เหล็กไหล(กายสิทธิ์)
#1
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 02:26 PM
#2
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 03:22 PM
พอดีไปเจอมานะค่ะเลยเอามาให้อ่านดูนะค่ะ
ตำนานเหล็กไหลเหล็กไหล คือ ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มี ความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่ มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรงรวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิดได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง
กำเนิดเหล็กไหล
ย้อนกาลเวลาไปนานแสนนาน ในสมัยอสงไขยแสนกัลป์กาลก่อนโน้น มหาฤาษีกไลโกษฐ์ผู้สำเร็จญาณสมาบัติ เป็นผู้เพ่งฌาณเรียกแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะแข็งตัวได้ หลอมเหลวได้ สลายตัวได้และรวมตัวได้ มีลักษณะเหมือนเหล็กแต่ไม่ใช่เหล็ก ท่านเรียกให้มารวมตัวกันอยู่ตามถ้ำตั้งแต่สมัยแอตแลนติสซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในยุคนั้น แต่ได้ล่มสลายหายไปจากแผนที่โลก เชื่อกันว่าทวีปนี้ได้จมหายไปในมหาสมุทรเมื่อคราวน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ และโนอาได้เป็นผู้สร้างเรือใหญ่หนีน้ำท่วม ตามเรื่องราวที่ได้ถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณ
นอกจากนี้ยังมีท่านมหาฤาษีกัสสปและเหล่ามหาฤาษีผู้ทรงฌาณสมาบัติบรรลุ อภิญญาสูงสุด ท่านก็เป็นผู้ที่ได้เพ่งฌาณเรียกแร่ดังกล่าวมารวมกันที่ผนังถ้ำ เพื่อเป็นที่พำนักของวิญญาณ ได้เล็งเห็นด้วยอำนาจทิพยจักษุญาณว่า ภายใต้แผ่นดินนี้ลึกลงไปประมาณ 3 กม. มีแหล่งรวมของธาตุกายสิทธิ์มากมายหลายชนิด หล่อหลอมเหลวปะปนรวมกันอยู่ ในใจกลางโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในโลกวิทยาศาสตร์ ว่า ลาวา นั่นเอง แต่ภายใต้หินลาวาเหล่านั้นมี แร่เหล็ก ชนิดหนึ่งสมบูรณ์ด้วยคุณภาพ และเยี่ยมยอดเหนือกว่าเหล็กชนิดอื่น
มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา จึงใช้พลังจิตด้วยฤทธิ์อภิญญาของท่านดึงเอาแร่เหล็กดังกล่าวขึ้นมาจากใต้ลาวา อธิษฐานจิตให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์สุดวิเศษ มีอำนาจกายสิทธิ์ มีฤทธิ์ คุ้มครองปกป้องสรรพภัยได้อย่างอัศจรรย์ ดัวยพลังอำนาจจิตชั้นสูงปลุกเสกบรรจุไว้ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ของมหาฤาษี นั้น จากนั้นได้ใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์ตัดเหล็กวิเศษออกทำเป็นรูปเคารพของตน เช่น รูปพระอิศวร รูปพระนารายณ์ รูปพระพรหม แล้วอัดพลังเจโตสมาธิหรือพลังฌาณเข้าไปพร้อมกับอธิษฐานให้เกิดความศักดิ์สิทธิ
แต่ก็มีมหาฤาษีบางตนมีศรัทธาแก่กล้า เข้าฌาณเต็มอัตราแล้วถอดจิตหรืออาตมันของตนเองด้วยมโนมัยฤทธิ์ เข้าไปอยู่ในเทวรูปเหล็กวิเศษนั้นเลย ทีเดียว ถือว่าเป็นการสละชีวิตบูชาองค์พระผู้เป็นเจ้าตามลัทธิความเชื่อถือ ฤาษีตนอื่นเห็นเข้าก็เอาแบบอย่าง เพราะถือว่าเป็นกุศลสูงสุดที่ได้เอาดวงจิตเข้าร่วมปรมาตมันของพระผู้เป็นเจ้าโดยทางลัด
ต่อมาฤาษีอื่น ๆ เห็นว่าการถอดจิตเข้าในเทวรูปนั้นมีมากแล้ว น่าจะเข้าสิงสู่ในรูปแบบอื่น ๆ ที่จะยังคงขลังและศักดิ์สืทธิ์เหมือนเดิม เพื่อให้สาธุชนได้ไว้สักการะบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล คุ้มครองป้องกันชีวิตและทรัพย์สมบัติ
ดังนั้นฤาษีผู้บำเพ็ญญาณอื่น ๆ ที่บำเพ็ญบารมีถึงขั้นพรหมในถ้ำต่าง ๆ จึงได้ถือเป็นแบบอย่างสืบทอดกันมา ก็จะทำการเพ่งฌาณเรียกเอาแร่ธาตุกายสิทธิ์ดังกล่าวให้ไหลมารวมตัวกันเป็นสังขารอมตะ สำหรับวิญญาณซืมสิง เมื่อกายเนื้อได้แตกดับทำลายลงไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุนี้ตามถ้ำต่าง ๆ จึงมีเหล็กไหลซุ่มซ่อนแฝงเร้นกายสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
นับได้ว่าเป็นต้นแบบของเหล็กไหลที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก จนในกาลต่อมาได้เป็นคติ นิยมสืบทอดกันมาในทางพระพุทธศาสนา ที่ผู้สำเร็จฌาณอภิญญาชั้นสูง นิยมถอดจิตตนเองด้วยวิธี มโนมยิทธิ เข้าสิงในรูปปั้นพระพุทธปฏิมากร แล้วอธิษฐานให้พระพุทธรูปนั้นลอยไปตามน้ำ เห็นสถานที่ใดเหมาะสมที่จะให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ชาวบ้านก็จะทำพิธีบวงสรวงชักลากขึ้นไปสักการบูชาได้สำเร็จ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อทอง เป็นต้น
เหล็กไหลนี้จึงเปรียบได้กับร่างกายของท่านมหาฤาษีทั้งหลาย ที่มีวิญญาณอันเป็นอมตะของท่านมหาฤาษีครองอยู่ จึงได้เกิดอภินิหารเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง จนบางครั้งมีผู้เรียกขานกันว่า ธาตุกายสิทธิ์
เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์
คำว่าธาตุกายสิทธิ์นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซืมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้าแล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า เหล็กไหล จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้
1. ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น
2. ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาเป็นหินสีต่าง ๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี
3. ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่าง ๆ ไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่าง ๆ จากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช
4. ปรอท หรือธาตุอื่น ๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่าง ๆ ได้
ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุ กายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุ กายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า เหล็กไหล ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่าง ๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้
เหล็กไหลมีหลากหลายชนิด ลักษณะเป็นเนื้อโลหะสีมันวาวสะท้อนแสงได้ดี แข็งมีน้ำหนักเหมือนโลหะทั่วไป สนิมไม่กินเนื้อ มีพลังอำนาจในตัว ทางธรณีวิทยาเราจัดเป็นแร่ ประเภทหนึ่ง แต่ คนโบราณได้ค้นพบธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ขึ้นมา โดยการอนุมานจากอนุภาคธรรมชาติ ที่แสดงตนออกมาตามสภาพที่พบเห็นแล้วเรียกมันว่า เหล็กไหล เช่น ยืดได้หดได้ด้วยตนเอง ไหลยืดออกมาเป็นทางยาว ดับความร้อนได้ ชอบกินน้ำผึ้ง มีฤทธิ์ทำลายฟอสฟอรัสหรือหัวไม้ขีดให้หมดสภาพไปได้ คือจุดไม่ติด เมื่อมีการทดลองให้ประจักษ์แก่สายตาในอิทธิ์ฤทธิ์ปาฎิหาริย์ จึงทำให้เกิดมีความปรารถนาและมี ความต้องการสูง มีการติดต่อซื้อขายกันในราคาที่ค่อนข้างสูง คิดตามน้ำหนักเป็นบาทหรือเป็นชิ้นเป็นองค์ในราคาหลักร้อยล้านกันขึ้นไป
ดังนั้น เหล็กไหล จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่ ? เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่ ? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มี ประสพการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน เหล็กไหล ที่เล่าขานที่สืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน บางครั้งก็มีผู้ขนานนามว่า ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี
ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี
พระแม่นางธรณีเป็นผู้รักษาแผ่นดินโลก และสิ่งที่เป็นของแข็งอยู่ในโลกเรานี้จึงได้ถูกเรียกว่า ธาตุดิน ดังนั้น เหล็กไหล จึงจัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นมาจากธาตุ ของ พระแม่นางธรณี นั่นเอง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกในหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดย่อมก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของแร่ธาตุต่าง ๆ ตามกฎของธรรมชาติ
เหล็กไหลประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ตามป่าเขา ตามถ้ำจึงได้เริ่มปรากฏตัวสู่โลกภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ ส่วนเหล็กไหลที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟระเบิด ตัวแร่เหล็กไหลจะอยู่ ใจกลางก้นบ่อของภู เขา และจากความร้อนแรงที่หลอมละลายอยู่ภายใจกลางโลก จึงทำให้แร่ธาตุต่าง ๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการไหลรวมตัวกับแร่ธาตุอื่น ๆ อีกหลายชนิด
ธาตุเหล็กไหลนี้จัดได้ว่า มีชีวิตจิตวิญญาณ และเป็นธาตุกายสิทธิ์ ด้วยว่ามันมี พลังงานอยู่ ในตนเองสูงมาก พลังงานนี้จะเทียบเท่ากับน้ำหนักหรือแรงกด เหมือนกับสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ จนบางครั้งยกไม่ขึ้น หรือยกขึ้นไม่ไหว นี่แหละคือคุณค่าพิเศษของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ จึงจัดเป็นธาตุที่หาได้ยากมาก จะอยู่ตามถ้ำ ตามหน้าผา หุบเขา หรือภูเขา บางครั้งเราเรียกกันว่า ธาตุน้ำนมของพระแม่นางธรณี ด้วยเกิดจากสิ่งหลอมเหลวภายในโลกนั่นเอง จึงเปรียบเสมือนเลือดน้ำนมในอกของพระแม่ นางธรณี
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้พลังงานจากธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดอันเกิดจากแร่ธาตุธรรมชาติ มาเป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ และอีเล็คโทรนิค
ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลก็เช่นกัน เมื่อคนเราได้ค้นพบพลังงานอันมหาศาลที่ ซ่อนเร้นอยู่ จึงกลายเป็นของที่ทุกคนสนใจใคร่แสวงหากัน และจะหาธาตุเหล็กใดในโลกนี้บ้าง ที่มีพลังลึกลับอันมหัศจรรย์ซ่อนเร้นอยู่ในตัว เพราะเป็นพลังที่พิสดารจากธรรมชาติ เนื่องจากธาตุเหล็กธรรมดา ถ้าสัมผัสพลังดูแล้วจะรู้สึกว่าธรรมดา แต่ถ้าเป็นเหล็กไหลจะรู้สึกถึงพลังอันหนักหน่วง มีน้ำหนักมากจนรู้สึกได้
การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้ลึกละเอียด มองเห็นและถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวดยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกัน เหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่านั้น
การสัมผัสด้วย ญาณ จากผู้มีบารมีธรรมแต่ละคนนั้น ย่อมจะต้องได้คำตอบถึงคุณลักษณะของเหล็กไหลที่ตรงกัน พลังของเหล็กไหลนั้นรุนแรงมาก จนผู้ทดสอบพลังต้องคลายมือออกจากเหล็กไหลนั้น เพราะจะรู้สึกจุกแน่นหน้าอก เหมือนถูกพลังอันหนักหน่วงโถมใส่จนรับไว้ไม่ไหว จำเป็นต้องคลายสมาธิ โดยฉับพลัน ก็พลังนี้แหละจะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของคนเราได้ มองเห็นต่างหูต่างตาแทนเราได้ จึงทำให้วัตถุ มงคลเหล็กไหลเหมือนมีชีวิตจิตวิญญาณ
ต้นตำนานเหล็กไหลในยุคปัจจุบัน
เรื่องราวความเป็นไปของเหล็กไหล ค่อนข้างสลับซับซ้อนและยากต่อการเสาะแสวงหา นอกจากการชี้แนะของ ครูบาอาจารย์ รุ่นก่อน ๆ ที่ท่านได้ศึกษาและมีประสพการณ์ โดยเฉพาะตำนานเหล็กไหลเหล่านี้ ได้รับการบอกเล่าสืบทอดกันมาด้วยวาจา จนเมื่อ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดถ้ำแฝด อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้เปิดเผยเรื่องราวอันมหัศจรรย์นี้จากการบอกเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณ ถ่ายทอดจากประสพการณ์ ออกเผยแพร่เป็นตำนานเรื่องเล่าขาน
จนพระอาจารย์ สิทธา เชตวัน นักเขียนนวนิยาย และเรื่องราวที่ ลี้ลับทางจิตอภิญญา ผู้มีบารมีธรรมและญาณหยั่งรู้ชั้นสูง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเพศบรรพชิตที่ กำลังแสวงหามรรคผลในปัจจุบัน ได้เคยกล่าวถึงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไว้ว่า
พระธุดงค์ส่วนใหญ่ท่านจะแสวงหามรรคผลนิพพาน แต่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ไม่ เอาอย่างนั้น จะเอาเหล็กไหลลูกเดียว ช่างกล้าหาญชาญชัยถึงปานนั้น"
เพราะผู้ที่จะรู้เรื่องราว เหล็กไหล ส่วนใหญ่จะเป็น พระเกจิอาจารย์ผู้ผ่านการวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นผู้ทรงญาณเก่งกล้าในพุทธาคม จึงจะมีโอกาสได้สัมผัสหรือรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ตลอดจนมีเหล็กไหลบางประเภทอยู่ในครอบครอง
หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านศึกษาเรื่องเหล็กไหลมาจาก หลวงพ่อดี วัดพระไต นครเวียงจันทร์ ประเทศลาว อายุ 90 ปีเศษ แต่ยังแข็งแรงเหมือนคนอายุ 60 แต่ท่านเชี่ยวชาญในเรื่อง เหล็กไหลไพรดำ เล่นแร่แปรธาตุ ได้ชวนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ศึกษาเรื่องเหล็กไหล โดยออกธุดงค์ไปทาง ภูเขาควาย เข้าไปถึงเขมร และญวน จนได้รับความรู้เป็นอย่างดี จึงย้อนกลับประเทศไทย ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาจากเหนือจรดใต้ของประเทศ ทำให้ท่านได้ประสพการณ์เรื่องของ ธาตุกายสิทธิ์ และเหล็กไหลมากมาย
ดังนั้นเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้หาใช่จะยึดเป็นตำราได้ไม่ เพียงแต่เป็นเสี้ยวหนึ่งของประสพการณ์จากครูบุรพาจารย์ในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ประกอบการศึกษาและหาทางพิสูจน์กันต่อไป
เหล็กไหลไพลดำ พูดพล่ามเป็นบ้า เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดเป็นวา คิดสะระตะโสฬส นอนอดเหมือนหมา ดังคำพังเพยของคนโบราณที่ได้ให้ข้อคิดสะกิดเตือนลูกหลานเอาไว้ ไม่ให้สนใจในเรื่องเหล่านี้
เพราะเป็นช่องทางหากินของเหล่ามิจฉาชีพ ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงแบบ 18 มงกุฎ ใช้ไสยศาสตร์และมายากลหลอกลวงหากินต้มประชาชน ผู้รู้ไม่ทันก็จะเสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมากได้
ฤาเป็นเรื่องที่เบื้องบนต้องการเปิดเผยความเร้นลับของ เหล็กไหล นี้กันแน่ เพราะเมื่อ 30 ปี ก่อน ทันตแพทย์วิชิต ตริชอบ ได้เปิดเผยเรื่องราวของเหล็กไหลในแง่ การผจญภัย และพิธีกรรมตัดเหล็กไหล ผ่านทางนักเขียนนามอุโฆษ พนมเทียน ในหน้าหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ทำให้คนอ่านทั่วประเทศติดกันงอมแงมทีเดียว
เคยมีคนถามคุณหมอวิชิตว่า เหล็กไหลมีจริงหรือเปล่า คำตอบก็คือ ผมได้เห็นเหล็กไหลจริง ๆ ดังที่ได้เล่าไว้ในหนังสือเรื่อง เหล็กไหลทั้ง 4 เล่มนั่นแหละ แต่ไม่ กล้ายืนยันว่า เหล็กไหล ที่แท้จริงมีอยู่ในโลกนี้จริง ๆ หรือไม่ มันยังอึมครึมลึกลับอยู่
เพราะอาจจะเป็นมายาศาสตร์ชั้นสูง ที่ผู้สำเร็จญาณสมาบัติชั้นสูง หรือสำเร็จอภิญญาใช้ฤทธิ์อำนาจสะกดจิตให้เห็นตามที่ต้องการ หรือใช้มายากลระดับเซียนเหยียบเมฆ เพราะเหล็กไหลที่ตัดมาทั้งหมดนั้น ในที่สุดก็ได้ล่องหนหายไปอย่างลึกลับเช่นกัน
แม้ในปัจจุบัน เรื่องราวของการใช้มายากล ในผู้ที่แอบอ้างเป็นพระสงฆ์ ก็ยังมีอยู่ให้เห็นเป็นข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้เช่นกัน การที่อวดแอบอ้างเป็นผู้มีฤทธิ์อภิญญา ใช้ทีมงานร่วมมือกันหลายคน แสดงการปรากฏตัวของ เปรต การเคลื่อนย้ายวัตถุข้ามมิติ การย่นระยะทาง เสกเรียกของกลางอากาศ แล้วทำไมจะใช้ขบวนการสร้างเรื่องราวของเหล็กไหลให้ดูพิสดารสมจริงไม่ได้
เรื่องราวของตำนานเหล็กไหลในที่นี้ เป็นข้อมูลที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้รับมาจากครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน ที่เหมือนกันก็มี ที่ขัดแย้งกันก็มี ตามภูมิความรู้ภูมิธรรมของแต่ละท่าน ตลอดจนประสพการณ์จากการปฎิบัติและศึกษาจากของจริงตามป่าตามเขามานานนับสิบปี
__________________
ผู้รักษาจักรวาลคู่ขนาน มีอิทธิฤทธิ์ปราฏิหารย์สุดๆ
ถ้าพี่อยากรู้รายละเอีอดอีกกว่านั้ก็ http://www.palungjit...ead.php?t=7265ล
มาอ่านได้ที่กระทู้นี้นะค่ะ
รูปเหล็กไหล
ไฟล์แนบ
#3
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 04:30 PM
ว่าเหล็กไหลมีจริง แต่ที่เอามาคุยกันนั้น
ส่วนใหญ่จะไม่ใช่ของจริง
ที่สำคัญคือ สิ่งนี้ ไม่ใช่ "พระรัตนตรัย"
ไม่ใช่สิ่งที่จะไปเคารพกราบไหว้บูชา
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#4
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 04:48 PM
ลองหาอ่านประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ดูสิครับ
จะมีตอนหนึ่งที่พระอาจารย์มั่นท่านไปตัดเหล็กไหลที่ภูเขาควาย หรือถ้ำวัวแดงนี่แหละ
ถ้าจำผิดก็ขออภัยด้วยครับได้เหล็กไหลมาก้อนโตมากน่าจะใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบกันมาเลยครับ
2 เม็ดก็เต็มพานเลยครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#5
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 05:12 PM
รถด่วน (คล้ายๆตะขาบ ) ตัวใหญ่เท่าโบกี้รถไฟ น่ากลัวมาก
#6
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 06:09 PM
#7
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 07:17 PM
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#8
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 02:04 PM
เห็นด้วยค่ะพี่แมรี่ ยิ้มหวาน อิอิ
#9
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 07:12 PM
แต่ของพวกนี้ พ่อบอกว่าจะไปอยู่กับผู้ที่ได้เป็นเจ้าของเท่านั้น ว่าไป เหมือนของคู่บุญ อุอิ
เพิ่งทราบว่า เหล็กไหลเป็นฝ่ายดำ งั้น ๆ ใครได้ไปก็....น่ากลัวกว่าเยอะเลย
เอ๊ะ! หากเป็นฝ่ายดำ ก็เป็นของคู่บุญฝ่ายดำอะซิค่ะ...หรือยังไงล่ะค่ะเนี่ยะ
แล้วคนที่ได้ไป จะต้องทำอย่างไรล่ะค่ะ...
ใครได้ไปจะน่าดีใจหรือเสียใจดีล่ะค่ะเนี่ยะ...
ขอบคุณพี่ Merryma ค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 09:39 PM
คืออะไรครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#11
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 09:52 AM
เพราะพระฤาษี ชีไพร เป็นฝ่ายนับถือพระพรหม พระศิวะ ตามความเชื่อแห่งพรหมณ์นั้นไม่เป็นปฏิปักษ์กันกับพระพุทธศาสนา
#12
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 04:14 PM
กุศลาธรรมา คือธาตุธรรมฝ่ายขาว
อกุศลาธรรมา คือธาตุธรรมฝ่ายดำ
อพยากตาธรรมา คือธาตุธรรมฝ่ายกลาง
อ่านเรื่องราว กายสิทธิ์ภาคขาวได้จาก http://www.kalyanami...book_sompan.pdf หน้า 59
เมื่อทำได้ตามตำราแล้ว กายขาวใสเรียกกายสิทธิ์ภาคขาว ส่วนใหญ่อยู่ภายในแก้วต่างๆ
ถ้ากายดำ เรียกว่ากายสิทธิ์ภาคดำ ตรงข้ามกับถาคขาวคือไม่ได้อยู่ในที่ ที่ภาคขาวอยู่
#13
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 04:08 PM
#14
โพสต์เมื่อ 06 September 2006 - 03:29 PM
เท่าที่จำได้จากตำรา เหล็กที่อยู่ชั้นทิพย์ เสพกาม เสพน้ำผึ้ง
ชั้นพรหม จำลักษณะไม่ได้แล้ว
ชั้นอรูปพรหม จำลักษณะไม่ได้แล้ว
เหล็กไหลที่ผมสะสมมีทั้งเป็นเหล็กสีดำและสีอื่น เป็นลักษณะคล้ายแก้วสีต่างๆ(ใสๆแม่เหล็กดูดไม่ติด) แต่มีอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นสีขาวเมื่อถูกแสงอาทิตย์จะมีประกายรุ้ง ผู้ที่ให้ผมมาเป็นลูกศิษย์วัดปากน้ำ ท่านเอามาใส่มือนั่งสมาธิอธิฐานดูปรากฏว่าดวงจันทร์ดับลง จึงได้รู้ว่ามีอนุภาพมาก อีกครั้งหนึ่งผมได้ลองเอาเหล็กชิ้นนี้ไปเที่ยวงานวิทยาศาสตร์ทางจิตปี 48 ผู้ตรวจเป็นหญิงอายุไม่น่าเกิน 40 ด้วยความอยากรู้ผมจึงส่งให้ตรวจ เขาใช้คำว่าขนาดของญาณพระสูงเท่านั้นเท่านี้ (ถ้าเทียบกับธรรมกายก็เรียกว่าขนาดของกาย)ผมจำตัวเลขไม่ได้แล้ว แต่มากที่สุดในบรรดาพระต่างๆที่ตรวจอยู่มากๆ จึงมีแต่คนสนใจมองมาหาผมเต็มไปหมดผมเลยขอตัวไปที่อื่นดีกว่า
อีกเรื่องในตำนานของไทยคือเรื่องดาบฟ้าฟื้นของขุนแผนก็มีเหล็กไหลเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย ในประเทศจีนก็เคยได้ยินเรื่องดาบล้ำร้อง กระปี่มีวิณญาณ
ส่วนเรื่องราวและรูปพิธีตัดเหล็กไหลผมเคยมีอยู่สี่ที่
1.ภาพหลวงปู่หวล(อยุธยา)ตัดด้วยเทียน วิชามาจาก หลวงพ่อเดิม เป็นเหล็กไหลชั้นพรหม มีลักษณะเป็นเหล็กแม่เหล็กดูดติดขึ้นรูปด้วยขี้ผึ้ง
2.ภาพฆารวาสท่านทำพิธีตัดเหล็กไหลจากอากาศ ไม่ได้มีลักษณะเป็นเหล็กแต่เมื่อรวมตัวแล้วแก้วขาว เป็นเหล็กไหลชั้นอรูปพรหม
3.เป็น VCD ตัดด้วยไฟจากผนังถ้ำตอนตัดมีลักษณะเป็นของเหลวตัดเสร็จได้เป็นแก้วสีดำ
4.เป็นรูปภาพ ตัดด้วยไฟจากหินต่างๆ ออกมาเป็นแก้วสีต่างๆ
อีกตำนานหนึ่งเป็นเรื่องราวสมัย พระเวสภูพุทธเจ้า มีฤษีท่านหนึ่งหลังจากได้สำเร็จอรหันต์แล้ว จึงได้รวบรวมของวิเศษต่างๆจากฤษีต่าง เข้าด้วยกันด้วยการหุง มีของสองสิ่งที่ไม่สามารถเข้ากันได้คือ แก้วกายสิทธิ์และเหล็กไหลกายสิทธิ์ ผลที่ได้คือเกิดการระเบิดทำให้กายสิทธิ์ในบ่อนั้นกระจายไปทั่ว
ในเทปหลวงปู่พูดถึงพระของขวัญว่าเป็นของเป็นไม่ใช่ของตาย เหล็กไหลก็เช่นกันเป็นของเป็น พูดตามหลักวิชชาก็ว่ามีกายครับ คุณครูแม่ใหญ่ก็พูดถึงพระบนเจดีย์ว่าเป็นของเป็นเช่นกัน
แต่ปัจจุบันผมส่งเหล็กต่างๆคืนเจ้าของเดิมไปหมดแล้วครับ คิดแล้วก็อดเสียดายเงินไม่ได้ ตอนนี้ผมศึกษาเฉพาะวิชชาธรรมกายอย่างเดียวดีกว่า
#15
โพสต์เมื่อ 14 February 2007 - 09:30 PM
#16
โพสต์เมื่อ 23 February 2007 - 01:02 PM
#17
โพสต์เมื่อ 27 June 2007 - 12:21 PM
#18
โพสต์เมื่อ 30 December 2008 - 10:12 PM
#19 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 12 May 2011 - 03:45 AM
#20 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 July 2011 - 08:46 PM
เหล็กไหลมีเทพประทับอยู่ครับ ก็แล้วแต่สีและขนาดและรูปร่างตามที่เทพแต่ละองค์ประจำอยู่ครับ
ถ้าคิดซื้อขาย ท่านหนีทุกองค์ครับ
ดีทางเมตตา มหานิยม ป้องกันภัยครับ
ตอนผมได้มาผมรับปากว่าจะไหว้พระเป็นประจำ ทำบายศรี และศิล5อย่างดี แต่ผมลืมไหว้พระในวันพระ ตอนบ่ายท่านหนีกลับ
(ของผมสีปีกแมลงทับครับ ออกฟ้า) ตอนหลังผมกลับไปรับมาคืน ถ้าเรารักษาศิล ไหว้พระประจำสีท่านจะสวยมากครับ
ท่านพร้อมมาอยู่กับเราครับ ขอให้มีศัทธรา ท่านมาดีครับส่งเสริมการค้า แต่ถ้าผิดศิลก็โดนหนักเหมือนกันครับ
คุณอยากทราบอะไรก็ถามมานะครับ อันไหนตอบได้ผมก็จะตอบ ถ้าไม่ได้ผมก็จะถามท่านพระอาจารย์ครับ
#21 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 27 July 2011 - 03:12 AM