ขอคำแนะนำค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 28 April 2010 - 10:43 AM
และนิสัยที่เป็นคนรักใครรักจริง ก็จะซื่อสัตย์ไม่นอกใจ เกลียดใครก็เกลียดจริงไม่เล่นด้วย เป็นคนเข้ากับคนได้ง่าย ๆ
เหตุเพราะเรามีเพื่อนคนหนึ่งที่เราเกรงใจเขามาก แคร์ความรู้สึกเขามาก เขาจะมีเพื่อนผู้ชายมาก และ เพื่อนของเขาแต่ละคนเราก็เข้ากับเขากันได้ เล่นด้วยคุยด้วยไปบอกบุญไปทำบุญด้วยกันได้ เพราะความที่เราเป็นคนสบาย ๆ ไม่ได้คิดอะไรกับใคร ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ผู้ชายเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับเรา ก็เห็นเราเป็นเพื่อนคนหนึ่ง แม้เราจะเป็นผู้หญิงก็ตาม
แต่เขาก็จะชอบโกรธเราเป็นประจำ ไม่พอใจเราทุกครั้งที่เราคุยเล่นหรือไปกับใครก็ตาม พอเราถามเขา เขาก็จะเงียบไม่พูดว่าโกรธอะไรเรา
ขอถามค่ะ ควรทำยังไงดีค่ะ ในเมื่อเรายังต้องมีสังคมต้องเจอทุกคน เพื่อน ๆ พี่ น้อง ในวัด และ เราก็วางตัวให้เหมาะสมด้วยคือ ไม่เล่น
จนเกินงามคือ ไม่ถูกเนื้อต้องตัวกัน เพราะเราก็ให้เกียรติเพื่อนของเราด้วยค่ะ เราก็แคร์ความรู้สึกของเขาด้วยค่ะ
ควรทำยังไงดีค่ะ เขาจึงจะเข้าใจเราว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงเจ้าชู้
ตัวเองเป็นคนกลัวบาปค่ะ จึงไม่คิดที่จะผิดศีลค่ะ แม้เราจะยังไม่ได้เป็นอะไรกันแค่เพื่อนกันที่ดู ๆ กันอยู่ก๊ตามค่ะ
ทุกวันก็นั่งสมาธิค่ะ ไปวัดค่ะ เขาก็ไปวัดน่ะค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 28 April 2010 - 11:30 AM
#3
โพสต์เมื่อ 28 April 2010 - 11:54 AM
คนเงียบขรึม เจ้าชู้ ก็มีค่ะ
โดยส่วนตัวแล้ว เมือคบกับใครแล้วคบคนเดียวค่ะ นอกนั้นคือ เพื่อน พี่ น้อง เรายังต้องอยู่สังคมค่ะ ไม่ใข่โดดเดี่ยวจะได้ไม่ต้องคุยกับใครค่ะ
ก็แค่อยากให้เขาเข้าใจเราบ้างค่ะ เมื่อเข้ากลุ่มเพื่อนมีความสุข เข้าได้กับเพื่อน ๆ ดีกว่า เพื่อนเกลียด ถูกไม๊ค่ะ
เคยบอกเขาแล้วค่ะ เขาก็เงียบไม่พูด บ้างครั้งวางตัวลำบากค่ะ นั้นก็เพื่อน น้อง นี่ก็ คนที่เราแคร์ ควรทำยังไงค่ะ
#4
โพสต์เมื่อ 28 April 2010 - 12:18 PM
เมตตา ต่อ เพื่อนๆ ทุกคน (เมตตาคือ ปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์) เราสังเกตุตัวเองได้ครับ เวลาทำอะไรกับใครนั้น เช่น พูดจาหรือแสดงอาการกับใครคนหนึ่งไป เราเมตตาเขา(จริงๆ) หรือไม่ ต้องตอบตัวเองให้ตรงคำถามครับ แล้วจะแก้ไขปัญหาได้ บางคนปากก็บอกว่า เขาเมตตาต่อทุกคน แต่หากพูด หรือ กระทำไม่ดีออกมา มันจะแสดงออกมาทาง สีหน้า แววตา ในทางอ้อมน่ะครับ ว่า แท้จริงแล้ว เมตตาต่อเพื่อนๆ จริงหรือไม่
กรุณา ต่อ เพื่อนๆ ทุกคน (กรุณาคือ ปรารถนาให้เขาเป็นสุข)
มุทิตา ต่อ เพื่อนๆ ทุกคน คือ เพื่อนๆ ได้ดีขึ้นมา ก็ยินดีกับเขาอย่างจริงใจ (มิใช่เสแสร้ง แกล้งทำ แต่ในใจหมั่นไส้ เป็นต้น
อุเบกขา ต่อ เพื่อนๆ ทุกคน คือ ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นมาไม่ว่าจะกับเราหรือเพื่อนๆ ก็ตาม จนเกินกำลังตัวเราจะแก้ไข ก็ให้วางอุเบกขา เพราะได้ทำสุดความสามารถแล้ว ตีโพยตีพายไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรก็ขึ้นมา เป็นต้นครับ
#5
โพสต์เมื่อ 28 April 2010 - 12:26 PM
จะมีแฟนก็ย่อมต้องเสียอะไรบางอย่างไป คุณอาจจะคุยกับผู้ชายคนอื่นๆไม่ได้มาก คุณก็ไปขี้เล่นกับเพื่อนผู้หญิงสิ
#6
โพสต์เมื่อ 28 April 2010 - 12:43 PM
เพื่อนอาจคิดกับเราเป็นมากกว่าเพื่อนก็ได้นะครับ อันนี้ประเด็นสำคัญและเป็นประเด็นหลัก
ควรทำยังไงดีค่ะ เขาจึงจะเข้าใจเราว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงเจ้าชู้
ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด ปัญหาก็คือเราคิดอะไรกับเพื่อนคนนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง อันนี้ประเด็นสำคัญกว่า อิ อิ
ทุก วันก็นั่งสมาธิค่ะ ไปวัดค่ะ เขาก็ไปวัดน่ะค่ะ
คงไม่ผิดศีลหรอกครับ และก็ไม่ใช่เรืองแปลกอะไรที่จะมีแฟน แต่จะบอกว่ามากคนก็มากเรื่อง มากเรื่องก็มากความครับ และเป็นปัญหาหลักสำคัญที่คุณยายย้ำนักย้ำหนาเรื่องการพวกนี้ ไม่ใช่ไม่ดี แต่ถ้าไม่มีได้เป็นดีที่สุด ขอนั่งยืนนอนยืนยืนยันครับ :-)
#7
โพสต์เมื่อ 28 April 2010 - 01:07 PM
#8
โพสต์เมื่อ 28 April 2010 - 03:12 PM
ถ้ารู้ตัว่า "ใจ" เริ่มจะไม่อยู่ที่ศูนย์กลางกาย ก็ต้องหาวิธีนำ "ใจ" มาไว้ที่ศูนย์กลางกายอย่างเร่งด่วนเลยล่ะค่ะ
เรื่องความรักนี้พูดยากนะคะ โดยเฉพาะผู้ที่คิดจะรักษาพรหมจรรย์ เพราะรู้ไม่รู้ว่า เราเคยไปสร้างบุญ หรือสร้างกรรม ร่วมกับใครมาบ้าง เพราะถ้าเกิดไปจ๊ะเอ๋กับคนที่เคยมีบุญ มีกรรม ร่วมกันมา ก็จะทำให้ใจไขว้เขว และออกห่างจากศูนย์กลางกายง่ายกว่าปกติ คือมีเชื้อ มีความคุ้นเคยเก่าๆ อาจเข้าใกล้ๆ คนที่ว่าไม่ได้เลย อาจเกิดอาการซ๊อตกันได้
ก็ขออนุญาติเอาใจช่วยผู้ที่คิดรักษาพรหมจรรย์(ผ่านกระทู้นี้) ให้ผ่านอุปสรรคอันนี้ไปให้ได้ ถ้าต้องเข้าใกล้ ถ้าต้องทำงานร่วมกัน ก็ต้องท่อง "สัมมา อะระหัง" ไว้ ถ้าใจเริ่มวิ่งออกห่างจากศูนย์กลางกาย ก็ต้องชวนกันไปนั่งหลับตา
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#9
โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 01:28 AM
หลายครั้งที่ไม่เข้าใจเขาว่าเขาคิดยังไงกับเรา หลายครั้งที่อดคิดไม่ได้ว่าเขาคงเกลียดหรือโกรธเรามาก
หลายครั้งที่เราไม่กล้าคุยอะไรกับเขา เขาเงียบกับเรามาก ๆ ๆ จนเรารู้สึกว่าเขาคงไม่อยากเจอเรา
ขอโทษน่ะค่ะ ที่เอาเรื่องเหล่านี้มาเขียนใน web ความจริงควรเขียนแต่หัวข้อธรรมะ เราเครียดมาก สับสน กับ สิ่งที่เกิดขึ้นมากค่ะ
ความจริงแล้ว เราอยากคุยกับเขาได้ อยากคุยธรรมะด้วย อยากคุยเรื่องบุญ และ อยากไปทำบุญกับเขา เป็นเพื่อนกันให้กำลังใจกันก้าวเดิน
ในเส้นทางธรรม เพราะเราทั้งคู่รักการทำบุญรักการสร้างบารมีกับหลวงพ่อมาก แม้จะรู้ว่าเรื่องเหล่านี้จะทำให้สร้างบารมีได้ช้า
แต่เราก็มองในแง่บวกว่า ถ้าเราให้กำลังใจกัน มีแต่สิ่งดี ๆ ให้กัน พากันสร้างบุญสร้างบารมีในชาตินี้ เราก็ยังพากันปฏิบัติธรรมได้
ชวนกันรักษาใจให้ใสสว่างที่ศูนย์กลางกายได้ ชี้ทางบุญ ทางสวรรค์ ไปที่สุดแห่งธรรมได้ อยากมีความสุขที่ได้ช่วยงานหลวงพ่อกับเขาค่ะ
แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วค่ะว่าเขาต้องการที่จะเดินไปกับเราไหม เราสับสนหลายครั้งค่ะ เราควรทำอย่างไรดีค่ะ
ขอคำแนะนำอีกนิดน่ะค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 02:31 AM
อันแรก บอกเขาไปเลยว่าเราสองคนแคร์ซึ่งกันและกัน มาคบกันเป็นแฟนดีกว่า แล้วคุณก็คบกันไป สุขบ้างทุกข์บ้าง (สุขแบบความเพลินที่ได้ใกล้ชิดกับคนที่ถูกใจ) แต่คุณก็จะทุกข์กับความขี้หึงของเขา (และอื่นๆ) ขนาดยังไม่เป็นแฟนกันยังมาทำตัวไม่พอใจ สักวันเขาเห็นว่าคุณเป็นของเขา(เป็นแฟน)คุณโดนหนักแน่ อยู่ไปได้สักระยะคุณก็จะรู้ตัวเองหละว่าเลือกข้อนี้ผิด แต่จะย้อนกลับไปเลือกข้อสองมันก็สายไปนานโขแล้ว
ข้อสอง คุณรอไปก่อนเผื่อสักวันจะเจอคนที่ดีกว่า เจอเนื้อคู่(กระดูกคู่) หรือเขาทำตัวดีขึ้น ตอนนี้บอกเขาไปว่าเราเป็นเพื่อนกันนะทำใมจึงทำตัวเป็นผู้ชายขี้งอน แล้วคุณก็เอ็นเตอร์เทนพักพวกเพื่อนฝูงไปเรื่อยๆ สักวันคุณก็จะเจอคนที่เหมาะสม หรือไม่ก็ค้นพบกับสัจธรรมของชีวิตว่าคนๆนั้นมันไม่มีตัวตน อยู่คนเดียวมันดีที่สุด แต่ก็อีกนั่นแหละจะเห็นสัจธรรมได้ดีต้องลองเลือกข้อแรกดู
ขอให้โชคดีนะครับ
ปล อยากมีเพื่อนที่ให้กำลังใจกันก้าวเดินในเส้นทางธรรม ดู DMC มากๆสิครับ แล้วหากลุ่มเพื่อนๆเพศเดียวกันที่วัด อุบาสิกามีมากมาย ต้องมีที่ถูกใจถูกจริตคุณบ้างแหละ จะหาคู่มาร่วมสร้างบารมีมันไม่work ผมเคยคิดแบบนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว จบลงที่ว่าคิดเข้าข้างตัวเองซะทุกครั้งไป
#11
โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 02:22 PM
#12
โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 04:14 PM
ต้องหนักแน่นครับ เส้นทางการสร้างบารมียังอีกยาวไกล
อาจมีบททดสอบ เรามากมายและหนักหนากว่านี้เยอะครับ
#13
โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 06:00 PM
#14
โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 06:32 PM
ตัดทุกสิ่งทิ้งทุกอย่างจ้า >_________<
#15
โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 03:23 AM
ข้อ 1 ครับ บอกเล่าความจริงของตนเองต่อตนเอง
ข้อ 2 ครับ บอกเล่าความจริงของตนเองต่อผู้อื่น
ข้อ 3 บอกเล่าความจริงของผู้อื่นต่อตัวเอง
ปัญหาของคุณชัดเจนเลยว่า มาจากการที่ไม่เปิดเผยและพูดคุยกันอย่างจริงใจ คิดดูเอาแค่3ข้อข้างต้นน่ะ ถ้าคุณและเพื่อนคุณสองคนทำได้อย่างแท้จริง เรนื่องนี้มันก็จิ๊บจ๊อย
คุณรุ้ว่าเขาไม่พอใจ แต่พอถามเขาก็บอกว่าปล่าว นี่ไงครับ คุณทั้งสองไม่ได้บอกเล่าความจริง
เพื่อนคุณไม่บอกความจริงว่ารู้สึกอย่างไร
คุณเองก็ไม่กล้าบอกความจริงไปว่าคุณรู้ว่าเพื่อนคุณโกรษเรื่องอะไร จริงๆคุณพุดไปเลยก็ได้ ไม่เห็นต้องรอให้เขายอมรับเลยว่าโกรธ ใช่ไหม บอกเล่าความจริงไปของคุณที่คุณรับรู้ไปเลย ทำไมล่ะ ถ้าเพื่อนคุณเขาไม่ยอมรับว่าโกรธคุณ ความรู้สึกที่คุรรับรู้จะกลายเป็นเรื่องไม่จริงไปใช่ไหม ที่ผมจะบอกคือความจริงของคุณไม่จำเป็นต้องไปขึ้นกะคำตอบของผู้อื่น จากนั้น คุณก็แค่บอกเล่ามันออกไป ไม่เห็นต้องไปรอฉันทานุมัติจากเพื่อนคุณเลย บอกไปเลยว่าคุณรู้สึกอย่างไร คิดเห็นอย่างไร และความจริงเป็นอย่างไร
มีแต่การนำเสนอความจริงต่อกันเท่านั้น ที่จะปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ ถ้าคุรไม่เป็นคนเริ่มแล้วจะคุณจะมีความชอบธรรมอะไรที่จะคาดหวังให้เพื่อนคุณเป็นคนเริ่มล่ะ
อนุโมทนาสาธุครับ
#16
โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 10:10 AM
"ชวนไอ้เจ้าเพื่อนตัวดีมาอ่านกระทู้ดิครับ" เปิดๆ กันไปเลย (ขำๆ นะ) แต่ก็ไม่แน่นะครับ ป่านนี้เค้าคงได้อ่านความเห็นของแต่ละท่าน
แล้วก็กลับตัวกลับใจตั้งปฏิธานมาบวชช่วยงานหมู่คณะน่าจะดีกว่า ฝากบอกเพื่อนของ จขกท. ด้วยนะครับว่า ความรักที่เค้ากำลังค้นหาอยู่ไม่ใช่
ความรักที่ยั่งยืนหรอก ความสุขที่เค้าคาดว่าจะได้รับจากความรักก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเหมือนกัน (ตั้งใจให้ จขกท. อ่านแล้วย้อนคิด
ถึงตัวเองนะครับ) ฝากเพลงให้ฟังดีกว่าแต่งเองนะครับเนี่ย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องราวนี้ รักษาใจให้อยู่บนหนทางสร้างบารมีให้ได้จนหมดลมหายใจในชาตินี้นะครับ :-)
#17
โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 11:05 AM
ชอบคำตอบของคุณPTDL น่ะค่ะ แต่ต้องขอบอกก่อนค่ะ ด้วยนิสัยแล้วเมื่อชอบจะชอบคนเดียว คบคนเดียวไม่มีเผือเลือกค่ะ
นอกจากว่าเขาไม่อยากคุย ไม่อยากเจอหน้า ไม่รับสายโทรศัพท์ และ เขามีคนอื่นแล้ว จึงจะถอยค่ะ ไม่โวยวาย แต่จะหยุดใจตนเองค่ะ
ทุกอย่างในอนาคตไม่แน่นอน อาจจะเปิดใจรับคนอื่นก็ได้ค่ะ ถ้าหากเขากับเราไม่ได้คบกันแล้วค่ะ แต่ก็คงจะยากน่ะค่ะ
เพราะไม่ได้มองหาใคร ไม่ได้คิดที่จะเอาใครมาเป็นแฟน เพื่อนแต่ละคนก็เป็นเพื่อน(คนที่ยังไม่ได้แต่งงานค่ะ) มันยากที่จะเปลี่ยนใจน่ะค่ะ
ก็ให้เป็นเรื่องอนาคตล่ะกัน
คุณดินสอแห่งธรรมค่ะ ความคิดดี ๆ มีประโยชน์มากค่ะ เห็นด้วยน่ะค่ะ ได้ข้อคิด ได้ทางสว่างแห่งปัญญา ดีมากค่ะ
แต่ขอชี้แจงความคิดของตัวเองให้ทราบนิดนึงค่ะ
ถ้ารักไม่เป็น ไม่ระวัง ลืมศูนย์กลางกายได้เลย ความรักไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการแต่งงานค่ะ ถ้าทั้งสองคนมีความคิดเห็นที่ตรงกัน
และตกลงกันได้น่ะค่ะ ว่าเราจะชวนกันทำบุญ นั่งสมาธิ สร้างบารมี มีความปราถนาดีต่อกัน ชวนกันช่วยงานหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ มีความ
เอื้ออาทรต่อกัน ช่วยเหลือกันได้ ให้กำลังใจต่อกันได้ แค่นี้ ก็มีความสุขได้ค่ะ (คุณคงเข้าใจน่ะ ความรู้สึกที่มากกว่าคำว่าเพื่อน) โดยที่
ไม่ต้องแต่งงานกันค่ะ
แต่ถ้าคนสองคน ตกลงกันว่า เราแต่งงานกันเถอะ ก็จะต้องช่วยกันประคองใจให้มากขึ้นกว่าเดิม ชวนกันรักษาใจ นั่งสมาธิกัน มากขึ้น
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็อยู่ที่คนสองคนจะตกลงกัน ทำความเข้าใจกันและกันได้ก่อนค่ะ ว่าต้องการอย่างไร จะแต่งหรือไม่แต่งและจะรักกันแบบไหน เหมือนเพื่อนของเราที่เขาตกลงกันได้ค่ะ เขาก็อยู่กันด้วยใจที่รักกัน ชวนกันสร้างบารมี กับหลวงพ่อ หมู่คณะ เขาก็มีความสุขกันได้ค่ะ โดยที่ไม่ต้องมาอยู่บ้านเดียวกันตลอดเวลา
และถ้าในกรณีที่เขามีคนอื่น ความรัก ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนกัน เป็นเพื่อนกันก็ได้ค่ะ (ไม่ใช่คอยให้เขาเปลี่ยนใจน่ะค่ะ) โดยส่วนตัวแล้ว
คิดว่า เราสามารถรักษามิตรภาพที่ดีต่อกันได้ เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นกัลยาณมิตร ต่อกันได้ต่อไป ไม่จำเป็นต้องทำให้มิตรภาพที่ดี
แตกหักกันไป เราไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ค่ะ แต่เราสามารถหยุดใจตัวเองได้ค่ะ เหมือนหลวงพ่อท่านเมตตาบอกเราเสมอว่า
ลดความขัดแย้งกัน มีความปราถนาดีต่อกัน แค่นี้ เราก็ยังคงชวนกันทำบุญ สร้างบารมี ช่วยงานหลวงพ่อกันต่อได้ เพียงแต่ลดระดับลงมา
เป็นเพียงแค่เพื่อนกัน เพื่อนที่มีเจตนาที่ดีต่อกัน ชี้ทางบุญ ทางที่สุดแห่งธรรม ต่อกันได้ค่ะ
เราหาทางออกของปัญหาไม่ได้ เพราะเขาเงียบ ปิดทางสื่อสารทุกชนิด ทำให้ไม่สามารถคุยกันได้ ตกลงกันได้ว่า เราจะเป็นอะไรกัน
หากเราสามารถคุยกันได้ ติดต่อกันได้ทุกทางทั้งโทรศัพท์ e-mail เราก็คงไม่สับสน ว่าจะทำยังไงดี
ถ้าเขาแสดงความคิดให้เราทราบสักนิด ตกลงกันได้น่ะว่า อยากจะคบกันในรูปแบบไหน ทุกอย่างก็คงจะดีขึ้นค่ะ
เพราะทราบดีว่าโดยตัวของเขา เขาก็คงสับสนว่า เขาอยากจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่ เรามีจุดหมายที่เหมือนกันค่ะคือ อยากสร้างบารมี
กับหลวงพ่อค่ะ เรารอแต่คำตอบของเขาค่ะ หากไม่ตอบ ขอเพียง คุยกันได้มากขึ้น ติดต่อกันได้บ้าง ทั้งทางโทรศัพท์ ชวนกันทำบุญ และไม่เดินหนีกัน และ ชวนกันรักษาใจที่ศูนยืกลางกาย ขอแค่วันนี้ทำดีต่อกันแค่นี้ก็พอค่ะ ให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคต
อย่างที่เขียนมาแล้วข้างต้นค่ะ อยู่ที่ตกลงกันได้ค่ะ
คุณดินสอแห่งธรรมค่ะ ทุกวันนี้ ก็พยายามนั่งสมาธิค่ะ ทำอย่างที่หลวงพ่อบอก สักวันคงได้บวชเป็นพระภายในตัวค่ะ
ขอบคุณทุกคนน่ะค่ะ ที่ให้ธรรมทานที่ดี ๆ หลายอย่าง และเชื่อว่าจะเป็นประโยชนืกับทุกคนที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ
ก็อยากให้เขาได้มีโอกาสได้เข้ามาอ่านน่ะค่ะ อยากให้เขาเข้าใจ และชวนกันทำบุญเหมือนเดิมค่ะ ทำวันนี้ที่มีรอยยิ้ม มีคำพูดที่ดีๆ ต่อกัน
ก็จะรักกันเป็น รักษาใจที่ศูนย์กลางกายได้ค่ะ หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ บุคคลรอบข้างไม่สำคัญเท่ากับเราตกลงกันได้ค่ะ
#18
โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 10:00 PM
หลายครั้งที่ไม่เข้าใจเขาว่าเขาคิดยังไงกับเรา หลายครั้งที่อดคิดไม่ได้ว่าเขาคงเกลียดหรือโกรธเรามาก
หลายครั้งที่เราไม่กล้าคุยอะไรกับเขา เขาเงียบกับเรามาก ๆ ๆ จนเรารู้สึกว่าเขาคงไม่อยากเจอเรา
เห็นความลำบาก ยุ่งยาก วุ่นวาย กับการมีแฟน และการมีชีวิตคู่ไม๊คะ
นี่เพียงแค่คนสองคนเท่านั้นนะคะ ยังไม่รวมพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ญาติพี่น้อง และลูกๆ ที่จะตามมา
ยังไงก็ขอเชียร์ให้ประพฤติพรหมจรรย์นะคะ ชีวิตไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวาย แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียว รับรองมีคนที่อยู่เป็นเพื่อนแยอะแยะ และถ้ารักษาศีลแปดดีๆ ชาติต่อไปก็ไม่ต้องมายุ่งยากวุ่นวายกับชีวิตแบบลูกผู้หญิงอีก
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#19
โพสต์เมื่อ 02 May 2010 - 07:25 PM
และเพราะความจริงแท้มีเพียงหนึ่งเดียวคือ เราทุกผู้ทุกเผ่าพันธ์ล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งเดียวกัน เราทำอย่างไรต่อผู้อื่นก็เหมือนเราทำอย่างนั้นแก่ตัวเอง(นี่คือที่มาของกฏแห่งกรรม) เราตอบสนองอย่างไรต่อผู้อื่นก็แสดงว่าเราเป็นคนอย่างนั้น เพราะผู้อื่นก็คือตัวเราในรูปแบบอื่น คือตัวเราในกายเนื้ออื่น แต่เนื้อในแล้วที่แท้ก็คือหนึ่งเดียวกัน
จนกว่าเราจะรู้แจ้งในสัจจะข้อนี้เท่านั้น แล้วเราจึงจะปฏิบัติต่อทุกผู้ไม่ต่างกะที่เราจะปฏิบัติต่อตัวเอง เราจะคิดเห็นต่อทุกผู้เม่ต่างกะที่เราจะคิดเห็นต่อตัวเอง จนกว่าเราจะรู้สัจจะนี้ เราจึงจะไม่กลัว ไม่รู้สึกว่าวุ่นวาย หรือไม่เบื่อผู้อื่น เพราะเราย่อมจะไม่กลัวไม่รู้สึกวุ่นวายและไม่เบื่อตัวเองฉันใดก็ฉันนั้น
#20
โพสต์เมื่อ 03 May 2010 - 08:50 AM
เราก้เป็นคล้ายๆกันนะค่ะ แต่โดยเกลียดซะมากกว่า
ในสภาพตอนนี้ คนที่เรียกว่าเค้าวัดจริงน่าจะมี รุ่นพี่กับหนุ 5-6 คนในร.ร. ที่คิดจะเป็นเด็กดีจริงๆ
เราซึ้งต่างจากคนอื่นก็โดนเกลียดเป็นธรรมดา ไม่ได้ชินหรอกค่ะ
แต่อย่ากให้เชื่อว่า เราทำดีแล้วเราไม่ผิดหรอกค่ะ
เราเองก็สนิทกับเด็กผู้ชายเยอะเหมือนกัน เคยโดยทักว่า เป็นพวกบ้าผู้ชายเหมือนกันค่ะ
แต่ที่สนิทเนี่ยมาจากชอบเล่นเกมเหมือนๆกัน
อา... อยากให้ลองยิ้มให้กับคนคนนั้นเยอะนะค่ะ บางที่อาจจะช่สยได้ก็ได้ค่ะ ^-^
きみだけをきみだけを kimi dake wo... kimi dake wo...