หากท่านใด แนะนำ หรือ สามารถให้ backing track หรือ mp3
เพลงธรรมะ 2 เพลงนี้ คือ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และ มันเป็นของรักนะ
จะนำไปใช้ในวันเอดส์โลก ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2553
กราบขอบพระคุณมากอย่างสูง ณ โอกาสนี้ ค่ะ
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: hk_girlza
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 580
- ดูโปรไฟล์ 21114
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
เพื่อน
hk_girlza ยังไม่มีเพื่อนในตอนนี้
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
กระทู้ที่ฉันเริ่ม
ต้องการ backing track หรือ mp3
10 January 2010 - 09:33 AM
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นทีละพระองค์
05 October 2009 - 01:31 PM
เหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้นในคราวเดียวกันหลายพระองค์
เพราะ
1. ตรัสรู้ธรรมเดียวกันและเหมือนกันทั้งหมด
หมายความว่า การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ แม้จะแสดงว่าสิ่งที่ตรัสรู้นั้น ไม่มีบุคคลใดเคยรู้ ไม่เคยมีบุคคลใดเคยสอนมาก่อน แต่การตรัสรู้นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตรัสรู้สิ่งเดียวกัน
ฉะนั้น เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์อื่นเสด็จอุบัติขึ้นพร้อมกัน ก็จะทำให้พระองค์ไม่เป็นผู้น่าอัศจรรย์ แม้เทศนา คือ คำสอนของพระองค์ก็ไม่น่าอัศจรรย์ แต่ถ้ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นองค์เดียว ก็ทำให้พระองค์เป็นผู้น่าอัศจรรย์ เพราะความรู้นั้นไม่มีบุคคลใดเคยรู้มาก่อน ไม่มีบุคคลใดสอนมาก่อน จึงทำให้พระองค์ชื่อว่า ตรัสรู้เองโดยชอบ และแม้แต่เทศนาของพระองค์ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์
2. ทำให้พุทธบริษัทแบ่งเป็น 2 ฝ่าย
หมายความว่า เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์ แล้วทรงช่วยกันสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็จะทำให้พุทธบริษัทแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เพราะต่างก็ถือเอาทิฏฐิในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตนนับถือ และจะทำให้มีการทะเลาะวิวาทกันเอง ซึ่งทำให้เทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และไม่ได้ผลดังที่ปรารถนาไว้
3. แผ่นดินไม่อาจรองรับได้
หมายความว่า หมื่นโลกธาตุนี้ รองรับได้เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว รองรับไว้ได้ซึ่งพระคุณของพระตถาคตองค์เดียวเหมือนกัน ถ้าองค์ที่ 2 พึงเสด็จอุบัติขึ้น หมื่นโลกธาตุนี้จะไม่สามารถรองรับไว้ได้ พึงหวั่นไหวสั่นคลอน น้อมไป โอนไปเอียงไป เรี่ยราย กระจัดกระจายพินาศไป ไม่พึงเข้าถึงการตั้งอยู่ได้
เปรียบเสมือนเรือที่รับบุรุษไว้ได้เพียงคนเดียว เมื่อบุรุษคนหนึ่งขึ้นไป เรือพึงตั้งอยู่ได้พอดี ถ้าบุรุษคนที่สองซึ่เงป็นเช่นเดียวกันโดยอายุ โดยสี โดยวัย โดยประมาณ โดยอ้วน โดยผอม โดยอวัยวะน้อยใหญ่เท่ากัน บุรุษนั้นพึงขึ้นสู่เรือลำนั้น เรือนั้นพึงต้านไว้ไม่ได้ พึงหวั่นไหว สั่นคลอน น้อมไป โอนไป เอียงไป เรี่ยไร กระจัดกระจาย พินาศไป ไม่พึงเข้าถึงการตั้งอยู่ได้ เรื่อนั้นพึงจมลงไปในน้ำ
อีกอุปมาหนึ่งว่า เปรียบเหมือนเกวียน 2 เล่ม บรรจุรัตนะจนเต็ม และคนทั้งหลายพากันขนเอารัตนะของเกวียนอีกเล่มหนึ่งมาเพิ่ม เกวียนเล่มนั้น ย่อมทามนไว้ไม่ได้แน่ ดุมของเกวียนนั้นพึงไหวบ้าง กำของเกวียนนั้นพึงหักไปบ้าง เพลาของเกวียนนั้น พึงหักไปบ้าง ด้วยการขนรัตนะที่มากเกินไป
4. ไม่ชื่อว่า เป็นบุคคลผู้ประเสริฐ เป็นเอกบุคคล
หมายความว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นพร้อมกันในคราวเดียวกัน ก็จะทำให้พระพุทธองค์ ไม่ใช่เป็นเอกบุคคลอีกต่อไป เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นก็มีอยู่บนโลก ซึ่งทำให้คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเลิศ คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เจริญที่สุด คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ประเสริฐที่สุด คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้วิเศษที่สุด คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้สูงสุด เป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีผู้เสมอเหมือน เป็นผู้หาบุคคลเปรียบไม่ได้ คำเหล่านี้ ก็ย่อมเป็นคำที่ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป
อุปมาเหมือนกับ มหาปฐพีอันกว้างใหญ่ย่อมเป็นอันเดียวกัน มหาสมุทรทะเลใหญ่ก็ย่อมเป็นอันเดียวกัน เทวดาผู้เป็นใหญ่ปกครองสวรรค์แต่ละชั้นก็ย่อมมีเพียงองค์เดียว ฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นเลิศ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นเอกบุคคล ไม่มีผู้เสมอเหมือน จึงเสด็จอุบัติขึ้นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
5. เป็นสภาพปกติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
หมายความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์อุบัติขึ้นในโลกนี้เป็นสภาพตามปกติ เพราะคุณของพระสัพพัญญูเจ้าทั้งหลาย มีเหตุใหญ่ มีคุณอันประเสริฐอย่างใหญ่หลวง
อุปมาเหมือนกับแผ่นดินใหญ่นั้นมีผืนเดียวเท่านั้น สาครใหญ่มีสายเดียวเท่านั้น ภูเขาสิเนรุยอมแห่งภูเขาใหญ่ประเสริฐที่สุด ก็มีลูกเดียวเท่านั้น อากาศใหญ่มีแห่งเดียวเท่านั้น ท้าวสักกะผู้ใหญ่มีองค์เดียวเท่านั้น พระพรหมผู้ใหญ่มีองค์เดียวเท่านั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ก็มีพระองค์เดียวเท่านั้น พระองค์เสด็จอุบัติขึ้นในที่ใด ที่นั้นก็ไม่มีโอกาสแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายองค์อื่นๆ ฉะนั้นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ย่อมอุบัติขึ้นในโลก
สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถเสด็จอุบัติขึ้นในคราวเดียวกันหลายพระองค์ได้ เพราะจะทำให้ตำแหน่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกลดลง เนื่องจากไม่ใช่เอกบุคคลที่มีเพียงผู้เดียวบนโลก และการนำพระสัทธรรมมาสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ไม่เป็นผลสำเร็จดังที่ปรารถนาไว้ เพราะพุทธบริษัทจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายด้วยทิฏฐิที่ตนถือเอาจากสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตนนับถือ
ในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา โดยคุณครูไม่ใหญ่ ให้ความเห็นในเรื่องการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2 พระองค์ไว้ดังนี้
“ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสมบ่มบารมีมาหลายภพหลายชาติ เพื่อต้องการที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารไปด้วย ตามความปรารถนาที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มมีความคิดที่จะสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังนั้น เมื่อพระองค์อุบัติขึ้นย่อมยังสรรพสัตว์ ให้พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร ดังนั้นพญามารจึงพยายามกีดกั้นไม่ให้เสด็จอุบัติขึ้นสองพระองค์ แต่ก็มีบุคคลบางพวกไม่รู้ แล้วกล่าวอ้างว่า ถ้ามาอุบัติขึ้นพร้อมกัน 2 พระองค์แล้วลูกศิษย์จะทะเลาะกัน นั่นเป็นเรื่องที่มนุษย์ที่ยังมีกิเลสคิดกัน แต่ในยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นพร้อมกัน 2 พระองค์ แสดงว่าผู้มีบุญเขามาเกิด เขาจะมีสติปัญญามาก มีความคิดสอนตัวเองได้ เขาจะไม่คิดเอาอาจารย์ของตัวไปข่มพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง มีแต่จะชื่นชม แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ท่านจะสอนว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแต่ละพระองค์นั้น เสมอกันทั้งคุณธรรมและคุณวิเศษ แต่ต่างกันที่ระยะเวลาที่สร้างบารมีเท่านั้น”
จากทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน ในเรื่องนี้เป็นประเด็นที่น่าศึกษา การบังเกิขึ้นของพระองค์นั้น ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายประการ และต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน แต่เป้าหมายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน คือ นำตนให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ และนำพาสรรพสัตว์ทั้งปวงในโลกนี้ให้หลุดพ้นตามไปด้วย ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี
และความน่าจะเป็น ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรืออุบัติขึ้นพร้อม ๆ กัน หลายพระองค์ จะช่วยกันสั่งสอนสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นโดยเร็วและเป็นจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย ประดุจเรือใหญ่ที่แล่นไปในมหาสมุทร ย่อมสามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ลอยเกลื่อนอยู่ในมหาสมุทรได้เป็นจำนวนมากเช่นกัน
ที่มา ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ( GL 204 )
เพราะ
1. ตรัสรู้ธรรมเดียวกันและเหมือนกันทั้งหมด
หมายความว่า การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ แม้จะแสดงว่าสิ่งที่ตรัสรู้นั้น ไม่มีบุคคลใดเคยรู้ ไม่เคยมีบุคคลใดเคยสอนมาก่อน แต่การตรัสรู้นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตรัสรู้สิ่งเดียวกัน
ฉะนั้น เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์อื่นเสด็จอุบัติขึ้นพร้อมกัน ก็จะทำให้พระองค์ไม่เป็นผู้น่าอัศจรรย์ แม้เทศนา คือ คำสอนของพระองค์ก็ไม่น่าอัศจรรย์ แต่ถ้ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นองค์เดียว ก็ทำให้พระองค์เป็นผู้น่าอัศจรรย์ เพราะความรู้นั้นไม่มีบุคคลใดเคยรู้มาก่อน ไม่มีบุคคลใดสอนมาก่อน จึงทำให้พระองค์ชื่อว่า ตรัสรู้เองโดยชอบ และแม้แต่เทศนาของพระองค์ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์
2. ทำให้พุทธบริษัทแบ่งเป็น 2 ฝ่าย
หมายความว่า เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์ แล้วทรงช่วยกันสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็จะทำให้พุทธบริษัทแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เพราะต่างก็ถือเอาทิฏฐิในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตนนับถือ และจะทำให้มีการทะเลาะวิวาทกันเอง ซึ่งทำให้เทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และไม่ได้ผลดังที่ปรารถนาไว้
3. แผ่นดินไม่อาจรองรับได้
หมายความว่า หมื่นโลกธาตุนี้ รองรับได้เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว รองรับไว้ได้ซึ่งพระคุณของพระตถาคตองค์เดียวเหมือนกัน ถ้าองค์ที่ 2 พึงเสด็จอุบัติขึ้น หมื่นโลกธาตุนี้จะไม่สามารถรองรับไว้ได้ พึงหวั่นไหวสั่นคลอน น้อมไป โอนไปเอียงไป เรี่ยราย กระจัดกระจายพินาศไป ไม่พึงเข้าถึงการตั้งอยู่ได้
เปรียบเสมือนเรือที่รับบุรุษไว้ได้เพียงคนเดียว เมื่อบุรุษคนหนึ่งขึ้นไป เรือพึงตั้งอยู่ได้พอดี ถ้าบุรุษคนที่สองซึ่เงป็นเช่นเดียวกันโดยอายุ โดยสี โดยวัย โดยประมาณ โดยอ้วน โดยผอม โดยอวัยวะน้อยใหญ่เท่ากัน บุรุษนั้นพึงขึ้นสู่เรือลำนั้น เรือนั้นพึงต้านไว้ไม่ได้ พึงหวั่นไหว สั่นคลอน น้อมไป โอนไป เอียงไป เรี่ยไร กระจัดกระจาย พินาศไป ไม่พึงเข้าถึงการตั้งอยู่ได้ เรื่อนั้นพึงจมลงไปในน้ำ
อีกอุปมาหนึ่งว่า เปรียบเหมือนเกวียน 2 เล่ม บรรจุรัตนะจนเต็ม และคนทั้งหลายพากันขนเอารัตนะของเกวียนอีกเล่มหนึ่งมาเพิ่ม เกวียนเล่มนั้น ย่อมทามนไว้ไม่ได้แน่ ดุมของเกวียนนั้นพึงไหวบ้าง กำของเกวียนนั้นพึงหักไปบ้าง เพลาของเกวียนนั้น พึงหักไปบ้าง ด้วยการขนรัตนะที่มากเกินไป
4. ไม่ชื่อว่า เป็นบุคคลผู้ประเสริฐ เป็นเอกบุคคล
หมายความว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นพร้อมกันในคราวเดียวกัน ก็จะทำให้พระพุทธองค์ ไม่ใช่เป็นเอกบุคคลอีกต่อไป เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นก็มีอยู่บนโลก ซึ่งทำให้คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเลิศ คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เจริญที่สุด คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ประเสริฐที่สุด คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้วิเศษที่สุด คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้สูงสุด เป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีผู้เสมอเหมือน เป็นผู้หาบุคคลเปรียบไม่ได้ คำเหล่านี้ ก็ย่อมเป็นคำที่ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป
อุปมาเหมือนกับ มหาปฐพีอันกว้างใหญ่ย่อมเป็นอันเดียวกัน มหาสมุทรทะเลใหญ่ก็ย่อมเป็นอันเดียวกัน เทวดาผู้เป็นใหญ่ปกครองสวรรค์แต่ละชั้นก็ย่อมมีเพียงองค์เดียว ฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นเลิศ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นเอกบุคคล ไม่มีผู้เสมอเหมือน จึงเสด็จอุบัติขึ้นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
5. เป็นสภาพปกติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
หมายความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์อุบัติขึ้นในโลกนี้เป็นสภาพตามปกติ เพราะคุณของพระสัพพัญญูเจ้าทั้งหลาย มีเหตุใหญ่ มีคุณอันประเสริฐอย่างใหญ่หลวง
อุปมาเหมือนกับแผ่นดินใหญ่นั้นมีผืนเดียวเท่านั้น สาครใหญ่มีสายเดียวเท่านั้น ภูเขาสิเนรุยอมแห่งภูเขาใหญ่ประเสริฐที่สุด ก็มีลูกเดียวเท่านั้น อากาศใหญ่มีแห่งเดียวเท่านั้น ท้าวสักกะผู้ใหญ่มีองค์เดียวเท่านั้น พระพรหมผู้ใหญ่มีองค์เดียวเท่านั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ก็มีพระองค์เดียวเท่านั้น พระองค์เสด็จอุบัติขึ้นในที่ใด ที่นั้นก็ไม่มีโอกาสแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายองค์อื่นๆ ฉะนั้นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ย่อมอุบัติขึ้นในโลก
สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถเสด็จอุบัติขึ้นในคราวเดียวกันหลายพระองค์ได้ เพราะจะทำให้ตำแหน่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกลดลง เนื่องจากไม่ใช่เอกบุคคลที่มีเพียงผู้เดียวบนโลก และการนำพระสัทธรรมมาสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ไม่เป็นผลสำเร็จดังที่ปรารถนาไว้ เพราะพุทธบริษัทจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายด้วยทิฏฐิที่ตนถือเอาจากสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตนนับถือ
ในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา โดยคุณครูไม่ใหญ่ ให้ความเห็นในเรื่องการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2 พระองค์ไว้ดังนี้
“ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสมบ่มบารมีมาหลายภพหลายชาติ เพื่อต้องการที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารไปด้วย ตามความปรารถนาที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มมีความคิดที่จะสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังนั้น เมื่อพระองค์อุบัติขึ้นย่อมยังสรรพสัตว์ ให้พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร ดังนั้นพญามารจึงพยายามกีดกั้นไม่ให้เสด็จอุบัติขึ้นสองพระองค์ แต่ก็มีบุคคลบางพวกไม่รู้ แล้วกล่าวอ้างว่า ถ้ามาอุบัติขึ้นพร้อมกัน 2 พระองค์แล้วลูกศิษย์จะทะเลาะกัน นั่นเป็นเรื่องที่มนุษย์ที่ยังมีกิเลสคิดกัน แต่ในยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นพร้อมกัน 2 พระองค์ แสดงว่าผู้มีบุญเขามาเกิด เขาจะมีสติปัญญามาก มีความคิดสอนตัวเองได้ เขาจะไม่คิดเอาอาจารย์ของตัวไปข่มพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง มีแต่จะชื่นชม แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ท่านจะสอนว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแต่ละพระองค์นั้น เสมอกันทั้งคุณธรรมและคุณวิเศษ แต่ต่างกันที่ระยะเวลาที่สร้างบารมีเท่านั้น”
จากทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน ในเรื่องนี้เป็นประเด็นที่น่าศึกษา การบังเกิขึ้นของพระองค์นั้น ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายประการ และต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน แต่เป้าหมายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน คือ นำตนให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ และนำพาสรรพสัตว์ทั้งปวงในโลกนี้ให้หลุดพ้นตามไปด้วย ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี
และความน่าจะเป็น ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรืออุบัติขึ้นพร้อม ๆ กัน หลายพระองค์ จะช่วยกันสั่งสอนสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นโดยเร็วและเป็นจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย ประดุจเรือใหญ่ที่แล่นไปในมหาสมุทร ย่อมสามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ลอยเกลื่อนอยู่ในมหาสมุทรได้เป็นจำนวนมากเช่นกัน
ที่มา ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ( GL 204 )
เด็กซิ่ง อิงธรรมะ ( อุดม แต้พานิช )
09 June 2009 - 03:38 PM
เด็กซิ่งอิงธรรมะ .... อุดม แต้พานิช
'เด็กซิ่งอิง... ธรรมะ อุดม แต้พานิช'
“ผมว่า วิชาสำคัญที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์ คือ วิชาพุทธศาสนา สำคัญกว่าวิชาอื่นที่
มนุษย์ทั้งโลกเรียนอยู่ด้วยซ้ำ” [ ...ฮ่า... พูดได้ไง ]
“นิตยสารที่นำพุทธศาสนามาย่อยให้อ่านง่าย ปกติหนังสือแนวนี้มีพระทั้งเล่ม หรือ มีตัวหนังสือเยอะมากๆ ทำให้คนยุค
นี้เห็นเป็นของยาก แต่ Secret ทำให้เป็นของง่าย”
[ ...เอ... สนใยธรรมะด้วยหรือ.... ]
“ความสำเร็จในการทำเดี่ยวไมโครโฟน คือ สมาธิ” [ ... ยังไงล่ะนี่ ... ]
“กำลังกายเกิดจากการเคลื่อนไหว กำลังใจเกิดจากการหยุด” [ ... นั่น ... ]
“คนเราถ้าไปนึกถึงอะไร ไอ้สิ่งนั้นจะโต เหมือนไปให้อาหารมัน ถ้านึกถึงความดี ความดีก็จะโต แต่ถ้านึกถึงบาป บาปก็
จะโต [... ว้าว .. ช่างอุปมาอุปไมยนะโน้ต ... ]
“ตอนนั้นบวชเพราะอะไรครับ เกเรครับ เกเรมากจนไม่มีใครเอาเลย แม่เอาไปฝากเลี้ยงบ้านญาติ ญาติก็ไม่เอาเพราะไปขโมยสตางค์เขา กล้าบอกเลยว่าชีวิตของตัวเองเปลี่ยนแปลงได้เพราะได้พบพระพุทธศาสนา ทุกวันนี้เวลาผมอธิษฐาน ผมจะขอทุกครั้งว่า ขอให้ได้เกิดและได้บวชในพระพุทธศาสนาอีกทุกชาติ ขอให้ได้ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าของแท้ หลังบวชเณรทัศนคติผมเปลี่ยนไปเลย ญาติเห็นแล้วแปลกใจกันหมด แม่ก็งง” [ ... ท่านกล้าเผย เรากล้าอ่าน ... ]
อะไรทำให้เด็กเกเรคนหนึ่งเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น ....
[... ตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ เพราะเกรงเจ้าของร้านจะมองหน้า ที่สำคัญเราอยากอ่านต่อ ... ]
อ่าน Secret จบแล้ว ยังมีคอลัมน์ที่น่าสนใจ แล้วเราก็ส่งให้เพื่อน ๆ อ่านต่อ เพื่อนซี้บอกว่า “สนใจเรื่องโน้ตบวชหรือ ?.... โน้ตเคยพูดให้น้อง ๆ นักศึกษาฟัง น่าสนใจ จะไปค้นก่อนนะว่าซีดียังอยู่หรือเปล่า
ศาสนาไม่มีจริง [/color]
“ผมเองเคยคิดว่าศาสนาไม่มีจริง คิดตามความโง่เขลาในวัยโน้น จะมีพระพุทธศาสนาได้อย่างไร จะมีพระพุทธเจ้าได้อย่างไร คิดว่าทุกเรื่องเป็นนิทานแต่งขึ้นให้คนกลัวบาป ใช้แทนกฎหมายในยุคสมัยโน้น จึงไม่เชื่อเรื่องบุญบาป นรกสวรรค์ คิดดูแคลนว่า ถ้าอยากให้เชื่อก็ไปจับตัวบุญ ตัวบาป มาให้ดูซิ”
มิจฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นชอบ
“คำว่ากรรม ยิ่งไม่เชื่อหนัก เพราะเกิดแล้วก็ตายหมดในชาตินี้ คนเราก็เหมือน แบคทีเรีย ที่เกิดมาและตายไป ฉะนั้นอยากทำอะไร ก็จงทำไป ตามใจของเรา
พอมีความคิดเป็นมิจฉาทิฐิ คือ เห็นผิดเป็นชอบ
เวลาทำอะไรไป จึงไม่คิดถึงใจคนอื่น และไม่คิดกังวลหรือกลัวว่า สิ่งที่เราทำ ... จะผิดหรือไม่ผิด
เป็นความมั่นใจแบบโง่ ๆ แต่ไปคิดว่าถูกและเท่ห์”
“ในช่วงเรียนมัธยมผมเป็นคนมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย อะไรที่ขโมยได้ ก็จะขโมย ตอนนั้นเด็กวัยรุ่นแถวบ้านผม ส่วนใหญ่มีจักรยาน BMX แต่บ้านผมไม่มี เพราะแม่ขายส้มตำ เรียกว่าจน อยากได้จักรยานก็ต้องขโมยเอา เคยร่วมมือกับเพื่อนที่เป็นจิ๊กโก๋ไปขโมยจักรยานอีกโรงเรียนหนึ่ง พอขโมยแล้ว ไม่เคยสนใจว่าเด็กเจ้าของจักรยานคนนั้น จะเดือนร้อนหรือไม่อย่างไร
สำหรับพระ เวลามองดูพระ ก็ไม่เคยเคารพพระ ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่า พระก็เป็นอาชีพหนึ่ง แค่นั้น”
หลงทาง เพราะตั้งหางเสือผิด
“พอเราคิดแบบนี้การกระทำของเราก็ไปอีกอย่างหนึ่ง หางเสือ พอตั้งผิด ก็ผิดทาง เหมือนเวลาเราหลับตาดำน้ำ ใจคิดว่ากำลังขึ้นผิวเบื้องบน แต่จริงๆ ดำดิ่งลงเบื้องล่าง
ชีวิตผมตอนนั้นก็เป็นไปตามทัศนคติ มีแต่ปัญหา เรื่องปวดหัว ชีวิตสับสนวุ่นวาย ไม่มีหลัก
คิด ไม่รู้จะแก้ปัญหาในชีวิตอย่างไร”
มรสุมชีวิตเข้ารุมเร้า
“จุดเปลี่ยนชีวิต คือ หนีออกจากบ้าน พอเรามีความคิดผิด เราก็ไม่รักแม่
‘ แม่อะไร ... ขอเงินก็ไม่ได้ ’ จักรยานก็ไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ แบบเรียนก็เป็นมือสอง ทำไมครอบ
ครัวเราจนแบบนี้ เกิดเป็นลูกแม่คนนี้ มีแต่ลำบาก ลูกคนอื่นทำไมสบาย
วันหนึ่งขโมยเงินแม่ทั้งหมด แล้วหนีออกจากบ้าน ไปอยู่กับญาติที่ ชลบุรี พอไปเจอญาติ ก็
ใส่ร้ายแม่ตัวเองว่า แม่ทรมานเรา เลี้ยงเราไม่ดี เราจึงหนีมา
ญาติก็หาโรงเรียนให้เรียนด้วยความสงสาร อยู่กับญาติไปสักพัก ไปทำความเดือนร้อน
ให้ญาติ
ด้วยนิสัยไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ไม่เรียนหนังสือโดดเรียน เล่นไพ่ในห้อง เที่ยวเตร่ คบเพื่อนชั่ว ญาติก็เอือม
จนวันหนึ่งเรียน ปวช ปี 1 มันเอือมตัวเองมากจนไม่ไหว ไปขโมยเงินครั้งสุดท้าย แล้วเขาจับได้ตอนขโมยพอดี ญาติก็ไม่เอาเราแล้ว เราก็เซ็งตัวเอง คือ ไม่รู้จะไปไหน จิตใจไม่มีที่พึ่ง ที่เราจะพึ่งตัวเอง นับถือตัวเอง มันไม่มีอะไรน่านับถือ เรียนที่โรงเรียน โรงเรียนก็ร่ำๆ จะให้พักการเรียน
เผอิญมีคนชวนไปนั่งสมาธิที่วัดบึงบวรสถิต อ.บ้างบึง จ.ชลบุรี ช่วงเวลา 18.30 – 19.30 น. ก็ไปกับเขา ที่ไปนั่งเพราะไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปอย่างนั้นเอง สมาธิคืออะไรก็ไม่รู้จัก พระท่านสอนนั่งสมาธิ แต่เราไม่นั่ง กลับลืมตาดูคนนั่งหลับตา และขำคนนั้น คนนี้ ที่นั่งหลับสัปหงก”
ไปวัด เพราะไม่มีที่ไป
“ตอนนั้นไปทุกวัน ไม่ใช่เป็นคนดี ไม่ได้เลื่อมใส แต่เพราะไม่มีที่ไป พอตอนเลิกเขาจะแจกน้ำปานะด้วย เราก็พลอยได้กินไปด้วย”
“อยากบอกว่า มนุษย์เราโดยทั่วไป โดยจิตลึกๆ โหยหาความดีงาม ชอบสิ่งดีงามอยู่แล้ว ไม่ว่าเป็นโจร หรือมหาโจรก็ตาม ก็แสวงหาสิ่งที่ดีงาม เช่น เวลาเราเห็นใครสักคนจูงคนแก่ข้ามถนน เรายังรู้สึกดี ผมไปเห็นเขาพับเสื่อที่วัดนี้ เขาช่วยกัน เขายกมือไหว้กันที่วัด พูดจาไพเราะ ผมเห็นก็รู้สึกดี”
คบบัญฑิต บัณฑิตพาไปหาตัวเอง
“เขาอนุโมทนาบุญกันแรก ๆ ก็งง งงไปสักพักก็หัดทำบ้าง ก็รู้สึกว่าดี ได้ร่วมยินดีกับคนอื่นที่ทำความดี คือ เหมือนกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้บำบัดเรา ระหว่างนั้นเราได้ยินเขาพูด เรื่อง บุญเรื่องบาป เหมือนเราไม่เชื่อ แต่ก็เริ่มซึมซับ ผมก็เริ่มนั่งบ้าง จากเริ่มนั่งสมาธิ แม้เริ่มนั่งจะไม่เห็นอะไร แต่พอใจสงบแล้วจะเห็นตัวเอง จะเห็นความไม่ดีของตัวเอง อุปมาเหมือนจิตใจของคนเรา คือ เราตักน้ำมาจากคลองแสนแสบ ใจเราจะเหมือนอย่างนั้น คือ มีปัญหาความรัก การเงิน การงาน เราเกลียดคนนั้นคนนี้ มีเรื่องสารพัด ใจเราจะเต็มไปด้วยเรื่องราวหมักหมม
แต่พอทำสมาธิผ่านไป ใจจะนิ่ง เหมือนเราตักน้ำขึ้นมา ธรรมชาติมันจะตกตะกอน
ใจเราเมื่อตกตะกอน จะมีความใสเหมือนผิวน้ำ
แล้วเห็นอะไรต่ออะไร อย่างน้อยก็เห็นตัวเอง
ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าไปวัดแล้วสนุกดี ว่างๆ ก็เดินตามพระไปบิณฑบาต
ที่วัดนี้เขาเปิดเทปธรรมะระหว่างฉัน และเทปนั้นเป็นเทศน์ เรื่องมงคลชีวิต 38 ประการ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร บางวันที่ฟังก็ตรงกับชีวิตของเรา ก็ค่อย ๆ เอาธรรมะที่ฟังมาปรับใช้ในชีวิตตัวเอง
ช่วงนั้นเราได้รับธรรมะ เหมือนเราได้รับ Moisturizer จากผิวชั้นบน จนถึงผิวชั้นล่าง เราเห็นพระ หรือแม่ชี หน้าท่านจะใสสว่างโดยไม่ต้องใช้ครีมไวท์เทนนิ่งใด ๆ ความสว่างนั้นเกิดจากจิตใจที่เบิกบานจาก.ธรรมะนี่เอง”
สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าไม่มี
“เผอิญเขามีการบรรพชาสามเณร ผมก็สมัครกับเขาสักหน่อย ได้เริ่มห่มผ้า เดินบิณฑบาต สนุกดี ศีลของเณรไม่เยอะมาก แต่เป็นการเริ่มต้นกรุยทางพระพุทธศาสนาอย่างดี
ตอนนั้นก็เริ่มคิดแล้วว่า บุญบาปมันน่าจะมี กรรมก็น่าจะมี ทั้งที่ยังไม่เชื่อทั้งร้อย ดูเหมือนมันมีบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่รู้ประกอบกับพระหลายท่านเทศน์ว่า สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี
เหมือนคนตาบอด ถ้าเราไปบอว่ามีสัตว์รูปร่างคล้ายจิ้งจก ชื่อ อีกัวน่า ตัวใหญ่ สีเขียว แผ่คอได้ด้วย คนตาบอดบอกไม่เชื่อ ไม่มี ที่พูดแบบนั้นเพราะเขาไม่เคยเห็น
การไม่เคยเห็น ไม่ใช่ว่ามันไม่มี
เหมือนบุญบาป ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มี เพียงแต่ว่าปัญญาของเราเป็นแบบทางโลก เราจึงไม่รู้
บาปกรรมที่เราไม่เคยเห็น ไม่ได้หมายความว่าไม่มี”
เปลี่ยนความคิด ชีวิตผันเปลี่ยน
“ผมได้บวชเณรและสึกออกมาเรียนต่อ ในช่วงที่ออกมา ผมรู้ได้เลยถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว ตั้งแต่ญาติพี่น้อง เพื่อน มีความรู้สึกต่อเราเปลี่ยนไป เหมือนเราได้รับความรักจากคนรอบข้างมากขึ้น เรารู้สึกว่าเราไปเจอสิ่งดีๆ มา ส่วนเพื่อนชั่วๆ ก็ค่อยๆ หายไป และพบว่า คนเรากำหนดตัวเองได้ เช่นถ้าเราเสพยาบ้า เพื่อนยาบ้าก็เข้ามาแล้ว เราเป็นคนแบบไหน ก็ถึงดูดคนแบบนั้นเข้ามา
แล้วผมมีโอกาสมาเรียนต่อที่เพาะช่าง กรุงเทพฯ ช่วงนั่นผมไปวัดปากน้ำ ไปไหว้พระบ้าง ไปนั่งสมาธิบ้าง อยู่ๆ ก็รักหลวงพ่อวัดปากน้ำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าชอบวิธีการสอนนั่งสมาธิของท่าน ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกกับจริตของผม บางคนชอบเพ่งกสิณ บางคนชอบจงกรม บางคนชอบกำหนดลมหายใจ แต่ละคนจะชอบไม่เหมือนกัน แล้วแต่จริตใคร
ใกล้เรียนจบ ผมมีโอกาสได้ไปทำงานกับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง อยู่แถวบางกะปิ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายศิลป์ของเขา ช่วยนั้นมีเพื่อนชวนไปใส่บาตรที่ชมรมพุทธฯ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเป็นเรื่องบังเอิญที่พระที่มาบิณฑบาตสอนสมาธิแบบหลวงปู่ วัดปากน้ำ ทำให้เราไปเรื่อยๆ ไปจนตรงกับช่วงที่เขารับสมัครอุปสมบทภาคฤดูร้อน ตอนนั้นคิดว่าอย่างไรก็คงบวชไม่ได้ เพราะติดงานของสำนักพิมพ์แต่ไม่รู้เป็น เพราะอะไรรู้สึกอยากบวชเป็นพระมาก ๆ”
3 อยากนี้ ที่ทำให้มาบวช
“ที่อยากบวขก็เพราะว่า หนึ่ง คือ อยากทำอะไรให้แม่บ้าง ตั้งแต่เป็นเด็กจนโตมา ผมมีแต่เรื่องทำให้ท่านปวดร้าวทั้งนั้น คิดในใจว่า “จะมีอะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ได้บ้าง” ใจคิดอยากทำอะไรให้เขาชื่นใจ ก่อนที่เขาจะตาย สอง คือ อยากฝึกตนเอง ให้เป็นคนที่เข้าท่ากว่าที่เป็นอยู่ และ สาม คือ อยากพิสูจน์ว่าพุทธศาสนาเป็นอย่างไร เราเป็นชาวพุทธแต่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น แต่จริงๆ ไม่เคยรู้เลยว่าพุทธศาสนาเป็นอย่างไร
สามอย่างนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากบวชมาก ๆ
เพื่อนผมจึงแนะนำให้ผมอธิษฐานจิต
ผมอธิษฐานจิตบ่อยๆ หลังจากนั้น
ไม่เกิน 7 วัน เจ้าของบริษัทมาบอกว่า
“ไม่ต้องทำหนังสือแล้ว เราจะปิดบริษัท”
เขานึกว่าผมจะเสียใจ ในใจผมนี้ ไชโย คิดว่า
'แหม.... เราจะได้บวชคราวนี้เองสมปรารถนาแล้ว'
สมาธิเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมจำได้
“ผมอยากบอกว่าสมาธิเป็นสิ่งสำคัญ การทำเดี่ยวไมโครโฟน 3 หรือ 4 ชั่วโมง ต้องอาศัยสมาธิ สมาธิเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมจำได้ ผมเองไม่ได้อยากมีภาพลักษณ์คล้ายกับว่า “โน้ตเป็นคนดี ... โน้ตใจบุญสุนทาน... นั่งสมาธิเป็นประจำ... โอ้.. โน้ตรักทุกคน” ไม่อยากเป็นอย่างนั้น แค่เป็นตูดหมึกธรรมดา แต่ผมอยากบอกว่า สมาธิเป็นเคล็ดลับจริง ๆ ในการดำเนินชีวิต”
ซึ่งเรื่องประโยชน์ของสมาธินี้ โน้ตก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ใน Secret ฉบับเดือนธันวาคมว่า
“.... ความสำเร็จในการทำเดี่ยวไมโครโฟน คือ สมาธิ ลำพังตัวผมเองไม่มีปัญญาจำอะไรได้เยอะขนาดนั้นหรอก แต่ผมเคยบวชมาก่อน เวลาต้องการลำดับความคิด หรือคิดอะไรไม่ออก ผมจะนั่งสมาธิ นั่งแค่ช่วงสั้นๆ ก็ช่วยได้
การทำเดี่ยวฯ เต็มไปด้วยปัญหา ผมไม่ได้แค่เขียนบทอย่างเดียว แต่เป็นทั้งผู้แสดง และทำโปรดักชั่น พอถึงช่วงเขียนบทซึ่งเป็นหัวใจของการทำเดี่ยวฯ สมาธินี่แหล่ะช่วยแยกแยะว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ก่อนเขียนบททุกครั้ง ทีมงานรู้ว่าผมจะหายตัวไปนั่งสมาธิ ไม่ได้ไปนั่งเขียนบท แต่ไปนั่งนิ่งๆ ผมเชื่อว่า
“กำลังกายเกิดจากการเคลื่อนไหว …. กำลังใจเกิดจากการหยุด”
นึกถึงเมื่อไร ก็สุขใจ ที่เคยได้เป็นพระ
“ผมรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ที่จะได้ห่มผ้าเหลือง จะได้เป็นพระ และจะมีแม่เรา ที่เราบวชให้เขา และที่เราทุ่มเทฝึกตัวเองมา คือ ทำให้แม่ได้ บวชให้แม่ได้
ถ้าถามว่าทำไมต้องฝึกตัวหนักอย่างนี้ด้วย พระอาจารย์ก็จะตอบว่า “ต้องทำตัวเองให้รู้สึกว่าเรากราบตัวเองให้ได้ก่อน เพราะวันนั้นวันบวช แม่เราจะมากราบเรา ยายเราจะมากราบเรา ถ้าตราบใดที่เรายังกราบตัวเองไม่ได้ เราก็จะรู้สึกขึ้นมา”
ก่อนบวช... จะมีพิธีกรรมขอขมา นาคเตรียมบวชจะแต่งกายชุดขาวทั้งหมด และกล่าวคำว่า
“ อุกาสะ... ดังข้าพเจ้าทั้งหลาย... จะขอวโรกาส กราบลา พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เพื่อบรรพชา ณ บัดนี้... ฯลฯ “
เป็นการขอขมาลาโทษ เป็นโอกาสที่เราจะได้กล่าวกับพ่อ แม่ของเรา ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยกล่าวคำขอโทษแม่ของผม เมื่ออยู่ในพิธีขอขมา ความรู้สึก ตาต่อตา แม่ที่ยอมรับ ปิติใจ ที่เห็นลูกเป็นคนดีของเขาอย่างน้อยก็ช่วงหนี่งในชีวิต ภาพต่าง ๆ ที่ผมทำไม่ดีกับแม่ เหมือนนั่งดูหนัง มันกรอกลับมาให้เห็น เรารู้สึกว่า
เราทำไม่ดีกับผู้หญิงคนนี้มามาก
เราทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ ทำไม่ดีกับเขามามากมาย
เท่านั้นเอง พอตาต่อตา ประสานกัน
น้ำตาก็ไหล มันเป็นทั้งความสุข ความปิติ
และอยากเป็นพระดี ๆ ให้แม่ได้บุญเยอะๆ
ประทับใจภาพหนึ่ง เช้าวันหนึ่งเราไปบิณฑบาต เห็นคุณยายคนหนึ่งไปเตรียมตักบาตร พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าๆ แสงเรืองรอง คุณยายมือสั่นตอนใส่บาตรด้วยความมีอายุ บ้านคุณยายก็ฐานะไม่ค่อยดี แต่มีศรัทธาที่จะตักบาตร ตักข้าวปากหม้อเม็ดงาม ๆ มาถวายพระ ผมเห็นแล้วปิติน้ำตาจะไหล อธิษฐานในใจ ขอให้บุญที่ยายถวายภัตตาหารพระด้วยความนอบน้อม และประณีต และ บุญที่พระตั้งใจบวช อบรมตัวเองในครั้งนี้ทั้งหมด ขอผลบุญ ดลบันดาลให้คุณยายคนนี้ ... ไม่พบกับความยากจนอีกเลย ไปทุกภพ ทุกชาติ”
เลิกหลงทาง ตั้งหางเสือใหม่ [color="#4169E1"]
“บวชแล้วได้แนวทางในการดำเนินชิวิตครับ ซึ่งแต่ก่อนไม่มี แต่ก่อนผมใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นเรือ ก็คือเรือที่อยู่ในท้องมหาสมุทร ที่ไม่มีหางเสือ ถามว่าอยู่บนผิวน้ำได้ไหม อยู่ได้ แต่ไม่มีเป้าหมาย ล่องลอยไปเรื่อยเปื่อยไม่มีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ
แต่การได้บวช เหมือนการที่เราได้ตั้งหางเสือแล้ว เช่นเรา จะไปเกาเสม็ด เราตั้งหางเสือไว้ว่า เราจะไปทางทิศนี้ จะช้า จะเร็ว เราจะไปถึงเกาะเสม็ด แต่ถ้าชีวิตไม่ได้ตั้งหางเสือ ไม่รู้จะไปไหน สะเปะสะปะ บางคนไปหลงติดยาอยู่หลายปี มันเหมือนเผชิญกับการไปชนกับหินโสโครก ไปเจอพายุ ฝนตก เรือแตก ไม่มีเป้าหมาย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เพื่อจะให้อยู่ในท้องทะเลนั้นเอง แล้วรอวันหนึ่งก็ตายไป ไปไม่ถึงเป้าหมาย
แต่มาบวชนี่ รู้สึกว่าชีวิตได้แนวทางในการดำเนินชีวิต ถึงแม้ออกไปจะไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐนัก แต่อย่างน้อยเรามีธรรมะไว้เป็นที่พึ่ง เช่น เราอกหัก มีทุกข์ แก้ปัญหาบางเรื่องไม่ได้ มีปัญหาใหญ่ๆ เรามีธรรมะมาสอนตัวเรา เรามีบุญ มีกุศล มีความดีงามที่เป็นเส้นทางอยู่ ก็เลยรู้สึกว่า ชีวิตนี่มันไม่เหงา ถ้าเป็นการโดดร่ม เรามีร่มสำรองอยู่บ้าง ไม่ใช่ร่มใหญ่ขาดปั๊บ แล้วเราก็ไม่รู้ว่า เราจะไปลงที่ไหน ธรรมะเสมือนสิ่งนั้นเองที่คอยประคองชีวิตอยู่ ก็มีสโลแกน ผมใช้ว่า เด็กซิ่ง อิงธรรมะครับ”
คำถามคาใจวัยรุ่น
ถาม ถ้าผมติดหญิงล่ะ ทำไงดี
ตอบ ให้มาบวชเสียก่อน สึกออกไปหญิงจะติด ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกที่ไม่ชอบผู้ชายดี ยกเว้นตอนเขาบอกเลิกกัน เมื่อเราบวชออกมาแล้ว ความคิดความอ่าน ความไตร่ตรอง จะสุขุมขึ้น จะมองโลกในแง่ดี แทนที่จะมองในแง่ร้าย ไม่ใช่แค่คิดบวก ไม่คิดลบ แต่คิดเป็นด้วย
ถาม ถ้าผมติดเหล้า เบียร์ล่ะ
ตอบ ควรจะมาด่วนเลยครับ
ถาม ถ้าผมติดเพื่อนล่ะ
ตอบ เราเกิดมาไม่ใช่เกิดมาเพื่อเพื่อน เราเกิดมาเพื่อตัวเราเอง การบวชนั้น บวชให้แม่ก็ให้ แต่ที่ให้มากที่สุด คือ ให้ตัวเราเอง เวลาเราตายใครก็ช่วยไม่ได้ เช่น ตอนตายมีสายระโยงรยางค์ เหนี่ยวรั้งไว้เต็มตัว มีไหมครับ หากมีเพื่อนมาขอว่า “ยมบาล ... คนนี้ซี้มากเลย ขอไว้ได้ไหม” ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ
เรามาคนเดียว ตายคนเดียว การบวชเป็นเรื่องที่เราควรเห็นแก่ตัว มาบวชแล้วเราดีขึ้น เพื่อนเราก็จะดีขึ้นด้วย อยู่ใกล้ใครมันจะแผ่ไปถึงคนนั้นด้วย เพื่อนจะดีไปด้วย เพื่อนน่าจะอนุโมทนาด้วย ถ้ารักกันจริงเพื่อนก็น่าจะมาบวชเป็นเพื่อนไปด้วย เหมือนเพื่อนผม คุณเฉลิมพล เป็นกัลยาณมิตรให้ผมและมาบวชเป็นเพื่อนผมด้วย เรามาเจอกันที่ชมรมพุทธฯ ราม ก็ช่วยประคับประคองกันไป และนี่เรียกว่ากัลยาณมิตร คนที่เป็นเพื่อนเราจริงๆ เราควรจะมาบวชเป็นเพื่อน ถ้าบวชไม่ได้จริงๆ ต้องมาช่วยสนับสนุน
ถาม ถ้าอยากบวชแต่ไม่ใช่ตอนนี้ล่ะ
ตอบ เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร ปีหน้าเราบอกว่าเราจะบวช บางทีเราไม่รู้ว่าเราจะตาย ผมยกตัวอย่าง มีเพื่อนที่ทำกราฟฟิก เรียนมาด้วยกัน เป็นคนนั่งสมาธิ ที่บ้านชอบทำบุญ เพื่อนบอกว่า “กูว่านะ .... ปิดเทอมจะพาแม่ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ เห็นทุเรียนอยากซื้อไปให้แม่กิน” เหมือนธรรมดาที่เราพูดถึงแม่กัน วันรุ่นขึ้นแม่ตายกะทันหัน หลับแล้วตายไปเลย เขาช็อกมาก เพราะแม่ไม่ได้เป็นโรคอะไร แม่เป็นคนสุขภาพจิตดี อยู่ๆ ก็ตาย เขาโทรมาร้องไห้กับผม บอกว่า “กูเสียใจมาก.... กูบอกว่ากูจะพาแม่ไปนั่น ไปนี่ จะหาอะไรมาให้เขากิน เขาไปซะแล้ว นี่กูไม่มีโอกาสทำให้แม่อีกแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ มึงดูแลแม่มึงดี ๆ นะ”
ผมอยากบอกว่า เราไม่รู้ว่า พ่อแม่ของเราจะตายเมื่อไร คนสนิทของเราจะตายเมื่อไร เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ให้ดอกไม้ต้องให้ขณะที่เขาดมได้“
ฉะนั้นทำอะไรได้ตอนนี้.... ทำ....ถือคติไปเลย.... ใช้ชีวิตทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วอนาคตมันจะดูแลตัวของมันเองครับ
ที่มา... หนังสือ "จุดเปลี่ยน"
'เด็กซิ่งอิง... ธรรมะ อุดม แต้พานิช'
“ผมว่า วิชาสำคัญที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์ คือ วิชาพุทธศาสนา สำคัญกว่าวิชาอื่นที่
มนุษย์ทั้งโลกเรียนอยู่ด้วยซ้ำ” [ ...ฮ่า... พูดได้ไง ]
“นิตยสารที่นำพุทธศาสนามาย่อยให้อ่านง่าย ปกติหนังสือแนวนี้มีพระทั้งเล่ม หรือ มีตัวหนังสือเยอะมากๆ ทำให้คนยุค
นี้เห็นเป็นของยาก แต่ Secret ทำให้เป็นของง่าย”
[ ...เอ... สนใยธรรมะด้วยหรือ.... ]
“ความสำเร็จในการทำเดี่ยวไมโครโฟน คือ สมาธิ” [ ... ยังไงล่ะนี่ ... ]
“กำลังกายเกิดจากการเคลื่อนไหว กำลังใจเกิดจากการหยุด” [ ... นั่น ... ]
“คนเราถ้าไปนึกถึงอะไร ไอ้สิ่งนั้นจะโต เหมือนไปให้อาหารมัน ถ้านึกถึงความดี ความดีก็จะโต แต่ถ้านึกถึงบาป บาปก็
จะโต [... ว้าว .. ช่างอุปมาอุปไมยนะโน้ต ... ]
“ตอนนั้นบวชเพราะอะไรครับ เกเรครับ เกเรมากจนไม่มีใครเอาเลย แม่เอาไปฝากเลี้ยงบ้านญาติ ญาติก็ไม่เอาเพราะไปขโมยสตางค์เขา กล้าบอกเลยว่าชีวิตของตัวเองเปลี่ยนแปลงได้เพราะได้พบพระพุทธศาสนา ทุกวันนี้เวลาผมอธิษฐาน ผมจะขอทุกครั้งว่า ขอให้ได้เกิดและได้บวชในพระพุทธศาสนาอีกทุกชาติ ขอให้ได้ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าของแท้ หลังบวชเณรทัศนคติผมเปลี่ยนไปเลย ญาติเห็นแล้วแปลกใจกันหมด แม่ก็งง” [ ... ท่านกล้าเผย เรากล้าอ่าน ... ]
อะไรทำให้เด็กเกเรคนหนึ่งเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น ....
[... ตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ เพราะเกรงเจ้าของร้านจะมองหน้า ที่สำคัญเราอยากอ่านต่อ ... ]
อ่าน Secret จบแล้ว ยังมีคอลัมน์ที่น่าสนใจ แล้วเราก็ส่งให้เพื่อน ๆ อ่านต่อ เพื่อนซี้บอกว่า “สนใจเรื่องโน้ตบวชหรือ ?.... โน้ตเคยพูดให้น้อง ๆ นักศึกษาฟัง น่าสนใจ จะไปค้นก่อนนะว่าซีดียังอยู่หรือเปล่า
ศาสนาไม่มีจริง [/color]
“ผมเองเคยคิดว่าศาสนาไม่มีจริง คิดตามความโง่เขลาในวัยโน้น จะมีพระพุทธศาสนาได้อย่างไร จะมีพระพุทธเจ้าได้อย่างไร คิดว่าทุกเรื่องเป็นนิทานแต่งขึ้นให้คนกลัวบาป ใช้แทนกฎหมายในยุคสมัยโน้น จึงไม่เชื่อเรื่องบุญบาป นรกสวรรค์ คิดดูแคลนว่า ถ้าอยากให้เชื่อก็ไปจับตัวบุญ ตัวบาป มาให้ดูซิ”
มิจฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นชอบ
“คำว่ากรรม ยิ่งไม่เชื่อหนัก เพราะเกิดแล้วก็ตายหมดในชาตินี้ คนเราก็เหมือน แบคทีเรีย ที่เกิดมาและตายไป ฉะนั้นอยากทำอะไร ก็จงทำไป ตามใจของเรา
พอมีความคิดเป็นมิจฉาทิฐิ คือ เห็นผิดเป็นชอบ
เวลาทำอะไรไป จึงไม่คิดถึงใจคนอื่น และไม่คิดกังวลหรือกลัวว่า สิ่งที่เราทำ ... จะผิดหรือไม่ผิด
เป็นความมั่นใจแบบโง่ ๆ แต่ไปคิดว่าถูกและเท่ห์”
“ในช่วงเรียนมัธยมผมเป็นคนมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย อะไรที่ขโมยได้ ก็จะขโมย ตอนนั้นเด็กวัยรุ่นแถวบ้านผม ส่วนใหญ่มีจักรยาน BMX แต่บ้านผมไม่มี เพราะแม่ขายส้มตำ เรียกว่าจน อยากได้จักรยานก็ต้องขโมยเอา เคยร่วมมือกับเพื่อนที่เป็นจิ๊กโก๋ไปขโมยจักรยานอีกโรงเรียนหนึ่ง พอขโมยแล้ว ไม่เคยสนใจว่าเด็กเจ้าของจักรยานคนนั้น จะเดือนร้อนหรือไม่อย่างไร
สำหรับพระ เวลามองดูพระ ก็ไม่เคยเคารพพระ ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่า พระก็เป็นอาชีพหนึ่ง แค่นั้น”
หลงทาง เพราะตั้งหางเสือผิด
“พอเราคิดแบบนี้การกระทำของเราก็ไปอีกอย่างหนึ่ง หางเสือ พอตั้งผิด ก็ผิดทาง เหมือนเวลาเราหลับตาดำน้ำ ใจคิดว่ากำลังขึ้นผิวเบื้องบน แต่จริงๆ ดำดิ่งลงเบื้องล่าง
ชีวิตผมตอนนั้นก็เป็นไปตามทัศนคติ มีแต่ปัญหา เรื่องปวดหัว ชีวิตสับสนวุ่นวาย ไม่มีหลัก
คิด ไม่รู้จะแก้ปัญหาในชีวิตอย่างไร”
มรสุมชีวิตเข้ารุมเร้า
“จุดเปลี่ยนชีวิต คือ หนีออกจากบ้าน พอเรามีความคิดผิด เราก็ไม่รักแม่
‘ แม่อะไร ... ขอเงินก็ไม่ได้ ’ จักรยานก็ไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ แบบเรียนก็เป็นมือสอง ทำไมครอบ
ครัวเราจนแบบนี้ เกิดเป็นลูกแม่คนนี้ มีแต่ลำบาก ลูกคนอื่นทำไมสบาย
วันหนึ่งขโมยเงินแม่ทั้งหมด แล้วหนีออกจากบ้าน ไปอยู่กับญาติที่ ชลบุรี พอไปเจอญาติ ก็
ใส่ร้ายแม่ตัวเองว่า แม่ทรมานเรา เลี้ยงเราไม่ดี เราจึงหนีมา
ญาติก็หาโรงเรียนให้เรียนด้วยความสงสาร อยู่กับญาติไปสักพัก ไปทำความเดือนร้อน
ให้ญาติ
ด้วยนิสัยไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ไม่เรียนหนังสือโดดเรียน เล่นไพ่ในห้อง เที่ยวเตร่ คบเพื่อนชั่ว ญาติก็เอือม
จนวันหนึ่งเรียน ปวช ปี 1 มันเอือมตัวเองมากจนไม่ไหว ไปขโมยเงินครั้งสุดท้าย แล้วเขาจับได้ตอนขโมยพอดี ญาติก็ไม่เอาเราแล้ว เราก็เซ็งตัวเอง คือ ไม่รู้จะไปไหน จิตใจไม่มีที่พึ่ง ที่เราจะพึ่งตัวเอง นับถือตัวเอง มันไม่มีอะไรน่านับถือ เรียนที่โรงเรียน โรงเรียนก็ร่ำๆ จะให้พักการเรียน
เผอิญมีคนชวนไปนั่งสมาธิที่วัดบึงบวรสถิต อ.บ้างบึง จ.ชลบุรี ช่วงเวลา 18.30 – 19.30 น. ก็ไปกับเขา ที่ไปนั่งเพราะไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปอย่างนั้นเอง สมาธิคืออะไรก็ไม่รู้จัก พระท่านสอนนั่งสมาธิ แต่เราไม่นั่ง กลับลืมตาดูคนนั่งหลับตา และขำคนนั้น คนนี้ ที่นั่งหลับสัปหงก”
ไปวัด เพราะไม่มีที่ไป
“ตอนนั้นไปทุกวัน ไม่ใช่เป็นคนดี ไม่ได้เลื่อมใส แต่เพราะไม่มีที่ไป พอตอนเลิกเขาจะแจกน้ำปานะด้วย เราก็พลอยได้กินไปด้วย”
“อยากบอกว่า มนุษย์เราโดยทั่วไป โดยจิตลึกๆ โหยหาความดีงาม ชอบสิ่งดีงามอยู่แล้ว ไม่ว่าเป็นโจร หรือมหาโจรก็ตาม ก็แสวงหาสิ่งที่ดีงาม เช่น เวลาเราเห็นใครสักคนจูงคนแก่ข้ามถนน เรายังรู้สึกดี ผมไปเห็นเขาพับเสื่อที่วัดนี้ เขาช่วยกัน เขายกมือไหว้กันที่วัด พูดจาไพเราะ ผมเห็นก็รู้สึกดี”
คบบัญฑิต บัณฑิตพาไปหาตัวเอง
“เขาอนุโมทนาบุญกันแรก ๆ ก็งง งงไปสักพักก็หัดทำบ้าง ก็รู้สึกว่าดี ได้ร่วมยินดีกับคนอื่นที่ทำความดี คือ เหมือนกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้บำบัดเรา ระหว่างนั้นเราได้ยินเขาพูด เรื่อง บุญเรื่องบาป เหมือนเราไม่เชื่อ แต่ก็เริ่มซึมซับ ผมก็เริ่มนั่งบ้าง จากเริ่มนั่งสมาธิ แม้เริ่มนั่งจะไม่เห็นอะไร แต่พอใจสงบแล้วจะเห็นตัวเอง จะเห็นความไม่ดีของตัวเอง อุปมาเหมือนจิตใจของคนเรา คือ เราตักน้ำมาจากคลองแสนแสบ ใจเราจะเหมือนอย่างนั้น คือ มีปัญหาความรัก การเงิน การงาน เราเกลียดคนนั้นคนนี้ มีเรื่องสารพัด ใจเราจะเต็มไปด้วยเรื่องราวหมักหมม
แต่พอทำสมาธิผ่านไป ใจจะนิ่ง เหมือนเราตักน้ำขึ้นมา ธรรมชาติมันจะตกตะกอน
ใจเราเมื่อตกตะกอน จะมีความใสเหมือนผิวน้ำ
แล้วเห็นอะไรต่ออะไร อย่างน้อยก็เห็นตัวเอง
ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าไปวัดแล้วสนุกดี ว่างๆ ก็เดินตามพระไปบิณฑบาต
ที่วัดนี้เขาเปิดเทปธรรมะระหว่างฉัน และเทปนั้นเป็นเทศน์ เรื่องมงคลชีวิต 38 ประการ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร บางวันที่ฟังก็ตรงกับชีวิตของเรา ก็ค่อย ๆ เอาธรรมะที่ฟังมาปรับใช้ในชีวิตตัวเอง
ช่วงนั้นเราได้รับธรรมะ เหมือนเราได้รับ Moisturizer จากผิวชั้นบน จนถึงผิวชั้นล่าง เราเห็นพระ หรือแม่ชี หน้าท่านจะใสสว่างโดยไม่ต้องใช้ครีมไวท์เทนนิ่งใด ๆ ความสว่างนั้นเกิดจากจิตใจที่เบิกบานจาก.ธรรมะนี่เอง”
สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าไม่มี
“เผอิญเขามีการบรรพชาสามเณร ผมก็สมัครกับเขาสักหน่อย ได้เริ่มห่มผ้า เดินบิณฑบาต สนุกดี ศีลของเณรไม่เยอะมาก แต่เป็นการเริ่มต้นกรุยทางพระพุทธศาสนาอย่างดี
ตอนนั้นก็เริ่มคิดแล้วว่า บุญบาปมันน่าจะมี กรรมก็น่าจะมี ทั้งที่ยังไม่เชื่อทั้งร้อย ดูเหมือนมันมีบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่รู้ประกอบกับพระหลายท่านเทศน์ว่า สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี
เหมือนคนตาบอด ถ้าเราไปบอว่ามีสัตว์รูปร่างคล้ายจิ้งจก ชื่อ อีกัวน่า ตัวใหญ่ สีเขียว แผ่คอได้ด้วย คนตาบอดบอกไม่เชื่อ ไม่มี ที่พูดแบบนั้นเพราะเขาไม่เคยเห็น
การไม่เคยเห็น ไม่ใช่ว่ามันไม่มี
เหมือนบุญบาป ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มี เพียงแต่ว่าปัญญาของเราเป็นแบบทางโลก เราจึงไม่รู้
บาปกรรมที่เราไม่เคยเห็น ไม่ได้หมายความว่าไม่มี”
เปลี่ยนความคิด ชีวิตผันเปลี่ยน
“ผมได้บวชเณรและสึกออกมาเรียนต่อ ในช่วงที่ออกมา ผมรู้ได้เลยถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว ตั้งแต่ญาติพี่น้อง เพื่อน มีความรู้สึกต่อเราเปลี่ยนไป เหมือนเราได้รับความรักจากคนรอบข้างมากขึ้น เรารู้สึกว่าเราไปเจอสิ่งดีๆ มา ส่วนเพื่อนชั่วๆ ก็ค่อยๆ หายไป และพบว่า คนเรากำหนดตัวเองได้ เช่นถ้าเราเสพยาบ้า เพื่อนยาบ้าก็เข้ามาแล้ว เราเป็นคนแบบไหน ก็ถึงดูดคนแบบนั้นเข้ามา
แล้วผมมีโอกาสมาเรียนต่อที่เพาะช่าง กรุงเทพฯ ช่วงนั่นผมไปวัดปากน้ำ ไปไหว้พระบ้าง ไปนั่งสมาธิบ้าง อยู่ๆ ก็รักหลวงพ่อวัดปากน้ำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าชอบวิธีการสอนนั่งสมาธิของท่าน ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกกับจริตของผม บางคนชอบเพ่งกสิณ บางคนชอบจงกรม บางคนชอบกำหนดลมหายใจ แต่ละคนจะชอบไม่เหมือนกัน แล้วแต่จริตใคร
ใกล้เรียนจบ ผมมีโอกาสได้ไปทำงานกับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง อยู่แถวบางกะปิ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายศิลป์ของเขา ช่วยนั้นมีเพื่อนชวนไปใส่บาตรที่ชมรมพุทธฯ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเป็นเรื่องบังเอิญที่พระที่มาบิณฑบาตสอนสมาธิแบบหลวงปู่ วัดปากน้ำ ทำให้เราไปเรื่อยๆ ไปจนตรงกับช่วงที่เขารับสมัครอุปสมบทภาคฤดูร้อน ตอนนั้นคิดว่าอย่างไรก็คงบวชไม่ได้ เพราะติดงานของสำนักพิมพ์แต่ไม่รู้เป็น เพราะอะไรรู้สึกอยากบวชเป็นพระมาก ๆ”
3 อยากนี้ ที่ทำให้มาบวช
“ที่อยากบวขก็เพราะว่า หนึ่ง คือ อยากทำอะไรให้แม่บ้าง ตั้งแต่เป็นเด็กจนโตมา ผมมีแต่เรื่องทำให้ท่านปวดร้าวทั้งนั้น คิดในใจว่า “จะมีอะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ได้บ้าง” ใจคิดอยากทำอะไรให้เขาชื่นใจ ก่อนที่เขาจะตาย สอง คือ อยากฝึกตนเอง ให้เป็นคนที่เข้าท่ากว่าที่เป็นอยู่ และ สาม คือ อยากพิสูจน์ว่าพุทธศาสนาเป็นอย่างไร เราเป็นชาวพุทธแต่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น แต่จริงๆ ไม่เคยรู้เลยว่าพุทธศาสนาเป็นอย่างไร
สามอย่างนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากบวชมาก ๆ
เพื่อนผมจึงแนะนำให้ผมอธิษฐานจิต
ผมอธิษฐานจิตบ่อยๆ หลังจากนั้น
ไม่เกิน 7 วัน เจ้าของบริษัทมาบอกว่า
“ไม่ต้องทำหนังสือแล้ว เราจะปิดบริษัท”
เขานึกว่าผมจะเสียใจ ในใจผมนี้ ไชโย คิดว่า
'แหม.... เราจะได้บวชคราวนี้เองสมปรารถนาแล้ว'
สมาธิเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมจำได้
“ผมอยากบอกว่าสมาธิเป็นสิ่งสำคัญ การทำเดี่ยวไมโครโฟน 3 หรือ 4 ชั่วโมง ต้องอาศัยสมาธิ สมาธิเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมจำได้ ผมเองไม่ได้อยากมีภาพลักษณ์คล้ายกับว่า “โน้ตเป็นคนดี ... โน้ตใจบุญสุนทาน... นั่งสมาธิเป็นประจำ... โอ้.. โน้ตรักทุกคน” ไม่อยากเป็นอย่างนั้น แค่เป็นตูดหมึกธรรมดา แต่ผมอยากบอกว่า สมาธิเป็นเคล็ดลับจริง ๆ ในการดำเนินชีวิต”
ซึ่งเรื่องประโยชน์ของสมาธินี้ โน้ตก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ใน Secret ฉบับเดือนธันวาคมว่า
“.... ความสำเร็จในการทำเดี่ยวไมโครโฟน คือ สมาธิ ลำพังตัวผมเองไม่มีปัญญาจำอะไรได้เยอะขนาดนั้นหรอก แต่ผมเคยบวชมาก่อน เวลาต้องการลำดับความคิด หรือคิดอะไรไม่ออก ผมจะนั่งสมาธิ นั่งแค่ช่วงสั้นๆ ก็ช่วยได้
การทำเดี่ยวฯ เต็มไปด้วยปัญหา ผมไม่ได้แค่เขียนบทอย่างเดียว แต่เป็นทั้งผู้แสดง และทำโปรดักชั่น พอถึงช่วงเขียนบทซึ่งเป็นหัวใจของการทำเดี่ยวฯ สมาธินี่แหล่ะช่วยแยกแยะว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ก่อนเขียนบททุกครั้ง ทีมงานรู้ว่าผมจะหายตัวไปนั่งสมาธิ ไม่ได้ไปนั่งเขียนบท แต่ไปนั่งนิ่งๆ ผมเชื่อว่า
“กำลังกายเกิดจากการเคลื่อนไหว …. กำลังใจเกิดจากการหยุด”
นึกถึงเมื่อไร ก็สุขใจ ที่เคยได้เป็นพระ
“ผมรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ที่จะได้ห่มผ้าเหลือง จะได้เป็นพระ และจะมีแม่เรา ที่เราบวชให้เขา และที่เราทุ่มเทฝึกตัวเองมา คือ ทำให้แม่ได้ บวชให้แม่ได้
ถ้าถามว่าทำไมต้องฝึกตัวหนักอย่างนี้ด้วย พระอาจารย์ก็จะตอบว่า “ต้องทำตัวเองให้รู้สึกว่าเรากราบตัวเองให้ได้ก่อน เพราะวันนั้นวันบวช แม่เราจะมากราบเรา ยายเราจะมากราบเรา ถ้าตราบใดที่เรายังกราบตัวเองไม่ได้ เราก็จะรู้สึกขึ้นมา”
ก่อนบวช... จะมีพิธีกรรมขอขมา นาคเตรียมบวชจะแต่งกายชุดขาวทั้งหมด และกล่าวคำว่า
“ อุกาสะ... ดังข้าพเจ้าทั้งหลาย... จะขอวโรกาส กราบลา พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เพื่อบรรพชา ณ บัดนี้... ฯลฯ “
เป็นการขอขมาลาโทษ เป็นโอกาสที่เราจะได้กล่าวกับพ่อ แม่ของเรา ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยกล่าวคำขอโทษแม่ของผม เมื่ออยู่ในพิธีขอขมา ความรู้สึก ตาต่อตา แม่ที่ยอมรับ ปิติใจ ที่เห็นลูกเป็นคนดีของเขาอย่างน้อยก็ช่วงหนี่งในชีวิต ภาพต่าง ๆ ที่ผมทำไม่ดีกับแม่ เหมือนนั่งดูหนัง มันกรอกลับมาให้เห็น เรารู้สึกว่า
เราทำไม่ดีกับผู้หญิงคนนี้มามาก
เราทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ ทำไม่ดีกับเขามามากมาย
เท่านั้นเอง พอตาต่อตา ประสานกัน
น้ำตาก็ไหล มันเป็นทั้งความสุข ความปิติ
และอยากเป็นพระดี ๆ ให้แม่ได้บุญเยอะๆ
ประทับใจภาพหนึ่ง เช้าวันหนึ่งเราไปบิณฑบาต เห็นคุณยายคนหนึ่งไปเตรียมตักบาตร พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าๆ แสงเรืองรอง คุณยายมือสั่นตอนใส่บาตรด้วยความมีอายุ บ้านคุณยายก็ฐานะไม่ค่อยดี แต่มีศรัทธาที่จะตักบาตร ตักข้าวปากหม้อเม็ดงาม ๆ มาถวายพระ ผมเห็นแล้วปิติน้ำตาจะไหล อธิษฐานในใจ ขอให้บุญที่ยายถวายภัตตาหารพระด้วยความนอบน้อม และประณีต และ บุญที่พระตั้งใจบวช อบรมตัวเองในครั้งนี้ทั้งหมด ขอผลบุญ ดลบันดาลให้คุณยายคนนี้ ... ไม่พบกับความยากจนอีกเลย ไปทุกภพ ทุกชาติ”
เลิกหลงทาง ตั้งหางเสือใหม่ [color="#4169E1"]
“บวชแล้วได้แนวทางในการดำเนินชิวิตครับ ซึ่งแต่ก่อนไม่มี แต่ก่อนผมใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นเรือ ก็คือเรือที่อยู่ในท้องมหาสมุทร ที่ไม่มีหางเสือ ถามว่าอยู่บนผิวน้ำได้ไหม อยู่ได้ แต่ไม่มีเป้าหมาย ล่องลอยไปเรื่อยเปื่อยไม่มีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ
แต่การได้บวช เหมือนการที่เราได้ตั้งหางเสือแล้ว เช่นเรา จะไปเกาเสม็ด เราตั้งหางเสือไว้ว่า เราจะไปทางทิศนี้ จะช้า จะเร็ว เราจะไปถึงเกาะเสม็ด แต่ถ้าชีวิตไม่ได้ตั้งหางเสือ ไม่รู้จะไปไหน สะเปะสะปะ บางคนไปหลงติดยาอยู่หลายปี มันเหมือนเผชิญกับการไปชนกับหินโสโครก ไปเจอพายุ ฝนตก เรือแตก ไม่มีเป้าหมาย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เพื่อจะให้อยู่ในท้องทะเลนั้นเอง แล้วรอวันหนึ่งก็ตายไป ไปไม่ถึงเป้าหมาย
แต่มาบวชนี่ รู้สึกว่าชีวิตได้แนวทางในการดำเนินชีวิต ถึงแม้ออกไปจะไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐนัก แต่อย่างน้อยเรามีธรรมะไว้เป็นที่พึ่ง เช่น เราอกหัก มีทุกข์ แก้ปัญหาบางเรื่องไม่ได้ มีปัญหาใหญ่ๆ เรามีธรรมะมาสอนตัวเรา เรามีบุญ มีกุศล มีความดีงามที่เป็นเส้นทางอยู่ ก็เลยรู้สึกว่า ชีวิตนี่มันไม่เหงา ถ้าเป็นการโดดร่ม เรามีร่มสำรองอยู่บ้าง ไม่ใช่ร่มใหญ่ขาดปั๊บ แล้วเราก็ไม่รู้ว่า เราจะไปลงที่ไหน ธรรมะเสมือนสิ่งนั้นเองที่คอยประคองชีวิตอยู่ ก็มีสโลแกน ผมใช้ว่า เด็กซิ่ง อิงธรรมะครับ”
คำถามคาใจวัยรุ่น
ถาม ถ้าผมติดหญิงล่ะ ทำไงดี
ตอบ ให้มาบวชเสียก่อน สึกออกไปหญิงจะติด ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกที่ไม่ชอบผู้ชายดี ยกเว้นตอนเขาบอกเลิกกัน เมื่อเราบวชออกมาแล้ว ความคิดความอ่าน ความไตร่ตรอง จะสุขุมขึ้น จะมองโลกในแง่ดี แทนที่จะมองในแง่ร้าย ไม่ใช่แค่คิดบวก ไม่คิดลบ แต่คิดเป็นด้วย
ถาม ถ้าผมติดเหล้า เบียร์ล่ะ
ตอบ ควรจะมาด่วนเลยครับ
ถาม ถ้าผมติดเพื่อนล่ะ
ตอบ เราเกิดมาไม่ใช่เกิดมาเพื่อเพื่อน เราเกิดมาเพื่อตัวเราเอง การบวชนั้น บวชให้แม่ก็ให้ แต่ที่ให้มากที่สุด คือ ให้ตัวเราเอง เวลาเราตายใครก็ช่วยไม่ได้ เช่น ตอนตายมีสายระโยงรยางค์ เหนี่ยวรั้งไว้เต็มตัว มีไหมครับ หากมีเพื่อนมาขอว่า “ยมบาล ... คนนี้ซี้มากเลย ขอไว้ได้ไหม” ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ
เรามาคนเดียว ตายคนเดียว การบวชเป็นเรื่องที่เราควรเห็นแก่ตัว มาบวชแล้วเราดีขึ้น เพื่อนเราก็จะดีขึ้นด้วย อยู่ใกล้ใครมันจะแผ่ไปถึงคนนั้นด้วย เพื่อนจะดีไปด้วย เพื่อนน่าจะอนุโมทนาด้วย ถ้ารักกันจริงเพื่อนก็น่าจะมาบวชเป็นเพื่อนไปด้วย เหมือนเพื่อนผม คุณเฉลิมพล เป็นกัลยาณมิตรให้ผมและมาบวชเป็นเพื่อนผมด้วย เรามาเจอกันที่ชมรมพุทธฯ ราม ก็ช่วยประคับประคองกันไป และนี่เรียกว่ากัลยาณมิตร คนที่เป็นเพื่อนเราจริงๆ เราควรจะมาบวชเป็นเพื่อน ถ้าบวชไม่ได้จริงๆ ต้องมาช่วยสนับสนุน
ถาม ถ้าอยากบวชแต่ไม่ใช่ตอนนี้ล่ะ
ตอบ เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร ปีหน้าเราบอกว่าเราจะบวช บางทีเราไม่รู้ว่าเราจะตาย ผมยกตัวอย่าง มีเพื่อนที่ทำกราฟฟิก เรียนมาด้วยกัน เป็นคนนั่งสมาธิ ที่บ้านชอบทำบุญ เพื่อนบอกว่า “กูว่านะ .... ปิดเทอมจะพาแม่ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ เห็นทุเรียนอยากซื้อไปให้แม่กิน” เหมือนธรรมดาที่เราพูดถึงแม่กัน วันรุ่นขึ้นแม่ตายกะทันหัน หลับแล้วตายไปเลย เขาช็อกมาก เพราะแม่ไม่ได้เป็นโรคอะไร แม่เป็นคนสุขภาพจิตดี อยู่ๆ ก็ตาย เขาโทรมาร้องไห้กับผม บอกว่า “กูเสียใจมาก.... กูบอกว่ากูจะพาแม่ไปนั่น ไปนี่ จะหาอะไรมาให้เขากิน เขาไปซะแล้ว นี่กูไม่มีโอกาสทำให้แม่อีกแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ มึงดูแลแม่มึงดี ๆ นะ”
ผมอยากบอกว่า เราไม่รู้ว่า พ่อแม่ของเราจะตายเมื่อไร คนสนิทของเราจะตายเมื่อไร เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ให้ดอกไม้ต้องให้ขณะที่เขาดมได้“
ฉะนั้นทำอะไรได้ตอนนี้.... ทำ....ถือคติไปเลย.... ใช้ชีวิตทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วอนาคตมันจะดูแลตัวของมันเองครับ
ที่มา... หนังสือ "จุดเปลี่ยน"
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: hk_girlza
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·