แบบนี้จะมีวิบากกรรมมากน้อยอย่างไรค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 03 March 2006 - 08:13 PM
#2
โพสต์เมื่อ 03 March 2006 - 08:58 PM
เช่น พ่อแม่ไม่อยากให้เราไปวัดพระธรรมกาย เราก็อยากไปวัดมากเลยโกหกว่าป่าวจ่ะหนูไม่ได้ไปวัดพระธรรมกายหลอกจ่ะหนูไปทำการบ้านๆ เพื่อนจ่ะ
ถ้าตอบแบบนี้ถือว่าเป็นการโกหกผิดศีลไม่ดีครับไม่ควรทำ
ควรจะถามท่านว่า "ถ้าหนูไปวัดไปทำบุญ กับไปเที่ยว RCA ป๋ากับหม่ามี้จะอยากให้หนูไปที่ไหนหละจ้ะ"
"หนูไปทำความดีไปทำบุญ อย่าได้เป็นห่วงหนูเลยจ่ะ พระท่านสอนว่าบุญเท่านั้นที่ควรรีบทำ คนที่ยังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องขวนขวายทำบุญ คนไม่ประมาท เร่งทำบุญ เป็นพระคติธรรม ของสมเด็จพระสังราช อยู่ ญาโณทยมหาเถระ จ่ะแม่จ๋า ว่าแล้วก็ชวนท่านไปทำบุญด้วยกันเลยจ่ะ ไม่ต้องโกหก ชวนดุ่ยๆ เลยครับตื้อเท่านั้นที่ครองโลก"
"
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#3
โพสต์เมื่อ 03 March 2006 - 09:34 PM
แต่อย่างว่า เรื่องโกหก อย่างนี้ มันต้องมีที่มา เช่นทำผิดอย่างอื่น แล้วก็มาผิดซ้ำด้วยการโกหกอีก คือผิดแล้วผิดอีก ซ้ำซาก ไม่แก้ไข มีแต่แก้ตัวให้พันๆ ไปครั้งๆ อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะจ๊ะ
ทำผิดพลาดพ่อแม่ให้อภัยได้ แต่ซ้ำๆ อย่างนี้ไม่ดีแน่ ทางที่ดี สิ่งที่ท่านห้าม ก็อย่าไปทำ ไม่ถึงตายหรอก แต่ทำไปแล้ว ขัดคำสั่งท่าน ท่านรู้ก็ไม่สบายใจ ท่านถาม ก็ต้องโกหกท่านอีก ผิดแล้วผิดอีกอยู่นั่น แต่ทำไปแล้ว ด้วยความพลั้งเผลอ หรือ อะไรก็ตาม ไปสารพภาพกะท่านซะ เรื่องมันก็จบกันแค่นั้น ยังดีกว่า วันหนึ่งท่านมารู้เองว่าเราทำอะไรลงไป
มีพ่อแม่ แค่นี้ ไม่มีอะไหล่นะจ๊ะ ทำดีกะท่านเถอะ
#4
โพสต์เมื่อ 03 March 2006 - 09:38 PM
#5
โพสต์เมื่อ 03 March 2006 - 10:25 PM
ธรรมดาคนดีไม่มีคนดีที่ไหนเขารังเกียจหรอกครับคุณจังกึม ขอเพียงเพื่อนคุณนิสัยดีจริง
ต้องพิสูจน์ใจด้วยการทำดี พูดดีให้ พ่อแม่คุณยอมรับให้ได้ครับ เพราะท่านผ่านโลกมาก่อนบางครั้งสิ่งที่คุณคิดว่าดีอาจจะไม่ดีจริงก็ได้ เพียงแต่คุณอาจจะชอบใจนิสัยเขา แต่ไม่ใช่ความดีของเขาก็ได้ครับ
ถ้าเพื่อนคุณพูดจาไม่เข้าหูท่านก็ต้องถามกลับว่าพูดแบบไหนให้ผู้ใหญ่รังเกียจ ไม่มีสัมมาคารวะหรือป่าว หรือพูดไม่มีหางเสียง หรือ...
การที่เรายังคบเขาอยู่แล้วบอกไม่คบ ถือเป็นการเจตนามุสา ผิดศีลเต็มๆ ครับไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ
เรื่องทิฐิเป็นเรื่องใหญ่ครับ ยิ่งถ้าทิฐิไม่ตรงกันด้วยแล้วก็ไปกันได้ยากครับ ดังนั้นแทนที่คุณ จังกึมจะโกหก ผมว่าเรามาหาทางละลายทิฐิกันดีกว่าครับ
ก่อนอื่นต้องทราบก่อนครับว่าใครกันที่เป็นสัมมาทิฐิ และใครเป็นมิจฉาทิฐิครับ ระหว่างเพื่อนคุณจังกึม กับบิดามารดาครับ
และความเห็นที่ไม่ลงรอยกันคือความเห็นในเรื่องอะไรครับ??
เพราะปัญหาต้องแก้ที่โจทย์ของปัญหาจริงๆ ไม่ใช่การโกหกหรือหลอกตัวเองครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#6
โพสต์เมื่อ 03 March 2006 - 11:08 PM
น้าจี้
#7
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 01:24 AM
แต่ว่าถ้าบอกว่ามีผลอย่างไร เท่าที่ฟังจาก case study มา ผลแบบนี้มันแค่นิดเดียวเอง อย่างมาก ก็เจอแบบนี้กับตัวเองบ้าง เวลาเราไปทำอาหารให้คนอื่นกิน เนอะ เหอๆๆ
#8
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 11:02 AM
เช่นคุณจังกึมมองเพื่อนว่าเป็นคนดี เพราะ เห็นจุดดีของเค้าในบางอย่างแล้วคิดว่าจุดนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่พ่อแม่อาจจะมองจุดที่คุณจังกึมคิดว่าดี เป็นเรื่องปกติ แล้วไปมองนิสัยอย่างอื่นเค้าแทนแล้วบอกว่านิสัยนั้นไม่ดี ทำให้บอกว่าเค้าเป็นคนไม่ดี
ยกตัวอย่างมีคนหนึ่งชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ แต่ยามว่างก็ชอบไปเดนซ์ตามเทคด้วย ถามว่าคนๆ นั้นดีหรือไม่ดี ถ้าเรามองว่าคนนี้ชอบทำบุญแล้วเราไม่คิดว่าการไปเดนซ์ตามเทคเป็นข้อเสียร้ายแรง เราก็จะบอกว่าคนนี้น่าจะเป็นคนดี แต่ถ้าคนอีกคนหนึ่งมองว่าการไปเดนซ์ตามเทคเหมือนการไปมั่วสุม เค้าก็จะมองว่าคนนี้ไม่ดี ถึงแม้จะชอบทำบุญก็ตาม
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#9
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 01:12 PM
ตอบ ถ้าตอบไม่ตรงกับใจก็เจตนาผิดศีลข้อ 4 เต็มๆ เลยครับ ถ้าเป็นผมๆ จะตอบท่านว่า "ป้าครับพักหลังผมกินหวานไม่ทนเลยจ่ะหวานน้อยอีกนิดอร่อยเลยนะจ้ะ หรือแหมะถ้าเค็มน้อยอีกหน่อยกลมกล่อมกำลังดีเลยนะครับ หรือแหมะกระทิมันจังเดี๋ยวผมก็อ้วนหรอกครับ อร่อยมากๆ ผมจะอ้วนเอานะครับป้า 555"
สังเกตว่าคำตอบนั้นเราสามารถตอบเลี่ยงได้ครับ เช่น ถามว่าอร่อยไหม? ก็ตอบว่าแหมะถ้าอร่อยมากผมก็อ้วนสิครับ หรือถ้าเพื่อนถามว่าสวยไหม? แต่จริงๆ ขี้เหร่มาก ก็ต้องตอบว่า เอถ้าผัดแก้มแดงอีกหน่อยน่าจะดูดีนะ ทาปากอีกนิด แต่งหน้าอีกหน่อยรับรองสวยเลยจ่ะ เป็นต้นครับ
ตอบ คุณ MiraclE...DrEaM ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า คนที่ทำบุญปนบาป ไปเที่ยวเทคที่เป็นอโคจร ผมไม่ถือว่าเป็นคนดีครับ เพราะคนดีจะต้องลดละเลิกมุ่งปรารถนากำจัดกิเลสหรือความชั่วในตัวเอง ต้องมีกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต กรณีที่ทำบุญมาก แต่ไม่ลดไม่ละไม่เลิกอบายมุข แสดงว่าเจตนาในการทำบุญเขาเป็นเจตนาเพื่อการสั่งสมภพชาติ มีความติดยึดทำบุญเพื่อปรารถนาผลที่สุขสบายในสัมปรายภพมากกว่าที่จะอยากเป็นคนดีจริงๆ ที่ต้องการกำจัดกิเลส ตัณหาในตนครับ
อุปมาคนทำบุญก็ทำ บาปก็ทำ ก็เหมือนพระเจ้าอาชาตศัตรูที่ฆ่าพ่อพระเจ้าพิมพิสาร แม้ภายหลังจะสำนึกผิดทำบุญกับพระพุทธเจ้าตลอดชีวิต เป็นราชูปถัมภ์บวรพุทธศาสนาก็หาหนีนรกพ้นไม่ครับ
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ พระสงฆ์ถือศีล 227 ข้อจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เป็นพระอริยะเจ้า หลงเข้าใจผิดคิดว่าอาบัติบาปแม้เพียงน้อยนิดคงไม่ส่งผลเพราะปลงอาบัติได้ แต่หารู้ไม่ว่าผลของบาปที่ตนเข้าใจว่าน้อยนั้นก็คือการผิดสัจจะต่อพระพุทธเจ้าผลของพระที่ผิดพระวินัยก็ยากที่จะพ้นอเวจีมหานรกได้ครับ
หรือชายใจบุญใส่บาตรทุกวันแต่ก็เชือดคอเป็ดไก่หมูวัวควายทุกวันถามว่าทำบุญใส่บาตรทุกวัน แต่บาปกรรมยังไม่ลดไม่ละไม่เลิก แล้วจะมีประโยชน์อะไรหละครับ เพราะคนประมาทพระพุทธเจ้าตรัสว่าคือคนที่ตายแล้ว ทรงสอนชี้ชัดว่าต้องละชั่วก่อน แล้วจึงทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ คนทำกุศลแต่ไม่ละชั่วเพราะมัวเมาก็ต้องมีอบายเป็นที่ไปแน่นอนครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#10
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 03:29 PM
"...โกหกให้สบายใจน่ะรึ ฟังไม่ขึ้น..."
ก็ไปคิดเอาเองนะคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#11
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 09:29 PM
#12
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 09:42 PM
โตเกียว..ญี่ปุ่น
ขอบคุณข้ิอคิดดี ๆ ของคุณ Muralath นะครับ
โตเกียว..ญี่ปุ่น
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา
โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
#13
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 09:52 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#14
โพสต์เมื่อ 05 March 2006 - 02:24 PM
แฮะๆ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับสาธุ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#15
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 06:15 PM
ในโลกนี้มีคนเช่นนั้นจริงๆครับ เกิดมาไม่เคยพูดโกหกหรือล้อเล่นเลย เฉกเช่น องค์พระศาสดาและมหาปูชนียาจารย์ครับ
ปรับตัวให้เข้าหามาตรฐานครับ อย่าปรับมาตรฐานเข้าหาตัว
#16
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 07:09 PM
กรณีที่เราคบคนที่คุณพ่อคุณแม่ท่านไม่ต้องการให้คบ
-คุณพ่อ คุณแม่ท่านก็คงมีวินิจฉัยของท่าน ท่านจึงตัดสินคนๆนั้นว่าไม่ควรให้คุณคบ ถ้าเราเคารพในภูมิปัญญาของท่าน เราควรเชื่อฟังครับ
-คนๆนั้น มีคุณความดีไปกว่าคุณพ่อ คุณแม่รึไม่ ถ้าไม่ใช่ ทิศเบื้องบนอย่าง สมณชีพราหมหรือเบื้องขวา อย่างครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายอย่างเพื่อนฝูงน่ะ ไม่ดีพอที่จะทำให้คุณต้องศีลวิบัติเลยนะครับ(ทิศเบื้องหลัง อาจจะยังไม่จำเป็นกระมังครับ แต่ถ้าใช่ นั่นยิ่งแล้วใหญ่เลย)
-คนในโลกนี้มีอยู่6000ล้านคนทั่วโลก กะอีแค่เลิกคบคนๆเดียวที่เป็นใครก็ไม่รู้ที่อย่างไรก็ไม่ได้รักคุณมากไปกว่าคุณพ่อคุณแม่
เพื่อคนที่รักเรามากที่สุดในโลก เราจะทำเพื่อท่านไม่ได้เชียวรึ
กรณีที่คุณจังกึมโกหก บิดามารดานั้น ง่ายมากครับ
บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
นับตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไป คุณจะมีวิบากติดตัว คือ มีบุตรธิดาที่ไม่อยู่ในโอวาท และพร้อมที่จะโกหกคุณได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
ถ้าคิดจะแต่งงานก็คงต้องทำหมันน่ะครับ รึลองมีลูกดูก็ได้ครับ(ทั้ง2อย่างไม่แนะนำให้ทำ)
ลองบอกกับตัวเองในกระจกดูก็ได้ครับว่า"เชื่อท่านสักชาติเหอะ อย่าให้เหมือนกับชาติที่แล้วๆมาที่เราก็ไม่ค่อยจะเชื่อท่านสักเท่าไรเลย แคร์ท่านบ้างเหมือนกับที่ท่านแคร์เรามาตลอดกาลและคงจะตลอดไป"
#17
โพสต์เมื่อ 29 June 2007 - 12:11 PM