[attachmentid=4068]
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ตรัสว่า “ดาบสได้ประคองฉัตรดอกบัวให้แก่เรา เราจักพยากรณ์ดาบสนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ดาบสนี้จักเสวยเทวราชสมบัติอยู่ตลอด ๒๕ กัป และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๔ ครั้ง จะท่องเที่ยวในกำเนิดใดๆ คือความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ จักทรงไว้ซึ่งดอกปทุมอันตั้งอยู่ในอากาศ”
โลกมนุษย์เป็นดินแดนแห่งการสร้างบุญและบาป แล้วแต่ว่าใครจะเลือกเส้นทางใด ถ้าเลือกสร้างบุญก็สามารถสร้างบุญบารมีได้อย่างเต็มที่ แต่หากประมาทพลาดพลั้งไปสร้างบาปก็จะเป็นบาปติดตัวไป การเกิดมาของพวกเรานักสร้างบารมีทั้งหลายต้องใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ผ่านไปอย่างมีคุณค่า เหมือนชีวิตของพระบรมโพธิสัตว์ที่เกิดมาสร้างบารมีอย่างเดียว เราต้องเลือกดำรงชีวิตให้ถูกต้องร่องรอยด้วยการสร้างบุญบารมี เดินตามรอยบาทของพระบรมศาสดา
มีวาระแห่งภาษิตที่ปรากฏอยู่ใน จุลลปันถกเถราปทาน ความว่า
“พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ตรัสว่า ดาบสได้ประคองฉัตรดอกบัวให้แก่เรา เราจักพยากรณ์ดาบสนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ดาบสนี้จักเสวยเทวราชสมบัติอยู่ตลอด ๒๕ กัป และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๔ ครั้ง จะท่องเที่ยวในกำเนิดใดๆ คือความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ จักทรงไว้ซึ่งดอกปทุมอันตั้งอยู่ในอากาศ” บุญที่ทำไว้กับพระพุทธเจ้ามีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาล เป็นประดุจแก้วสารพัดนึก ที่อำนวยประโยชน์สุขให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ และผู้ที่มีบุญมาก บุญจะปรุงแต่งให้สมปรารถนาในทุกสิ่ง ได้ในสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายไม่ได้ บุญมีผลต่อทุกชีวิต ซึ่งแต่ละชีวิตต่างมีเรื่องราวที่มาที่ไปโดยมีบุญกรรมทำแต่ง นับตั้งแต่ภพชาติแรกๆ ที่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติ ไม่ถ้วน หากเราได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ได้ศึกษาพระธรรมคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเข้าใจเรื่องบุญ ซึ่งเป็นฉากหลังของทุกชีวิต
การสร้างบุญบารมีหรือการสร้างบาปกรรมที่เป็นอกุศลไว้ในอดีตนั้น ภาษาทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า บุพกรรม แปลว่า กรรมในกาลก่อนที่เราคุ้นเคย เรียกกันง่ายๆ ว่า กรรมเก่าที่ส่งผลให้มนุษย์ทุกๆ คนได้รับแตกต่างกันออกไป ใครมีกรรมเก่า มาดี ย่อมจะได้ผลที่ดีๆ ถ้ามีกรรมเก่าที่เป็นบาปอกุศลจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์” มีความหมายที่ง่ายๆ คือ ทำกรรมอย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น ผลแห่งกรรมนั่นเองที่ส่งผลให้สัตว์ทั้งหลายแตกต่างกันออกไป
*เหมือนดังเรื่องของ พระเถระรูปหนึ่ง มีนามว่าจุลปันถกเถระ เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในสมัยพุทธกาล กว่าท่านจะมีวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีที่มาที่ไปโดยมีบุญและบาปอยู่ฉากหลัง พระจุลปันถกนี้ ท่านมีพระพี่ชายอยู่องค์หนึ่งชื่อว่า มหาปันถก ซึ่งได้ออกบวชจนกระทั่งบรรลุพระอรหัตเสวยเอกันตบรมสุข ด้วยกายธรรมอรหัต
เมื่อพบความสุขที่แท้จริง ท่านหวนระลึกถึงน้องชาย คิดอยู่ทุกวันว่า ทำอย่างไรจึงจะให้น้องชายของเราได้เข้าถึงความสุขอย่างนี้บ้าง ท่านตัดสินใจเข้าไปหาโยมตาซึ่งเป็นเศรษฐี และขอน้องชายกับโยมตาว่า “อาตมาใคร่อยากจะให้จุลปันถกได้มีโอกาสบวชบ้าง หากโยมตาอนุญาต”
โยมตาเป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว เมื่อพระหลานชายขอเช่นนั้น ก็ตกลงอนุญาต แม้ตนจะมีหลานรักเหลือเพียงคนเดียว แต่เมื่อมองเห็นหนทางสว่างหนทางแห่งความสุขที่แท้จริงของหลานชายจึงอนุญาต พระมหาปันถกเถระให้จุลปันถกบวช และสอนพระคาถาให้บาทหนึ่งว่า “ดอกบัวชื่อว่าโกกนุท มีกลิ่นหอมบานแต่เช้าตรู่ พึงมีกลิ่นไม่สิ้นไป ฉันใด เธอจงทอดทัศนาการดูพระอังคีรสผู้ไพโรจน์ ดุจพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่กลางเวหา ฉันนั้น” หลังจากสอนพระคาถาบาทนี้แก่น้องชายอยู่ถึงสี่เดือน ก็ไม่เห็นว่าจุลปันถก จะสามารถจดจำได้ เพราะกรรมเก่าของท่านที่เคยว่าผู้อื่นว่าโง่ พระมหาปันถกเถระจึงพูดขึ้นว่า “จุลปันถก เธอคงไม่มีบุญที่จะอยู่ในพระศาสนาแล้ว เวลาล่วงเลยมาถึง ๔ เดือน ยังจำคาถาเพียงบาทเดียวไม่ได้ แล้วหน้าที่ของพระภิกษุ ซึ่งยังมีกิจที่สูง และยากยิ่งกว่านี้ เธอจะทำได้หรือ เธอจงออกไปจากที่นี่เสียเถิด” ครั้นถูกพระพี่ชายต่อว่าเช่นนั้น ท่านเสียใจมาก เพราะในใจยังเสียดายผ้าเหลือง ไม่อยากลาสิกขา จึงยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูวิหาร แม้เวลาที่มีกิจนิมนต์ ซึ่งโยมนิมนต์พระถึง ๕๐๐ รูป พระมหาปันถกก็อนุญาตให้พระรูปอื่นไปหมด ยกเว้นพระจุลปันถกเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้ท่านน้อยใจมากขึ้น
พระบรมศาสดาทรงล่วงรู้ความในใจ จึงเสด็จมาโปรด โดยบอกกัมมัฏฐานให้ตรงกับอุปนิสัยในกาลก่อนของท่าน ทรงมอบ ผ้าสะอาดให้ผืนหนึ่ง แนะนำให้บริกรรมภาวนาว่า “รโชหรณัง รโชหรณัง” เพียงพระบรมศาสดาตรัสบอกวิธี พระจุลปันถกก็ ทำตามโดยนั่งลูบคลำผ้าและบริกรรมจนกระทั่งใจหยุดใจนิ่ง สามารถกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้ บรรลุอรหัตตผล ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔ และอภิญญา ๖
หมอชีวกซึ่งได้นิมนต์พระไปฉันภัตตาหารแล้ว ขณะกำลังเริ่มจะถวายข้าวยาคู พระบรมศาสดาทรงปิดบาตรพลางรับสั่งว่า “ที่พระวิหารยังเหลือภิกษุอีกรูปหนึ่ง” หมอชีวกจึงรีบส่งคนไปนิมนต์พระจุลปันถก ซึ่งตอนนั้น ได้บรรลุอรหัตตผลแล้ว ท่านได้แสดงอิทธิฤทธิ์จากพระรูปเดียว ให้มองเห็นเป็นร้อย เป็นพันกายให้เห็น จากนั้นท่านได้เดินทางไปที่พระวิหาร และพระบรมศาสดารับสั่งให้พระจุลปันถกเป็นผู้กล่าวอนุโมทนากถาการถวายภัตตาหารในครั้งนี้ พระเถระได้แสดงธรรมอย่างไพเราะ ยังใจของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ให้เบิกบานอยู่ในบุญ วันนั้นพระภิกษุทั้งหลายต่างอัศจรรย์ใจในการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของพระจุลปันถก พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า น่าอัศจรรย์ใจนักที่พระเถระจากผู้มีความทรงจำไม่ดี แต่กลับบรรลุธรรมขั้นสูงได้ นี่เป็นเพราะความเมตตาของพระบรมศาสดาแท้ๆ พระพุทธองค์ได้ทรงแต่งตั้งพระจุลปันถกไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้สามารถเนรมิตกายที่สำเร็จด้วยใจ หลังจากได้รับแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาแล้ว พระเถระระลึกย้อนหลังถึงบุพกรรมที่ได้ทำมาในอดีตชาติ พบว่า มีอยู่ภพชาติหนึ่ง ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้เกิดเป็นดาบสอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกออกจากหมู่ภิกษุ ทรงจาริกไปตามลำพังเพียงพระองค์เดียว เสด็จเข้าไปยังที่สงัด อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ใกล้อาศรมของดาบส ดาบสเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เสด็จอยู่เพียงลำพัง จึงกั้นร่มที่ทำด้วยดอกปทุมและดอกอุบล แล้วน้อมถวายด้วยจิตเลื่อมใส
พระบรมศาสดาทรงรับไว้แล้วทรงพยากรณ์ในทันทีว่า “ดูก่อนดาบส ด้วยบุญที่ท่านถวายฉัตรดอกไม้ กั้นร่มให้เราตถาคตนี้ ท่านจะได้เป็นท้าวสักกะ ครองเทวสมบัติที่ชั้นดาวดึงส์ถึง ๒๕ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๓๔ ครั้ง แม้จะเกิดในภพภูมิใดจะมีปทุมทิพย์กางกั้นให้ท่านเสมอ”
พระดาบสปีติใจอย่างยิ่งที่ได้รับพุทธพยากรณ์เช่นนั้น นับตั้งแต่ภพชาตินั้น ท่านก็ได้บรรลุผลที่พระบรมศาสดาพยากรณ์ ไว้ทุกประการ
จะเห็นได้ว่า บุญกุศลที่เราได้ทำ กรรมที่เราสร้าง ไม่ได้สูญหายไปไหน กลับกลายเป็นบุพกรรมที่คอยเกื้อหนุนหรือฉุดเราตลอดเวลา ดังเช่นบุพกรรมของพระจุลปันถกเถระ ท่านอาศัยบุญที่ทำไว้ดีแล้วในอดีต พลิกผันวิถีชีวิตจากปุถุชน ผู้ท่องจำคำสอนไม่ได้แม้เพียงบาทเดียว กลับกลายมาเป็นพระอริยบุคคลผู้มีฤทธิ์มีเดช มีอานุภาพ สามารถปาฏิหาริย์กายได้เป็นพันๆ กาย คำว่า “บุญ” มีอานุภาพมากมายถึงเพียงนี้ ถ้าเรารักการสั่งสมบุญและไม่หยุดสร้างบุญ บุญจะไม่มีวันทอดทิ้งเรา แต่จะเป็นเสมือนเงาที่คอยติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ รอคอย จังหวะที่สมควรเพื่อให้ผลตลอดเวลา ซึ่งหากเป็นบาปอกุศล วิบากกรรมนั้นก็จะตามส่งผลเช่นกัน เพราะกรรมดีหรือกรรมชั่วที่เราได้ทำเอาไว้ในอดีต จะมีอิทธิพลต่อตัวเราในปัจจุบัน แล้วถ้าหากภพชาตินี้เราสั่งสมแต่บุญกันล้วนๆ บุญนี้จะส่งผลให้เรามีความสุขความเจริญในอนาคต เมื่อใดที่เรามีธรรมจักขุ และมองย้อนระลึกกลับไปในอดีต หากเราทำแต่บุญ เมื่อนั้นมหาปีติย่อมจะบังเกิดขึ้น ภาพดีๆ จะเกิดขึ้นในใจของเรา ฉะนั้นให้ตั้งใจสร้างแต่บุญเท่านั้น และสร้างให้เต็มที่กันทุกคน
*มก. จุลลปันถกเถราปทาน เล่ม ๗๑ หน้า ๑๘