ฉันบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะไม่ยอมแพ้”
บางครั้งที่ชั้นนั่งสมาธิ ใจชั้นมักจะเกิดอาการฟุ้ง ซัดส่ายไปนั่น ไปนี่ มากมาย หลายครั้งที่มักจะเห็นภาพเหตุการณ์ บุคคล และเรื่องราวที่เราเจอะเจอะเข้ามาในระหว่างที่เรากำลังพยายามทำใจให้หยุดนิ่ง ชั้นรู้สึกว่า มันเหมือนภาพ Flash back ส่วนมาก มักจะเป็นภาพที่เราไม่อยากจะนึกถึงเสียมากกว่า ภาพดวงแก้วที่ชั้นอยากจะเห็น หรือ ภาพขององค์พระที่ชั้นอยากจะเห็น กลับถูกกลบไปด้วยภาพแห่งอกุศลนิมิตเหล่านี้
แ่ต่ไม่ว่าภาพเหล่านี้จะมะรุมมะตุ้มชั้นมากมายแค่ไหนในระหว่างที่ชั้นกำลังนั่งสมาธิ ชั้นก็ไม่เคยรู้สึกว่า เบื่อการนั่งสมาธิเลย ตรงกันข้าม ชั้นเอาชนะใจของตัวเองด้วยการบริกรรมภาวนา “สัมมา อะระหัง” ถี่ๆ ดังๆ ให้เสียงนี้มันดังออกมาจากลางท้องของชั้น แต่บางครั้ง เสียงภาวนาก็หายไปเอง และใจชั้นก็นิ่ง สงบ จนกระทั่งในกลางท้องมีแสงระเรื่อๆ จนกระทั่งแสงนั้น เริ่มสว่างเจิดจ้ามากขึ้น และมากขึ้น บ่อยครั้งที่ชั้นเห็นดวงแก้วใส แสงเจิดจ้าของดวงแก้วนั้น งามตา และในดวงแก้วมีบางสิ่งอยู่ตรงกลาง ชั้นไม่กล้ามอง เพราะชั้นรู้ว่า หากมองแล้วจิตของชั้นจะปรุงแต่ง (บางครั้ง ชั้นรู้สึกว่า มีเสียงหนึ่งดังมาจากในสมอง เป็นเสียงตัวชั้นเองนี่แหละ แต่เหมือนไม่ใช่ตัวชั้น เสียงนั้นพยายามจะปรุงแต่งความคิดของชั้น เหมือนว่าเสียงนั้นกำลังอ่านบทให้ชั้นฟัง) ชั้นรู้สึกว่า เหมือนใครกำลังบังคับชั้นไม่ให้เห็น ไม่ให้รู้ในสิ่งที่ชั้นกำลังทำอยู่ ณ ขณะนี้ ชั้นไม่รู้ว่า จะอธิบายเช่นไรให้ผู้อ่านได้เข้าใจว่า สิ่งที่ัชั้นกำลังพยายามพูดถึงนี้คืออะไร...
แม้ว่า..การนั่งสมาธิของชั้น จะมีเสียง มีภาพ มารบกวนอยู่เสมอๆ แต่ชั้นกลับรู้สึกว่า ชั้นไม่กลัว ชั้นไม่เบื่อ และไม่เคยคิดจะเลิกนั่ง ตรงกันข้าม ชั้นกลับอยากนั่ง แม้บางวันจะรู้สึกว่าเหนื่อย ง่วงนอน แต่ชั้นก็นั่ง ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมารบกวนชั้นเสมอนั้น กลับเป็นแรงสู้ให้ชั้นขยันภาวนา, สวดมนต์ และนั่งธรรมะมากขึ้น ทุกวันตั้งแต่ตื่นนอน ทำภาระกิจส่วนตัว ชั้นจะหลับตาลงเป็นพักๆ นึกถึงองค์พระ, ดวงแก้ว, ปูชนียาจารย์ และตรึกธรรมะบ่อยๆ ให้มากๆ เพื่อว่า บุญกุศลนี้จะทำให้ชั้นได้เข้าถึงพระธรรมกายโดยที่ก้าวข้ามเครื่องกีดขวางการนั่งธรรมะของชั้นได้ในที่สุด
ชั้นรู้สึกว่า ตัวเองโชคดีที่สุดเลย ตั้งแต่เกิดมา ชั้นรู้ว่า ตัวเองห่างหายไปจากพระพุทธศาสนานานมาก วันนี้ กลับมาหาครอบครัว กลับมายังบ้านที่แท้จริง ได้พบที่พึ่งที่สูงสุดของชีวิตแล้ว มีบุญมากแค่ไหนมาเจอคุณครูไม่ใหญ่ และกัลฯ ทั้งหลาย ที่ห้อมล้อมชั้นเอาไว้ ชั้นรู้สึกถึงพลังแห่งความดีที่แวดล้อมชั้นทุกวันๆ ได้ฟังเรื่องราวดีดีจากอนุบาลฝันในฝัน, ได้พบธรรมะ ได้พบสิ่งที่ตามหาแล้ว สิ่งนี้ คือ พลัง..ที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ชั้นจะรักษาด้วยชีวิตของชั้นเอง
“ฉันจะไม่ยอมแพ้”
เริ่มโดย prem, Feb 18 2010 09:08 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 18 February 2010 - 09:08 PM
.."การนั่งธรรมะ คือ ความสุขที่เป็นยิ่งกว่าความสุขทั้งมวล"..
#2
โพสต์เมื่อ 18 February 2010 - 10:02 PM
การปฏิบัติธรรม สามารถปฏิบัติได้ 2 แนวทาง ขึ้นกับตัวเราน่ะครับ
1. ปฏิบัติลำบาก คือ แนวคิดปฏิบัติธรรมแบบฝ่าฟันต่ออุปสรรค แนวคิดเช่นนี้ มีพื้นฐานมาจาก มองสิ่งต่างๆ รอบตัว ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม ดังนั้น เมื่อสิ่งต่างๆ มาเกิดขึ้นคอยขัดขวาง ก็จะเกิดแนวคิด ทำนอง ไม่ยอมแพ้ ตั้งใจฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ขึ้น เช่น ใจฟุ้งซ่าน ก็รู้สึกว่า เป็นอุปสรรคต้องหาทางฝ่าฟันไปให้ได้ หากเปรียบเป็นการรักษามะเร็ง ก็เป็นแนวคิดทำนองว่า มะเร็งคือ เนื้อร้าย ต้องฝ่าฟัน ต้องกำจัดออกจากร่างกายเรา เป็นต้น
2. ปฏิบัติสบาย คือ แนวคิดปฏิบัติธรรมแบบเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เป็นผู้เฝ้าดูที่ดี เหมือนเราดูหนังดูละคร จะเกิดอะไรขึ้นกับพระเอกนางเอก เราก็ดูไปไม่ได้รู้สึกว่า เราเข้าไปร่วมแสดงในละครด้วย เพราะฉะนั้น เราก็จะเฉยๆ ใจฟุ้ง เราก็ดูความฟุ้งไปด้วยใจเฉยๆ พอใจเราเฉยๆ ไม่เรื่อยๆ เดี๋ยวใจก็จะนิ่งเอง ไม่ได้รู้สึกลำบากต่อการต้องฝ่าฟันอุปสรรคที่มาขัดขวางแต่อย่างใด หากเปรียบเป็นการรักษามะเร็ง ก็เป็นแนวคิดทำนองว่า มะเร็งคือ เพื่อน เพราะเดิมมะเร็งก็เป็นเนื้อของเรา หากเราเฉยๆ ไม่คิดทำร้าย เดี๋ยวมะเร็งก็จะกลับกลายมาเป็นเพื่อนใหม่เป็นต้น
ถามว่า แนวคิดไหน ดีกว่ากัน ตอบยาก ขึ้นกับจริตของคน ทั้งสองวิธีก็ล้วนมีข้อดีข้อด้อย
ปฏิบัติลำบาก จิตจะมุ่งมั่นมากกว่า แต่ก็ท้อง่ายกว่า(ถ้ายังไม่เห็นผล) ส่วนปฏิบัติสบาย จิตอาจจะเกียจคร้านกว่า แต่จะไม่ท้อปฏิบัติไปได้เรื่อยๆ
1. ปฏิบัติลำบาก คือ แนวคิดปฏิบัติธรรมแบบฝ่าฟันต่ออุปสรรค แนวคิดเช่นนี้ มีพื้นฐานมาจาก มองสิ่งต่างๆ รอบตัว ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม ดังนั้น เมื่อสิ่งต่างๆ มาเกิดขึ้นคอยขัดขวาง ก็จะเกิดแนวคิด ทำนอง ไม่ยอมแพ้ ตั้งใจฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ขึ้น เช่น ใจฟุ้งซ่าน ก็รู้สึกว่า เป็นอุปสรรคต้องหาทางฝ่าฟันไปให้ได้ หากเปรียบเป็นการรักษามะเร็ง ก็เป็นแนวคิดทำนองว่า มะเร็งคือ เนื้อร้าย ต้องฝ่าฟัน ต้องกำจัดออกจากร่างกายเรา เป็นต้น
2. ปฏิบัติสบาย คือ แนวคิดปฏิบัติธรรมแบบเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เป็นผู้เฝ้าดูที่ดี เหมือนเราดูหนังดูละคร จะเกิดอะไรขึ้นกับพระเอกนางเอก เราก็ดูไปไม่ได้รู้สึกว่า เราเข้าไปร่วมแสดงในละครด้วย เพราะฉะนั้น เราก็จะเฉยๆ ใจฟุ้ง เราก็ดูความฟุ้งไปด้วยใจเฉยๆ พอใจเราเฉยๆ ไม่เรื่อยๆ เดี๋ยวใจก็จะนิ่งเอง ไม่ได้รู้สึกลำบากต่อการต้องฝ่าฟันอุปสรรคที่มาขัดขวางแต่อย่างใด หากเปรียบเป็นการรักษามะเร็ง ก็เป็นแนวคิดทำนองว่า มะเร็งคือ เพื่อน เพราะเดิมมะเร็งก็เป็นเนื้อของเรา หากเราเฉยๆ ไม่คิดทำร้าย เดี๋ยวมะเร็งก็จะกลับกลายมาเป็นเพื่อนใหม่เป็นต้น
ถามว่า แนวคิดไหน ดีกว่ากัน ตอบยาก ขึ้นกับจริตของคน ทั้งสองวิธีก็ล้วนมีข้อดีข้อด้อย
ปฏิบัติลำบาก จิตจะมุ่งมั่นมากกว่า แต่ก็ท้อง่ายกว่า(ถ้ายังไม่เห็นผล) ส่วนปฏิบัติสบาย จิตอาจจะเกียจคร้านกว่า แต่จะไม่ท้อปฏิบัติไปได้เรื่อยๆ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#3
โพสต์เมื่อ 18 February 2010 - 10:09 PM
ช่างเป็นคนที่มีจิตใจที่เข้มแข็งมากๆ เลยครับ กว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้คงผ่านเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายก็ได้กลับมายังบ้านที่แท้จริงซะที ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
ส่วนเรื่องปัญหาการนั่งสมาธิ ก็ตามหัวข้อกระทู้เลยครับ "ไม่ยอมแพ้" แต่บางครั้งในกานนั่งสมาธิก็ไม่ควรทำใจแข็งจนเกินไปนะครับ มันต้องเป็นใจที่อ่อนนุ่ม ใส และสบาย เป็นหลัก อยากให้ตัดเรื่องกังวลในทางโลกให้ขาดจริงๆ ครับ อย่ายึดมั่นในตัวเรามากจนเกินไป แล้วปล่อยใจเพื่อค้นหากายในกายของเราจะดีกว่า อันนี้เดาๆ จากการอ่านที่ post มานะครับ
ปล. ถ้าอยู่เมืองไทยอย่าลืมมาบวชอุบาสิกาแก้วกันนะครับ ว่าแล้วก็ขอ promote เพลงหน่อยนะครับ :-)
ส่วนเรื่องปัญหาการนั่งสมาธิ ก็ตามหัวข้อกระทู้เลยครับ "ไม่ยอมแพ้" แต่บางครั้งในกานนั่งสมาธิก็ไม่ควรทำใจแข็งจนเกินไปนะครับ มันต้องเป็นใจที่อ่อนนุ่ม ใส และสบาย เป็นหลัก อยากให้ตัดเรื่องกังวลในทางโลกให้ขาดจริงๆ ครับ อย่ายึดมั่นในตัวเรามากจนเกินไป แล้วปล่อยใจเพื่อค้นหากายในกายของเราจะดีกว่า อันนี้เดาๆ จากการอ่านที่ post มานะครับ
ปล. ถ้าอยู่เมืองไทยอย่าลืมมาบวชอุบาสิกาแก้วกันนะครับ ว่าแล้วก็ขอ promote เพลงหน่อยนะครับ :-)
"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"
#4
โพสต์เมื่อ 18 February 2010 - 10:19 PM
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับกัลฯ ทั้ง 2 ท่าน ที่ให้คำแนะนำที่ดีด้วยค่ะ
..
เดี๋ยวนี้ นั่งสมาธิ ก็จะเอาแค่สบายค่ะ
..
เดี๋ยวนี้ นั่งสมาธิ ก็จะเอาแค่สบายค่ะ
.."การนั่งธรรมะ คือ ความสุขที่เป็นยิ่งกว่าความสุขทั้งมวล"..
#5
โพสต์เมื่อ 19 February 2010 - 09:16 AM
สาธุค่ะ
อ่านแล้วนึกถึงสุภาษิต และ ธรรมภาษิตที่ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" และ "บุคคลล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร"
อ่านแล้วนึกถึงสุภาษิต และ ธรรมภาษิตที่ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" และ "บุคคลล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร"
#6
โพสต์เมื่อ 19 February 2010 - 01:49 PM
ได้แง่คิดที่ดีดีมากมายเลยค่ะ เพราะไม่เคยสังเกตตัวเองเลยว่านั่งเป็นอย่างไรค่ะ นั่งไปเรื่อยๆเช้าและก่อนนอนทุกวันค่ะ แต่ยังไงแบบนี้ถือว่าไม่ได้ทำการบ้านของคุณครูไม่ใหญ่ เพราะว่าไม่ได้จดบันทึกผลของการปฏิบัติธรรม
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านดัวยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ _/\_
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านดัวยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ _/\_
#7
โพสต์เมื่อ 19 February 2010 - 04:51 PM
มีเพลงให้ฟังด้วย
#8
โพสต์เมื่อ 19 February 2010 - 11:45 PM
สาธุ ครับ
ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ
ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ
#9
โพสต์เมื่อ 20 February 2010 - 09:39 AM
เป็นผู้หญิงแต่ใจเด็ดเดี่ยวดีแท้ อนุโมทนาบุญด้วยครับ
#10
โพสต์เมื่อ 20 February 2010 - 10:01 AM
หมู่คณะนี้ช่างมีบุญนัก
มีหลวงพ่อเป็นกำลังใจ ชวนทำบุญ และแบบอย่างในการสร้างบารมี
มีหลวงปู่สด และคุณยายจันทร์ ช่วยกลั่นแก้ธาตุธรรม รื้อผังจนให้ตลอดเวลา
ทำให้ได้คิดว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กายของเรานี้ ใจของเรานี้ เราจะขอทำหน้าที่ของเรา
ให้ดีที่สุด จนกว่าจะตายไปจากภพชาตินี้ และจะขอตามติดในการสร้างบารมีไม่ให้ห่างเลย
สู้ !! สู้ !!
มีหลวงพ่อเป็นกำลังใจ ชวนทำบุญ และแบบอย่างในการสร้างบารมี
มีหลวงปู่สด และคุณยายจันทร์ ช่วยกลั่นแก้ธาตุธรรม รื้อผังจนให้ตลอดเวลา
ทำให้ได้คิดว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กายของเรานี้ ใจของเรานี้ เราจะขอทำหน้าที่ของเรา
ให้ดีที่สุด จนกว่าจะตายไปจากภพชาตินี้ และจะขอตามติดในการสร้างบารมีไม่ให้ห่างเลย
สู้ !! สู้ !!
#11
โพสต์เมื่อ 20 February 2010 - 04:37 PM
หากสะดวก...ขอเชิญมาเป็นหนึ่งในอุบาสิกาแก้วนะ
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC