต, อสุรกาย ที่มีร่างกายพิลึกกึกกือ พิสดารพันลึก ตามวิบากกรรม ยาวนาน..
5. หนอนในส้วม ยาวนาน..
6. เป็นสัตว์เดรัจฉานที่ตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่น สุนัข แมว ลูกลิง(มักจะโดนลิงจ่าฝูงกัดอันฑะขาด)
วัวควาย(มักจะโดนเจ้าของตอน) ฯลฯ เป็นสุนัข เป็นแมว ก็โดนตอน ไม่ว่าเป็นอะไรก็มักโดนจับตอน
และเป็นแต่ละอย่างก็หลายร้อยชาติ ยาวนาน..
7. เกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรก.. คือ โสเภณี ยาวนานหลายร้อยชาติ..
8. กระเทย เกย์ ตุ๊ด ทอม ดี้ เลสเบี้ยน ชอบแบบไหนเลือกเอาเลย..
แล้วแต่วิบากกรรมเจ้าชู้จะหนักไปทางไหน ตอนเป็นชายหรือเป็นหญิงเจ้าชู้มากกว่ากัน
ยาวนานหลายร้อยชาติ..
9. เมื่อกรรมเบาบางลง.. ได้เกิดเป็นหญิงปกติที่มีปัญหาครอบครัว เรื่องทำนองบ้านแตกสาแหรกขาด
เพราะคุณพ่อคุณแม่เจ้าชู้บ้าง.. เพราะแฟนเจ้าชู้ ทิ้งไปบ้าง.. ฯลฯ ตามสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้
10. วิบากกรรมเบาบางลงอีก.. ได้เกิดเป็นหญิงธรรมดาที่มีครอบครัวปกติ
11. วิบากกรรมเบาบางลงอีก.. ได้เกิดเป็นหญิงธรรมดาที่ไม่ปรารถนาการมีสามีเลย
ต้องการประพฤติพรหมจรรย์อย่างเดียว กระทั่งอาจจะอยากปฏิบัติธรรม และได้กระทำดังนั้นด้วย
12. หากข้อ 11. ได้ถือศีล 8 อย่างแน่วแน่ บริสุทธิ์ ตลอดชีวิต และทำทาน ศีล ภาวนามากพอ
แล้วมีการอธิษฐานอย่างมุ่งมั่น.. ก็จะจะได้เกิดเป็นชาย ได้เพศบริสุทธิ์ ได้บวชเรียน (ซึ่งแล้วแต่การอธิษฐาน)
ใน Step นี้ บ้างคนก็มาไม่ถึงสักที.. เพราะปรารถนาและพึงพอใจในการเป็นหญิง แต่ก็จะเป็นหญิงที่ดี
เช่นนางวิสาขา เป็นต้น..
แต่การเป็นหญิง.. ให้พึงระลึกไว้ว่า เสียเปรียบทั้งทางโลก และทางธรรม
ทางโลกก็รู้ๆอยู่ อย่างน้อยก็ยืนฉี่ไม่ได้.. และมีภัยร้ายรอบด้านที่อาจจะทำให้เราวนกลับไป
สู่วงจรอุบาทว์ของการผิดศีลกาเมอีก.. ไปนรก เปรต อสุรกาย หนอนในส้วม สัตว์เดรัจฉาน โสเภณี ฯลฯ..
ทางธรรมก็คือ.. ส่วนใหญ่แล้วจะบวชพระไม่ได้ในแต่ละวาระที่พบพระพุทธศาสนา
เพราะมีเรื่องจุกจิกเยอะ.. ปกครอง+คุ้มครอง+คุ้มภัยได้ลำบาก.. ทำให้สั่งสมบุญบารมีตามคนอื่นไม่ทัน
หากระหว่าง Step ที่กล่าวมา.. เกิดไปพลาดทำผิดศีลกาเมอีก.. ก็จะวนกลับไปเสวยวิบากกรรมอีก..
ไม่จบไม่สิ้นสักที.. น่ากลัวยิ่งนัก
คิดได้ดังนี้แล้ว.. อยู่คนเดียวประพฤติพรหมจรรย์จะดีที่สุด....
-------------------------------------------
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#12
โพสต์เมื่อ 18 May 2008 - 12:13 PM
#13
โพสต์เมื่อ 21 May 2008 - 11:45 PM
1. อินทรีย์สังวร: สำรวมในทวารทั้ง6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
2. โภชเนมัตตัญญุตา: รู้จักประมาณ-สำรวมในการกิน(อิ่มแล้วง่วง กามกำเริบ)
3. ชาคริสตานุโยค: ทำอะไรแล้วอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ทำให้เสร็จกิจไม่คั่งค้าง(กำจัดอุปนิสัยเกียจคร้าน)
- สมัยพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านตำหนิแม่ชีปุก(ซึ่งไปถวายอาหารพระมหาณรงค์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหลวงปู่ แล้วขากลับเจอะเจอหลวงปู่ฯ) แม่ชีได้กล่าวว่า"ดิฉันแก่จะมาขออนุญาตหลวงพ่อก็ไม่เจอ ดิฉันแก่แล้ว" หลวงปู่ฯตำหนิว่า"อีแก่สำคัญนัก อีแก่มันชักนำให้ชีสาวกับพระหนุ่มได้กันมึงรู้ไม๊"
- การบวชแม้จะอยู่ในบุญเขตก็ตาม ไม่ควรประมาทในการบำเพ็ญสมณะธรรม ยังไงก็ควรสำรวมระวังกายวาจาใจ เพราะอุบาสิกาในบุญเขต ล้วนเป็นผู้มีจิตใจงามนั่นเอง