ไปที่เนื้อหา


usr19743

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 05 Oct 2007
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Oct 22 2007 08:50 AM
-----

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

อยู่กันด้วยความรัก

18 October 2007 - 11:59 AM

อยู่กันด้วยความรัก




อยู่กันด้วยความรัก ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนว่า คนทั้งหลายควรจะอยู่กันด้วยความรัก เลิกโกรธ เลิกเกลียด เลิกอาฆาตพยาบาท จองเวรกันและกัน เพราะเราต้องการความสุขอย่างใด เขาก็ต้องการความสุขอย่างนั้น ขณะใดที่เราเกลียดคนอื่น จะพบว่า จิตเรามีแต่ความมืดมัว และหวาดระแวงภัยตลอดเวลาว่าเขาจะมาทำร้ายเรา



อัพะยาปัชฌัง สุขัง โลเก - การไม่เบียดเบียนกันเป็นความสุขในโลก การอยู่ด้วยการไม่เบียดเบียนกัน จึงจัดเป็นการอยู่ด้วยความรัก



รักพระพุทธเจ้า คิดถึงพระพุทธเจ้าในเรื่องของ ความกรุณาที่พระองค์มีต่อชาวโลก ความบริสุทธิ์ในน้ำพระทัย และความมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ในเรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ในเรื่องวิธีแห่งการดับทุกข์



รักพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ ใช้ธรรมะเป็นหลักในชีวิตประจำวัน คอยเอาธรรมนั้นมาพิจารณา ตักเตือน แก้ไขตนเอง ว่ามีความบกพร่องในเรื่องใด แล้วพยายามปรับปรุงแก้ไข



ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง - ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม



รักพระสงฆ์ ปฏิบัติตามพระอริยสงฆ์ เอาพระอริยสงฆ์เป็นผู้นำชีวิตของเราในด้านการปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์




รักหน้าที่ หน้าที่ในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พยายามเป็นผู้มีจิตใจสูง มีชีวิตอยู่อย่างสะอาด ไม่สกปรก ไม่เศร้าหมอง หน้าที่ของความเป็นไทย ไม่เป็นทาสของใคร รวมทั้งไม่เป็นทาสของอบายมุขต่างๆ หน้าที่ของพุทธบริษัท เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตลอดจน



ทำหน้าที่ของตนในแต่ละฐานะให้สมบูรณ์ เช่น ฐานะของพ่อแม่ ครู ทหาร ตำรวจ ทำหน้าที่ต่างๆ ด้วยใจรัก ประณีต และละเอียดรอบคอบ รักครอบครัว เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์แห่งความสุขส่วนรวม คือครอบครัว สามีภรรยาไม่แตกแยก ปรับความเข้าใจกัน ตลอดจนอบรมสั่งสอนสิ่งที่ดีให้แก่บุตร เด็กทำหน้าที่ของลูกที่ดี เพราะงานเจริญ ครอบครัวเจริญ ตนก็พลอยเจริญไปด้วย รักประเทศชาติ รักพวกพ้องชาวไทยของเรา เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ตั้งใจทำงานเพื่อนประเทศชาติ ไม่โกงกิน ทำงานด้วยใจบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ลำเอียง



อัตตัตถะปัญญา อสุจี มะนุสสา - บุคคลผู้ใช้ปัญญาความสามารถเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว เป็นคนสกปรก เป็นคนใช้ไม่ได้ ขอให้เราอยู่ร่วมกันด้วยความรักดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เพราะเราเกิดมาเพื่อช่วยเหลือกัน สร้างสรรค์ให้มีความสุขสม ปรารถนา



ลาภ 4 ประการที่มนุษย์เราึควรภูมิใจ

17 October 2007 - 09:25 AM



ลาภ 4 ประการที่มนุษย์เราึควรภูมิใจ


บทอบรมกรรมฐาน
ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติกรรมฐานในครั้งแรกๆ นั้น ท่านสอนให้นึกถึงบุญของเราแต่ละคน ว่าเราแต่ละคนได้มีโอกาสมาฝึกกรรมฐานนี้ เรามีบุญแล้ว คือ เราได้สิ่งที่บุคคลทําได้โดยยาก 4 ประการ จึงน่าภูมิใจ สิ่งที่บุคคลได้โดยยาก 4 ประการ คือ


1. การบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
2. การเกิดมาเป็นมนุษย์
3. การได้นับถือพระพุทธศาสนา หรือการได้บรรพชาอุปสมบทในพระศาสนา
4. การมีศรัทธามาปฏิบัติกรรมฐาน


ลาภข้อที่ 1 การบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
ที่ว่าเป็นลาภของเราแต่ละคน ก็เพราะพระพุทธเจ้านั้นเป็นบุคคลที่หาได้ยากอย่างแท้จริง ไม่ได้เกิดขึ้นในโลกทุกยุคทุกสมัย ในโลกที่มีอายุเป็นล้านๆ ปีนี้ พระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นได้ไม่ใช่ทุกยุคทุกสมัย บางยุคเป็นยุคที่ว่างจากพระพุทธศาสนา เมื่อยุคใดเป็นยุคที่ว่างจากพระพุทธศาสนา สัตว์โลกก็บอดมืด ไม่รู้ไม่เห็นหนทางแห่งความสงบสุข
การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าแต่ละองค์นั้้น ต้องบําเพ็ญบารมีมานาน อย่างพระพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ทรงบําเพ็ญบารมีมานานถึง 4 อสงไขยกับแสนกัปป์ จึงสามารถมาตรัสรู้ได้ การที่พระพุทธเจ้าจะปรากฏขึ้นในโลกนั้น เป็นสิ่งหาได้ยาก
เมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็สามารถนําความสุขมาให้แก่บุคตคลที่ได้มาพบเห็นพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณมาก ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดแล้ว เราทุกคนนี้ก็จะไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ก็อาจจะบอดมืดและอาจจะนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ซึ่งไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น สัตว์โลก มนุษย์ทั้งหลายกําลังบอดมืด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวทุกข์ อะไรเป็นตัวร้อน อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา เพลิงที่เผาอยู่นั้นมีทั้งเพลิงทุกข์และเพลิงกิเลส
สัตว์โลกทั้งหลายถูกเพลิงทั้งสองใหม้อยู่ ทั้งๆ ที่ถูกเพลิงนี้เผาไหม้ แต่บุคคลในโลกนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพลิง แล้วจะรู้วิธีดับเพลิงได้อย่างไร แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์เป็นคนแรกที่ทรงชี้ให้เห็นถึงหนทางถึงความดับทุึกข์ และดับทุกข์ได้จริง เพราะฉะนั้น การอุบัติขึ้นของพระองค์นั้น จึงจึดว่าเป็นความประเสริฐ เป็นลาภ
แม้พระองค์จะนิพพานไปแล้ว แต่ธรรมะของพระองค์ยังเป็นศาสดาสอนแทนพระองค์อยู่ การที่พระพุทธศาสนาจะอันตรทานไปจากโลกนั้้น ต้องมีลักษณะการอันตรทานดังต่อไปนี้


- ปริยัติอันตรธาน คือ คนไม่สามารถจดจําคําสอนของพระพุทธเจ้าได้เลย
- ปฏิบัติอันตรธาน คือ คนไม่ได้ปฏิบัติเลยแม้แต่ศีล 5
- ปฏิเวธอันตรธาน คือ ไม่มีผู้บรรลุมรรคผลเลยล
- ลิงคอันตรธาน คือ ไม่มีเพศบรรพชิตเลย
- ธาตุอันตรธาน คือ พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ที่กระจายอยู่ทั่วโลกอันตรธานหายไป


แต่อันตรธานทั้ง 5 ประการนี้ ยังไม่เกิดขึ้นในพระศาสนาของเรา เพเราะปริยัติก็ยังบริบูรณ์อยู่ ปฏิบัติก็ยังบริบูรณ์อยู่ ปฏิเวธก็ยังเชื่ือว่ามีผู้บรรลุอยู่ เพศของสมณะก็ยังปรากฏอยู่ ยังมีผู้บวชอยู่ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าก็ยังปรากฏอยู่
รวมความว่า ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังปรากฏบริบูรณ์อยู่ในโลกนี้ พระพุทธเจ้าที่ยังปรากฏให้เห็นชัดก็คือ พระบรมสารีริกธาุตุ และพระธรรมอันเป็นตัวแทนของพระองค์ ก็มีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ส่วนพระสาวกของพระองค์ก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน เราเกิดขึ้นในยุคที่พระพุทธศาสนายังมีอยู่
โดยเฉพาะเกิดิเป็นคนไทยในประเทศไทย ซึ่งไม่มีการทําลายพระพุทธศาสนาเหมือนกับในบางประเทศ เราจึงควรภูมิใจว่าเรานั้นมีบุญ คือ มีบุญที่ได้มาเกิดในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ในขณะที่ศาสนาของพระบรมศาสดานั้นยังมีอยู่ ชื่อว่าได้ลาภข้อที่ 1


ลาภข้อที่ 2. การเกิดมาเป็นมนุษย์
คือ การที่สัตว์โลกซึ่งท่องเที่ยวในสังสารวัฏนั้น ไม่ใช่ของง่ายเลยที่จะได้อัตภาพเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะในโลกมีสัตว์โลกนับเป็นแสนๆ ชนิด แต่เราได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์ก็น่าภาคภูมิใจ เราไม่เกิดดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่เป็นเปรต เป็นอสูรกาย หรือเป็นสัตว์นรก เมื่่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีอาการครบ 32 บริบูรณ์ ไม่บ้าใบ้ ไม่หูหนวก หรือไม่บกพร่องอย่างใดอย่างหนุึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นลาภ เพราะการที่ได้อัตภาพมาเป็นสนุษย์นี้ไม่ใช่ของง่ายๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "การกลับมาเป็นมนุษย์เป็นการยาก" คือ คนบางคน เมื่อชาติหนึ่งเคยเป็นมนุษย์แล้ว แต่ประพฤติล่วงศีล 5 ข้อใมดข้อหนึ่งหรือหลายข้อเป็นประจํา เมื่อตายไปก็อาจไปบังเกิดในอบายภูมิ เช่น เกิดิเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น ไม่อาจจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "การกลับมาเป็นมนุษย์เป็นการทําได้โดยยาก" แต่เราทุกคนได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์แล้ว นับเป็นบุญในข้อนี้แล้ว เพราะผู้ที่จะได้อัุตภาพมาเป็นมนุษย์นั้น ในชาติก่อนอย่างน้อยจะต้องมีัศีล 5 เป็นพื้นฐาน เมื่อเราได้อัตภาพนี้แล้ว แสดงว่าเมื่อชาติก่อนเราเป็นผู้มีศีล 5 ประจําใจ จึงได้เกิดมาเป็นมาุษย์นี้ เมื่อได้อัตภาพเช่นนี้แล้ว ก็ถือว่าเป็นบุญ เป็นลาภ


ลาภข้อที่ 3 ได้นับถือพระพุทธศาสนา หรือการได้บรรพชาอุปสมบท
ทั้งนี้ก็เพราะว่าโลกในปัจจุบัน ซึ่งมีมนุษย์อยู่เป็นพันๆ ล้านๆ คนนั้น ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธมีอยู่นิดเดียว นอกนั้นก็นับถือศาสนาอื่ื่นๆ หรือไม่ก็ไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย แต่การที่เรานับถือพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสัจธรรมอันประเสริฐ ที่เราสามารถพิสูจน์ได้ และนําความสุขมาให้แก่ผู้ปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ส่วนการบรรพชาหรืออุปสมบทเป็นพระภิกษุหรือสามเณรในพระศาสนา หรือแม้การบวชเป็นแม่ชีผู้เว้นชั่ว ประพฤติดี ก็ชื่อว่าบวชเช่นกัน
การที่บุคคลเราเกิดมาเ้ป็นมนุษย์แล้ว ได้เข้ามาบวชไม่ใช่ของทําได้ง่าย เพราะการบวชนั้นต้องอาศัยความอดทน อาศัยบุญบารมี อาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่าง จึงทําให้บวชได้ เราจะเห็นได้ว่าผู้เข้ามาบวชนั้้นยังน้อย นอกนั้นก็วุ่นวายยุ่งอยู่กับกิจการของโลก ซึ่งก่อนให้เกิดกิเลสนานาชนิด และเป็นทางที่นําไปสู่ความดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ส่วนใหญ่ยังไม่อาจยกจิตขึ้นสู่ทางสงบสุข
แต่เราทุกคนซึ่งได้นับถือพระพุทธศาสนา และบางท่านได้มีโอกาสเข้ามาบวช ถือว่าเป็นลาภ แต่ก็คงมีบางท่านซึ่งบวชแล้ว แต่ไม่สามารถยกจิตขึ้นสู่ระดับสูงได้ ก็นับว่าน่าเสียดาย


ลาภข้อที่ 4 มีศรัทธาเข้ามาฝึกกรรมฐาน
ทั้งนี้ เพพราะการที่เรานับถือพระพุทธศาสนา มีน้อยคนจะได้เข้ามาบวช และแม้ที่บวชแล้ว ก็มีน้อยคนที่จะได้มาฝึกรรมฐาน แม้ฆราวาสทั่วไปก็เหมือนกัน นับถือพุทธศาสนามานานก็จริง น้อยท่านที่จะมีศรัทธามาฝึกกรรมฐาน แต่เราทุกท่านทั้งบรรพชิตฆราวาสและซึ่งนั่งอยู่ ณ สถานที่นี้ มีศรัทธามาปฏิบัติกรรมฐาน จึงถือว่าเป็นลาภข้อที่ 4
ทั้ง 4 ประการนี้ เป็นลาภของเราแล้ว ขอให้ทุกคนทุกท่านพิจารณาถึงบุึญของเราแต่ละคนั้นว่า เรานั้นมีบุญจึงได้ลาภทั้ง 4 ประการนี้คือ
1. เราเกิดในยุคที่พระพุทธศาสนายังมีอยู่
2. เราได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์ คือ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว
3. เราได้นับถือพระพุทธศาสนา หรือเราได้บรรพชาหลีกเร้นออกจากสิ่งที่วุ่นวายแล้ว
4. เราได้มีศรัทธา ได้มีโอกาสมาฝึกกรรมฐานแล้ว
เพราะฉะนั้น ควรใช้โอกาสที่มีอยู่นี้ ฝึกกรรมฐานให้มากที่สุด เท่าที่จะทําได้
การฝึกอบรมกรรมฐานในพระพุทธศาสนานั้น ยังมีทั้งแบบสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน แต่อย่างไรก็ตาม กรรมฐานทุกระบบต้องใช้ศีลเป็นพื้นฐาน เป็นก้าวแรก ต่อไปก็๋ต้องใช้สมาธิเพื่อเป็นบาทขึ้นสู่วิปัสสนา..................

....

13 October 2007 - 06:39 AM

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร




"...การยอมรับนับถือ บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องนับถือด้วยความจริงใจเป็นส่วนตัวด้วย และก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านด้วย สิ่งใดท่านห้ามว่าไม่ดี อย่าทำ สิ่งใดท่านแนะนำว่าอย่างนี้นี่เป็นจุดของความสุข จงทำ เราทำอย่างนี้ถือว่า นับถือพระพุทธเจ้าจริง แต่ว่าปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งในด้านศีลก็ดี ในด้านธรรมก็ดี คำสั่งสอนพระพุทธเจ้านี่มีถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาปฏิบัติทั้งหมด เลือกเอาโดยเฉพาะว่าสิ่งไหนที่พอจะปฏิบัติได้ เราทำอย่างนั้น อย่าปฏิบัติเกินกำลัง และตั้งใจปฏิบัติด้วยความจริงจัง อย่างนี้ถือว่าท่านมีความระลึกถึงพระพุทธเจ้าจริง มีการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริง.."


ต่อนี้ไปก็มาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้เห็นจะไม่ต้องผ่านสำนักลุง จะเล่าถึงคนไปสวรรค์ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปสวรรค์ คือ ไม่ต้องผ่านสำนักพระยายม ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบุญบารมีของท่านมีความเข้มข้น ถึงแม้ว่ากำลังใจจะเป๋ไปบ้าง แต่ก็มีกำลังเข้มข้น

ท่านประเภทนี้ตายจากความเป็นคน ไม่ต้องไปสู่สำนักพระยายม ไม่ต้องมีการสอบสวน ไม่ต้องเอาพระยายมจัดสรร ตรงไปสวรรค์ทันที

ก็ขอนำ มฏฐกุณฑลีเทพบุตร มาเล่าสู่กันฟังก่อน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะได้ทราบว่า การไปสวรรค์จริง ๆ เวลาตายจากความเป็นคน ถึงแม้ว่ากำลังใจจะไม่เข้มข้นหรือว่าทำบุญมาไม่มากนัก จะเป็นการทำบุญชั่วจับพลัดจับผลูนิดหน่อย เพียงประเดี๋ยวเดียว หรือชั่วขณะหนึ่ง แต่ว่ามีความจริงใจ
และยิ่งกว่านั้น การตั้งใจเพื่อการทำบุญอาจจะไม่ตรงนัก ตั้งใจเพื่อประโยชน์อย่างอื่น แต่บังเอิญไปตรงจุดของบุญเข้า อย่างนี้บุญก็บันดาลให้คนนั้นไปสวรรค์ได้

อันนี้จะเป็นตัวอย่างแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ตัวอย่างก็คือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ที่เอาท่านผู้นี้มาอ้างก็เพราะว่า เป็นพุทธพจน์บทพระบาลี ของพระพุทธเจ้า เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าตรัสเอง



เรื่องราวก็มีอยู่ว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีนี่ความจริง ตระกูลนี้ไม่ใช่ตระกูลนับถือพระพุทธศาสนา เป็นตระกูลนับถือพรหมณ์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เป็นพราหมณ์ที่เหยียดหยามพระพุทธศาสนาด้วย ไม่มีความเคารพ พราหมณ์นั้นแบ่งเป็น ๒ พวก คือ พวกที่นับถือศาสนาพราหมณ์โดยตรง ไม่ยอมเคารพนับถือพุทธศาสนานี่ก็มี แต่พราหมณ์ที่มีเหตุมีผล เห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงสอนตามความเป็นจริง ยอมรับนับถือ มีเหตุ มีผล อย่างนี้ก็มี

ทีนี้ตระกูลพราหมณ์ของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่ เป็นตระกูลที่ไม่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่นับถือ แล้วก็บิดาของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็เป็นอาจารย์ของพราหมณ์ เป็นคณาจารย์ใหญ่ แต่ว่าอยู่ในฐานะคหบดี คือ คนรวยมาก ท่านผู้นี้มีลูกชายคนเดียวคือ ท่านมัฏฐกุณฑลี
แต่ความจริง คนนี้เป็นมนุษย์ชื่ออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ว่าสมัยที่เป็นเทวดามีต่างหูเกลี้ยง จึงได้นามว่า มัฏฐกุณฑลี

ต่อมา ลูกชายป่วยท่านพ่อแสนจะขี้เหนียว คือ เพียงจะซื้อยาให้ลูกชาย หรือจะหาหมอรักษาให้ลูกชายก็สามารถทำได้ แต่ท่านไม่ทำ เพราะเป็นคหบดีนี่มีทรัพย์นับเป็นสิบโกฏฺ ไม่ใช่นับเป็นร้อย กลับเสียดายสตางค์ที่มีอยู่ ไปถามหมอว่า "ลูกชายฉันเป็นโรคผิวเหลือง จะรักษาด้วยยาอะไรดี" หมอเขาก็บอกยากลางบ้านแบบธรรมดา ๆ แกได้ตำรายากลางบ้านมาแล้ว ก็ปรากฏว่า มาตำ มาต้ม หรือมาโขลกมาตำ ให้ลูกชายกินมันก็ไม่หาย ไข้ก็ทรุดลงตามลำดับ
เมื่อลูกชายไข้ทรุดมาก ท่านก็มีความรู้สึกว่า เวลานี้ลูกชายนอนอยู่ในห้องที่เป็นมงคล เป็นสิริ คือ ห้องสวย ๆ ข้างในมีทรัพย์สินมาก
มีเครื่องประดับประดามาก ถ้าบังเอิญญาติของเรารู้ข่าวว่า ลูกชายของเราป่วย เขาก็จะมาเยี่ยม แต่คนที่มาเยี่ยมนั้น ถ้าบังเอิญเห็นของที่ชอบใจขอเรา ถ้าไม่ให้กันก็เป็นการขัดใจกัน ทางที่ดีหลบเรื่องนี้ เพื่อเป็นการไม่ทะเลาะกัน หลบเสีย จึงเอาลูกชายมานอนที่ระเบียงบ้าน ซึ่งไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นเครื่องประดับ ลูกชายก็อาการป่วยหนักขึ้นทุกวัน ทวีคูณขึ้น พ่อก็ไม่ยอมหายาอย่างดีมารักษาโรค ตำยา ต้มยา ตามที่หมอกลางบ้านเขาบอก เขาบอกธรรมดา ๆ

ต่อมา อาการทรุดหนักขึ้น แม้แต่แขนขาก็ยกไม่ขึ้น ความตายปรากฏชัด แต่ทว่าพ่อหนุ่มน้อยมัฏฐกุณฑลี เธอก็ไม่อยากจะตาย ไม่มีความรู้สึกว่าเวลานี้จะต้องตาย คิดแต่เพียงใจใจว่า เราต้องหายจากโรคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า "ปมาโท มัจจุโน ปทัง ความประมาทเป็นทางของความตาย" ความจริง อาการตายปรากฏชัด แต่เธอยังไม่คิดว่าตาย แต่ว่าเธอจะหันไปหาพ่อ หาแม่ ก็หมดทางที่พ่อแม่จะช่วยเหลือ พ่อแม่ก็ไม่สนใจเท่าทรัพย์สินที่มีอยู่

ในที่สุด ทุกขเวทนาเครียดมาก จึงมีความรู้สึกว่า ชาวบ้านเขาลือกันว่า พระสมณโคดมท่านเป็นพระใจดีมาก มีเมตตาสูง ย่อมสงเคราะห์ไม่ว่าใคร แต่เวลานี้เราป่วยหนัก อยากจะให้องค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระสมณโคดมมารักษา เราจะได้หายจากโรค

ขอบรรดาท่านผู้อ่าน หรือว่าท่านผู้ฟัง โปรดพิจารณาด้วยว่า ความรู้สึกของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรไม่ได้มีความรู้สึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าในด้านของความดีอย่างอื่น แต่เขามีความรู้สึกว่า พระองค์มีเมตตา ไม่เลือกบุคคล

แต่ใจของเขาเวลานั้น ก็นึกอยากจะให้พระพุทธเจ้ามาช่วยรักษาโรค อาศัยที่เจตนาตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าให้เป็นหมอรักษาโรค
ความจริง ถ้าเพ่งดูจริง ๆ แล้ว มันไม่ตรงกับบุญก็ต้องยอมรับนับถือในความดี ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน แต่นี่เปล่า เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น เขาต้องการให้มาช่วยรักษาโรคให้หาย



แต่พระพุทธเจ้าก็มีพระมหากรุณาธิคุณ ในตอนเช้าทรงเสด็จมาบิณฑบาต กับพระอานนท์ผ่านบ้านพราหมณ์ บ้านนั้นเขาก็ไม่ไหว้พระพุทธเจ้า ไม่ยอมใส่บาตรด้วย ไม่ยอมยกมือไหว้ เมื่อพระพุทธเจ้าผ่านไป เวลานั้นมัฏฐกุณฑลีนอนตะแคง เอาหน้าเข้าหาฝา เห็นแสงสว่างประกายพุ่งมาเข้าตาของเธอ ก็สะดุดใจ เหลียวไป กลับตัวนิดหนึ่ง เหลียวไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรกับพระอานนท์กำลังบิณฑบาต

เธอจับภาพพระพุทธเจ้าขณะเดินบิณฑบาต กับภาพพระอานนท์ กับแสงที่ปรากฏกับตาของเธอ นึกถึงพระพุทธเจ้าว่า ขอพระสมณโคดม จงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าหายจากโรคเดี๋ยวนี้เถิด

ขณะที่เธอนึกอยู่อย่างนั้น แทนที่มันจะหายจากโรค กลับหายจากความเป็นคน นั่นก็คือ ตายจากความเป็นคน เธอตายเวลานั้นก็ไม่ผ่านสำนักของพระยายม เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าตรงไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ได้วิมานทองคำสูงมาก ใหญ่มาก แล้วก็เธอก็เป็นเทวดาประจำที่นั้น มีต่างหูเกลี้ยง จึงมีนามว่า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร

หลังจากลูกชายตาย พิธีของพราหมณ์ตามบาลีไม่ได้บอกชัดว่า ฝังหรือเผากันแน่ แต่ประเพณีปัจจุบันที่เมืองแขกเขาเผากัน แต่เวลานั้นอาจจะฝังก็ได้ เพราะคนยังน้อย ปรากฏว่า เวลาตอนเช้า ๆ ท่านพ่อก็ไปที่ปากหลุมฝังศพของลูก ไปยืนพรรณนาอยู่นั้น กี่วันก็ไม่ทราบ บาลีเขาไม่ได้บอกชัด บอกไว้แต่เพียงว่า
มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เห็นพ่อไปยืนพรรณนาอยู่ที่นั่น ตั้งใจให้กลับมาเกิดใหม่เป็นลูก ก็มีความรู้สึกในใจว่า พ่อของเรานี่เป็นคนพาล

คำว่า "พาล" บรรดาพุทธบริษัท เขาแปลกันว่า "โง่" เป็นคนพาลคือ เป็นคนโง่ ไม่ยอมนับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อเวลาเรามีชีวิตอยู่ก็ขี้เหนียว แสนจะเหนียว จะกินจะใช้ก็ไม่ค่อยกิน ไม่ค่อยใช้ มีเท่าไรเก็บหมด ยอมอดมื้อกินมื้อ ยอมกินของเล็ก ๆ น้อย ๆ หมายความว่า ของที่มีค่าไม่สูง แม้จะมีรสไม่อร่อย ก็พร้อมกินเพื่อเก็บทรัพย์สิน เวลาเราป่วยไข้ไม่สบายก็ไม่ประสงค์จะรักษา ค่ายาซึ่งเป็นของไม่มากนัก ค่าหมอเป็นของไม่มากนัก ในบ้านมีเงินตั้งหลายสิบโกฏิ ก็ไม่ยอมเสียสละเงินค่ายาเพื่อเรา ไม่ยอมหาหมอรักษาเรา ปล่อยให้เราต้องนอนทุกขเวทนา ใช้ยากลางบ้านซึ่งไม่ถูกกับโรคกิน

ในที่สุด เราก็ต้องตาย แต่ว่าการที่มาได้อาศัยพระสมณโคดมบรมครู คือ พระพุทธเจ้า ทรงสงเคราะห์เราขณะที่เสด็จไปทรงบิณฑบาต แผ่แสงให้ปรากฏชัด
เมื่อเราเห็นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์แล้ว จึงได้มีความนับถือ ยอมรับนับถือ คิดว่าขอพระองค์ช่วยให้หายโรค แต่อาการร่างกายมันเกินวิสัยที่ทรงอยู่ อาศัยที่นึกถึงองค์สมเด็จพระบรมครู ไม่ตรงกับความเป็นบุญนัก คือ ไปตรงกับความต้องการให้รักษาโรค มันก็ไม่ใช่บุญถนัด แต่ถึงกระไรก็ดี แม้แต่เพียงบุญเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เราเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีเครื่องประดับเป็นทิพย์ มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความเป็นอยู่อย่างเป็นทิพย์ มีความสุขมาก มีนางฟ้าหนึ่งพัน มีร่างกายเป็นทิพย์ เป็นบริวาร แต่พ่อของเรานี้จมปราณอยู่กับความโง่ เราต้องไปทรมานพ่อ ให้มีความรู้สึกเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็น สัมมาทิฏฐิคือ มีความเห็นถูกคลายจากความโง่

เมื่อ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร คิดอย่างนี้แล้ว ก็แปลงลงมา แปลงเป็นคนเหมือนรูปเก่า เหมือนรูปเดิม เห็นพ่อยืนร้องไห้อยู่ปากหลุม เธอก็มายืนร้องไห้บ้าง ใกล้ ๆ กับพ่อ ท่านพราหมณ์เห็นมัฏฑกุณฑลีเทพบุตรมายืนอย่างนั้น ก็เข้าใจว่า ชายคนนี้เหมือนลูกชายของเรา ถ้าได้ไว้เป็นลูกจะดีมาก จึงเข้าไปใกล้ ถามว่า

"พ่อคุณเอ๋ย... เธอร้องไห้ทำไม...?"
ชายคนนั้นคือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ตอบว่า

"คุณลุงร้องไห้ทำไม...?"
คุณลุงก็ตอบว่า

"ฉันร้องไห้คิดถึงลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันกำลังเป็นหนุ่มเป็นแน่น เป็นคนน่ารัก เป็นคนดีมาก ( ชม ตอนนี้ชม ) แต่ทว่าเธอต้องมาตายซึ่งอายุยังน้อย ฉันมีลูกคนเดียว ไม่มีใครปกครองทรัพย์สิน แต่ถ้าหากว่าลูกของฉันตาย ถ้าเธอกลับมาได้ ฉันจะให้ปกครองทรัพย์สินใหม่ หรือมิฉะนั้น ถ้าเธอไม่รังเกียจ เป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันจะให้ปกครองทรัพย์สินแทนลูกชายของฉัน"
ท่านมัฏฐกุณฑลีได้ฟัง ก็นึกในใจว่า

พ่อของเราเมื่อเราอยู่ ยาก็ไม่หา ไม่ยอมซื้อยาที่ถูก หมอก็ไม่รักษา ขี้เหนียวที่สุด แต่เวลานี้กลับเห็นเรา ซึ่งเป็นคนอื่น จะยอมมอบทรัพย์สมบัติให้กับบุคคลนั้น จึงถามว่า

"ท่านร้องไห้ทำไม...?"

ลุงก็บอกว่า

"ฉันร้องไห้ ต้องการให้ลูกชายฉันมาเกิดใหม่"

ก็รวมความว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีฟังแล้ว ก็คิดว่า ตายจริง พ่อเรานี่โง่มาก คนตายแล้วมันเกิดได้เมื่อไหร่ และท่านลุงก็ถามว่า "เธอร้องไห้ทำไม..?"

ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ตอบว่า

"ฉันร้องไห้นี่ เพราะว่า ฉันมีรถทองคำอยู่คันหนึ่ง สวยมาก แต่ยังหาล้อที่เหมาะสมไม่ได้"

ท่านคหบดีก็ถามว่า

"เธอต้องการอะไร?" ต้องการล้อเงินหรือล้อทอง ฉันจะจัดให้ตามความประสงค์"

มัฏฐกุณฑลีก็คิดว่า นี่เราคนอื่น เธอจะให้ล้อเงินกับล้อทอง แต่ว่าเวลาที่อยู่ไม่ยอมรักษาให้ ทรัพย์สมบัติก็ไม่ให้ จะไปไหนขี้เหนียวสตางค์ก็ไม่ค่อยให้ จึงแกล้งบอกว่า "ฉันต้องการ ดวงจันทร์ กับดวงอาทิตย์ มาเป็นล้อทั้งสองข้าง ดวงอาทิตย์ล้อข้างหนึ่ง ดวงจันทร์ข้างหนึ่ง"

ท่านพราหมณ์ก็เอะใจ คิดว่า ไอ้เจ้าเด็กนี่บ้า ก็เลยบอกว่า "เธอบ้า เพราะว่าดวงจันทร์ กับดวงอาทิตย์ ใครจะนำมาได้"

ท่านมัฏฐกุณฑลีก็ถามว่า

"โภ ปุริสะ ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ คนที่ต้องการสิ่งที่มองเห็น กับคนที่ต้องการสิ่งที่มองไม่เห็น ใครจะบ้ามากกว่ากัน เวลานี้ลูกชายของท่านอยู่ที่ไหน ท่านทราบไหม?"

พราหมณ์ก็บอกว่า "ไม่ทราบ"

"ในเมื่อฉันต้องการดวงจันทร์ กับดวงอาทิตย์ที่ฉันเห็นได้ แต่ท่านต้องการลูกชายที่เห็นไม่ได้ ผมกับท่านใครจะบ้ามากกว่ากัน?"

เป็นอันว่า พราหมณ์ยอมรับว่า บ้ามากกว่าเขา ในที่สุด มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็แสดงตนเป็นเทวดาประกาศให้ทราบว่า ตัวท่านเองคือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เป็นลูกชายของท่านพราหมณ์ เวลานี้ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พราหมณ์ก็ถามว่า ไปได้เพราะเหตุใด


ท่านก็ตอบว่า ก่อนจะตายเห็นพระสมณโคดมกับพระอานนท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นึกถึงพระสมณโคดม ขอให้มาช่วยรักษาโรคให้หาย แต่ก็เป็นการบังเอิญ มันไม่หาย แค่นึกถึงชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตร ตายจากความเป็นคน ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๑,๐๐๐ คน มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ จึงแนะนำว่า

"ต่อนี้ไป ขอพ่อโปรดเคารพองค์สมเด็จพระบรมครู จงถวายทานในสำนักของท่าน จงรักษาศีลในสำนักของท่าน จงฟังเทศน์ในสำนักของท่าน ตายแล้วจะไปสวรรค์"

ท่านมัฏฐกุณฑลีว่าแล้ว ก็ลากลับไป

หลังจากนั้น พราหมณ์ ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ กลับไปบ้าน ดีใจ บอกแม่บ้านว่า
วันนี้ฉันจะไปนิมนต์พระสมณโคดม กับพระสาวกมาฉันภัตตหารที่บ้าน ทำกับข้าวให้มาก" แล้วก็หลีกไป

ครั้นเมื่อไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว เวลานั้นปรากฏว่า มีชาวบ้านหลายพวก สองฝ่าย พวกของพราหมณ์บ้าง พวกพุทธศาสนาบ้าง ต่างคนต่างตามไป พวกของพราหมณ์คิดว่า วันนี้เราต้องการดู อทินกบุพกพราหมณ์ คือ พ่อของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร

เขาชื่อว่า อทินกบุพกพราหมณ์ ย่ำยีพระสมณโคดม สำหรับพุทธบริษัทก็คิดว่า วันนี้เราจะดูลีลาพระพุทธเจ้าที่สอนพราหมณ์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ คนทั้งสองฝ่ายก็ไปยืนร่วมกันที่นั่น

เมื่อไปถึงแล้วเขาก็ยกมือไหว้องค์สมเด็จพระทรงธรรม์แล้วกล่าวว่า "พระสมณโคดม ( เขายังไม่ยอมรับนับถือ ) ผมอยากจะทราบว่า คนที่ไม่เคยใส่บาตรกับท่าน ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยยกมือไหว้ในสำนักของท่าน นึกถึงชื่อท่านอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ มีไหม?"

องค์สมเด็จพระจอมไตร ก็ตรัสว่า

"พราหมณะ ดูก่อนพราหมณ์ คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ ไม่ใช่นับร้อย นับพัน แต่นับเป็นโกฏิ"

หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรให้มาพร้อมวิมาน มัฏฐกุณฑลีมาแล้ว ก็ลงจากวิมานมากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด เมื่อเทศน์จบ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน คนที่ยืนฟังอยู่นั่น ต่างบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน

นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านผู้รับฟัง หรือผู้อ่าน ที่นำเรื่องนี้มา อาจจะยาวไปหน่อยก็เพราะว่า ต้องการให้ท่านทั้งหลายทราบว่า คนที่ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ถึงแม้ว่ากาลก่อนจะไม่เคยยอมรับนับถือมา แต่เวลาใกล้จะตาย ก่อนจะตายถ้านึกถึงชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาอย่างมัฏกุณฑลีเทพบุตรอย่างนี้ ตายแล้วไปสวรรค์แน่นอน ไม่ต้องผ่านสำนักพระยายม

แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้เปรียบกว่ามัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาก เพราะว่า ทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้ามาในกาลก่อน และปัจจุบันก็ยังยอมรับนับถืออยู่ เวลานี้ทุกคนก็ยังมีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครู ถ้าหากว่าทุกท่านจะซ้อมความรู้สึกนึกถึงพระพุทธเจ้า คือ ตื่นขึ้นจากที่นอนสัก ๒ - ๓ นาที ว่า



ความดีขององค์สมเด็จพระชินศรีที่มีแล้ว ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ แล้วก็ตั้งใจรักษาความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง

สมมติว่า ตั้งใจจะให้ทาน พระพุทธเจ้าแนะนำว่า ทานเป็นของดี ก็คิดในใจว่า เราต้องการให้ทาน ถ้าโอกาสจะพึงมี เพียงเท่านี้ จิตใจของท่านจะตั้งอยู่ในพุทธานุสสติกรรมฐาน กับ จาคานุสสติกรรมฐาน

ถ้าเวลาตาย บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อย่างเลวที่สุด ก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถ้าอย่างสูงที่สุดก็เห็นจะต้องเป็น นิพพาน เพราะว่า พระพุทธโฆษาจารย์ รจนาวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวว่า



"บุคคลใดเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นประจำ คนนั้นไปนิพพานง่ายที่สุด"

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มองเวลาก็หมดเวลาพอดี ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังหรือผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี





จะรักษาคำสอนบวรสวัสดิ์ จะปฏิบัติกายใจให้ผ่องศรี
จะเทิดทูนคุณงามและความดี จะเพิ่มพูนสามัคคีมีเมตตา
จะทรงอภิญญาจารวัตร จะปกป้องสมบัติพระศาสนา
จะสืบทอดสาธารณะปฏิปทา จะยังประโยชน์ปวงประชาสืบไป

( จากคำกลอนราชพรหมยานบูชา )

....

12 October 2007 - 07:32 AM









ถาม : บุญที่สามารถส่งเสริมให้ผู้ชายก็ดี ผู้หญิงก็ดี เข้าถึงธรรม คือผมไม่ทราบว่า ในชาติหน้าเราจะได้เกิดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ต้องทำบุญอย่างไร ?


ตอบ : ทาน ศีล ภาวนา สามอันนี้เป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระศาสนา ท่านบอกว่าบุญกริยาวัตถุ คือ การกระทำที่เป็นบุญ มี ๑๐ อย่าง

ทานมัย การให้ทาน

ศีลมัย การรักษาศีล

ภาวนามัย การปฏิบัติภาวนา สามอย่างนี้ใหญ่ที่สุด ถัดจากนั้นก็เป็น

อปจายนมัย คือ การนอบน้อมถ่อมตน

เวยยาวัจมัย คือ การช่วยเหลืองานบุญของคนอื่นให้สำเร็จลง

ปัตติทานมัย การทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้เขา

ปัตตานุโมทนามัย เห็นเขาทำดีแล้ว โมทนากับเขา

ธัมมัสวนมัย ฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติ

ธัมมเทสนามัย ปฏิบัติได้แล้วไปสอนคนอื่นต่อ แล้วตัวสุดท้าย

ทิฏฐุชุกัมม์ มีความเห็นถูกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมานั้นถูก เราจะปฏิบัติตาม


ถาม : แล้วต้องอธิษฐานด้วยหรือเปล่าครับ ?

ตอบ : คำว่า อธิษฐาน คือ ความตั้งใจ ถ้าหากว่าเรามีความตั้งใจมั่นคงเท่าไร ผลมันก็เกิดได้ง่ายเท่านั้น


ถาม : ก็คือว่า ถ้าเราอธิษฐานให้เกิดเป็นผู้ชายทุกชาติ ?

ตอบ : อ๋อ...โอกาสนั้นยาก การจะได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องสร้างบารมี จนถึงระดับอุปบารมีขั้นปลาย จำไว้ ผู้หญิงกับผู้ชาย จะมีความต่างกัน ตรงจุดที่ว่า ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงที่ตั้งใจสร้างบารมีต่อกันมาจริง ๆ ถ้ายังไม่ถึงอุปบารมีขั้นปลายเมื่อไรจะยังไม่เกิดเป็นผู้ชาย จะเกิดเป็นผู้หญิงเรื่อยไป

ยกเว้นผู้หญิงบางประเภท อย่างเช่นผู้ตั้งใจจะเป็นพุทธมารดา อย่างหนึ่ง ผู้ที่ตั้งใจจะเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์อย่างหนี่ง ท่านเหล่านี้ จะเป็นปรมัตถบารมีแล้วก็จะเกิดเป็นผู้หญิง แต่ถ้าไม่ใช่ท่านทั้งหลายเหล่านี้แล้ว จะเกิดเป็นผู้ชายได้ต่อเมื่อเป็นอุปบารมีขั้นปลาย

การสร้างบุญ มีอยู่ ๓ ระดับ ๙ ขั้น ก็คือ สามัญบารมี (ขั้นต้น) มีหยาบ กลาง ละเอียด อุปบารมี(ขั้นกลาง) มีหยาบ กลาง ละเอียด ปรมัตถบารมี (ขั้นปลาย) มีหยาบ กลาง ละเอียด เราต้องถึงอุปบารมีขั้นกลาง ผู้หญิงจะเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นผู้ชาย

คราวนี้ตอนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นผู้ชาย นิสัยห้าวเริ่มปรากฏ สมัยนี้เขาเลยเรียกกันว่าทอม แล้วพอเริ่มเปลี่ยนเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงก็ยังอยู่ ก็เลยกลายเป็นตุ๊ดไป จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพียงแต่ว่าระยะนี้พวกนี้ปรากฏเยอะหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าเรารู้ในเรื่องของกรรมว่า ยถากรรมมุตาญาณ คือว่า คนเราทำอะไรแล้วจะได้ผลอะไร

การกระทำทุกอย่างจะส่งผลแบบไหน ๆ ก็จะเห็นเป็นเรื่องปกติ คืออยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไป อันดับแรกไม่ใช่ผู้หญิง ที่ตั้งใจจะเกิดเป็นพุทธมารดา ไม่ใช่ผู้อธิษฐานจะเกิดเป็นเนื้อคู่พระโพธิสัตว์โดยตรงแล้ว ถ้าถึงอุปบารมีขั้นกลางก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นผู้ชาย ดังนั้นว่า ๆ ไปแล้ว ผู้หญิงจะสร้างบารมีมาน้อยกว่า


ถาม : คนเราถ้ามีคู่บารมีแล้ว จะลาขาด กันได้เมื่อไร ?

ตอบ : อยู่ที่ว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ความมุ่งมั่นมีเท่าไร

ถาม : ถ้าเกิดว่าฝ่ายผู้ชาย เขาไม่ยอมให้ลา ?

ตอบ : มันไม่เกี่ยวกัน การลาอยู่ที่ความตั้งใจของเรา ถ้ากำลังของเราสูงพอ ก็ไปแน่บอยู่แล้วแหละ เอาอย่างนี้สิ หาทางทำบุญใหญ่ ถ้าหากว่าใครสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอก เราสร้างด้วย พอสร้างเสร็จก็อธิษฐานบอกว่าผลบุญนี้ขอให้เราละความปราถนาพระโพธิญาณ ขอละความปรารถนาเดิมทุกอย่าง ขอเข้านิพพานในชาตินี้ อะไรก็ว่าไป





คือ อาตมาธุดงค์ไปเจอสถานที่หนึ่ง ที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ในหนังสืออ่านเล่น ท่านบอกว่า ภูเขาลูกนั้นจากจุดกึ่งกลางออกไป ๑๕ กิโล เป็นทองคำหมด อาตมาก็เพิ่งเห็นทองคำธรรมชาติเต็ม ๆ ตา ก็จากที่หลวงพ่อบอกนั่นแหละ ตักขึ้นมาก็เป็นทรายทองเลย แล้วขุดไม่ลึกด้วย หมอนพพรแกจัดแจงไปเอาเครื่องบินขึ้นไปสำรวจแล้วเอาเครื่องวัดแร่ไปวัด พอเราบอกแล้วแกมาร์คจุดในแผนที่ทหารเลย

คราวนี้ของแก แกเป็นผู้บังคับกองพันอยู่ ก็มีอำนาจสั่งให้พวกเครื่องบินมันขึ้นได้ กำหนดเส้นทางบินให้เขาเสร็จสรรพ แต่ไม่บอกหรอกว่าไปทำอะไร กลับมาถึง บอกหลวงพี่ครับมหาศาลจริง ๆ เลยครับ พอเครื่องบิน ๆ ผ่าน ตรงจุดนั้นเครื่องวัดแร่มันตีเกจ์เลย ก็เลยขอตรงจุดนี้ บอกว่าได้ก็เอาไปสิ บอกว่าเอาใครเป็นผู้ร่วมงานบ้างละงานนี้ ก็บอกว่าคงต้องสอบถามหลวงพ่อก่อนว่า จะนิมนต์พระองค์ไหนบ้าง เพราะว่าการสังคยานาพระไตรปิฎกอย่างน้อย ก็ต้องมีพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ รวมกันเป็นร้อย ๆ หลวงพ่อบอกว่าอีกสององค์ที่อยู่ในป่าเฉพาะตรงจุดนั้นรวบรวมไว้ ๖๐ กว่าองค์แล้ว

ปรากฏว่างานนี้ไม่ทันจะลงมือ หลวงพ่อไปเสียก่อน ก็รอดูแล้วกันว่าหมอนพพรเขาจะทำได้เมื่อไร อาตมาเป็นนายทุน จะให้ทองไปภูเขาหนึ่ง หาบุญอะไรก็ได้ที่เป็นบุญใหญ่ในพระศาสนา แล้วก็ทำไปสิ มันส่งผลทั้งนั้นแหละ นั่นก็แค่อ้างเท่านั้นแหละ พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าลูกสาวเราไม่เต็มใจด้วย มันอ้างให้ตายก็ไม่สำเร็จหรอก มันสำคัญตรงลูกเราจะเต็มใจด้วย


พระโพธิสัตว์ แบ่งได้.2 อนิยตโพธิสัตว์

10 October 2007 - 06:54 AM

การจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้น อย่างน้อยต้องปฏิบัติตนอย่างนี้
๑.ตั้งความปรารถนาในใจ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้ว อย่างน้อย ๗ อสงไขย
๒.เปล่งวาจาประกาศความมุ่งมั่น ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า อย่างน้อย ๙ อสงไขย
๓.เปล่งวาจาและแสดงออกด้วยกาย(บำเพ็ญบารมี) เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า อย่างน้อย ๔ อสงไขยแสนกัป
ผู้ตั้งใจบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้านั้น เรียกท่านว่า พระโพธิสัตว์
อนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ ที่ยังไม่ได้รับพยาการณ์จากรพะพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใดว่า จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
นิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ ที่ได้รับพยาการณ์จากรพะพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใดว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน
การที่พระโพธิสัตว์จะได้รับพยากรณ์ หรือไม่ได้รับพยาการณ์จากพระพุทธเจ้าในอดีตนั้น นอกจากความเด็ดเดี่ยวและความตั้งมั่นของพระโพธิสัตว์ท่านนั้นแล้ว ยังจะต้องมีธรรมอีก ๘ ประการ ที่เรียกว่า อัฏฐธรรมสโมธาน คือ
๑. มนุสสัตตัง ต้องเป็นนมุษย์ เป็นอย่างอื่นไม่ได้
๒. ลิงคสัมปัตติ ต้อง มีเพศที่สมบรูณ์ คือ ต้องเป็นบุรุษทุกส่วน จะเป็นเพศหญิง หรือ บุรุษที่ไม่สมประกอบ หรือเป็น คน ๒ เพศไม่ได้
๓. เหตุ ต้องมีอุปนิสัยสามารถสำเร็จพระอรหันต์
๔. สัตถารทัสสน ต้องได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใดและได้ทำความดีถวายแด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๕. ปัพพัชชา ต้องเป็นบรรพชิตประเภทใดประเภทหนึ่ง จะเป็น ดาบส หรือ ปริพาชกก็ได้ แต่ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ
๖. คุณสัมปัตติ ต้องสมบูรณ์ด้วยคุณ คือ อภิญญษ ๕ สมาบัติ ๘
๗. อธิกาโร ต้องได้ทำความดียิ่ง คือได่ให้ชีวิต หรือ ลูกเมียเป็นทาน โดยเจตนาหวังโพธิญาณมาแล้ว
๘. ฉันทตา ต้องมีความพอใจอย่างแรงกล้า ในการเป็นพระพุทธเจ้า คือ ไม่ต้องการสิ่งอื่น ถึงจะต้องเหนื่อยยากลำบากเพียงใด ที่จะต้องสร้างบารมีอยู่นานเท่าใดก็ตาม ต้องไม่กลัว ไม่เปลี่ยนความคิดไปทางอื่นเป็นอันขาด
ขณะจิตของพระโพธิสัตว์ที่ตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรกกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ อย่างนับชาติไม่ถ้วนด้วยจิตที่คิดว่า
"เราตรัสรู้แล้ว จะให้ผู้อื่นตรัสรู้ด้วย
เราพ้นแล้ว จะให้ผู้อื่นพ้นด้วย
เราข้ามได้แล้ว จะให้ผูอื่นข้ามด้วย""
"ขึ้นชื่อว่า พุทธการกธรรม อื่น อันเป็นเหตุให้ตัรสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นอกเหนือจากบารมีธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้แล้วย่อมไม่มี"
๑.ทานบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ ทานบารมี เหมือนอย่าง หม้อน้ำที่มีน้ำเต็มคว่ำลง หม้อน้ำย่อมคายนำออกจนหมดสิ้น ฉันใด เราก็พึงให้ทานแก่ยาจก โดยไม่มีส่วนเหลือ ฉันนั้น
๒.ศีลบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ ศีลบารมี เหมือนอย่าง จามรี ชื่อว่า จามรีย่อมไม่อาลัยแม้ชีวิต เพื่อรักษาพวงหางของตน ฉันใด เราก็พึงรักษาศีล โดยไม่อาลัยแม้ชีวิต ฉันนั้น
๓.เนกขัมมบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ เนกขัมมบารมี เหมือนอย่าง นักโทษ ที่ถูกขังและได้รับทุกข์ทรมานในเรือนจำเป็นเวลานาน เขาผู้นั้นย้อมไม่อยากอยู่ในเรือนจำ ต้องการพ้นออกไป ฉันใด เราก็พึ่งเห็นภพทั้งปวงเป็นเสมือนเรือนจำ อยากพ้นไปจากภพทั้งปวงด้วยการมุ่งสู้ เนกขัมมะ ฉันนั้น
๔.ปัญญาบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ ปัญญาบารมี เหมือนอย่าง พระภิกษุผู้ออกบิณฑบาตโดยไม่เลือดตระกูลว่า จะมีฐานะ สูง ต่ำ หรือปานกลาง ย่อมได้อาหารเพียงพอแก่อัตภาพ ฉันใด เราก็พึงเข้าหาบัณฑิตทุกท่าน เพื่อถามปัญหา ฉันนั้น
๕.วิริยะบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ วิริยะบารมี เหมือนอย่าง พญาราชสีห์ ชื่อว่าพญาราชสีห์ย่อมมีความเพียรไม่ย่อหย่อนในอิริยาบถทุกเมื่อ ฉันใด เราก็พึงมีความเพียรอันมั่นคงในภพทั้งปวง ฉันนั้น
๖.ขันติบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ ขันติบารมี เหมือนอย่าง แผ่นดิน ชื่อว่าแผนดินย่อมทนได่ต่อสิ่งของที่มีผู้ทิ้งลงไม่ว่าจะสะอาด หรือสกปรก ฉันใด เราก็พึงเป็นผู้อดทนต่อการยกย่องและการดูหมิ่นของคนทั้งปวงได้ ฉันนั้น
๗.สัจจบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ สัจจบารมี เหมือนอย่าง ดาวประกายพรึก(ดาวพระศุกร์) ชื่อว่าดาวประกายพรึกย่อมไม่หลีกออกไปทางอื่น โคจรอยู่เฉพาะในทางของตน ฉันใด เราก็พึงไม่ก้าวล่วงจากวิถีในสัจจะ พูดแต่ความจริง ฉันนั้น
๘.อธิษฐานบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ อธิษฐานบารมี เหมือนอย่าง ภูผาหิน ชือ่ว่าภูผาหินย่อมตั้งมั่นอยู่ได้ ไม่ไหวด้วยลมแรง ฉันใด เราก็จงเป็นผู้ตั้งมั่นไม่คลอนแคลนในอธิฐานบารมี ฉันนั้น
๙.เมตตาบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ เมตตาบารมี เหมือนอย่าง น้ำ ชือ่ว่าน้ำ ย่อมทำใหรู้สึกฉ่ำเย็นและชำระฝุ่นผงทั้งคนดีและคนไม่ดีเสมอกัน ฉันใด เราก็พึงเมตตาทั้งแก่คนที่ทำประโยชน์และคนที่ไม่ได้ทำประโยชน์เสมอกัน ฉันนั้น
๑๐.อุเบกขาบารมี พระโพธิสัตว์จะตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราพึงบำเพ็ญ อุเบกขาบารมี เหมือนอย่าง แผ่นดิน ชื่อว่าแผนดินย่อมทนได่ต่อสิ่งของที่มีผู้ทิ้งลงไม่ว่าจะสะอาด หรือสกปรก ฉันใด เราก็พึงเป็นผู้วางเฉย มีใจเสมอกันทั้งในความสุขและความทุกข์ ฉันนั้น

อนึ่งในการบำเพ็ญบารมี จะต้องบำเพ็ญธรรมที่เป็นฝักฝ่ายหรือเกื้อกูลต่อการตรัสรู้ ซึ่งเรียกว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗ แบ่งเป็น ๗ หมวด คือ
สติปัฏฐาน ๔
สัมปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
มรรค ๘
บารมี ๑๐ และ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ รวมกันเรียกว่า พุทธการกธรรม