อยากจะรักษาพรหมจรรย์ต้องรักษาศีล 8 ควบด้วยไหมคะ?
#1
โพสต์เมื่อ 27 November 2005 - 01:22 PM
#2
โพสต์เมื่อ 27 November 2005 - 01:41 PM
ลองศึกษารายละเอียดของศีล 8 ดูนะคะ แล้วจะเข้าใจมากขึ้นค่ะ
#3 **
โพสต์เมื่อ 27 November 2005 - 03:02 PM
ซึ่งปกติแล้ว พรหมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามคุณทั้ง 5 อันได้แก่ความสุขทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ดังนั้นการจะประพฤติพรหมจรรย์คือต้องรักษาศีล 8 เพราะศีล 8 คือ ศีลที่ละ กามคุณทั้ง 5 ตามความเข้าใจของผม คือ
ศีลข้อ 7 คือละความสุขทางรูป เสียง กลิ่น
ศีลข้อ 3 และ 8 คือละความสุขทางสัมผัส
(ศีลข้อ 3 ในศีล 8 จะไม่เหมือนกับศีลข้อ 3 ในศีล 5 นะครับ เพราะ
ศีลข้อ 3 ในศีล 8 คือไม่ยุ่งเรื่องเพศเลยแม้แต่คู่ครองของตนเอง หรือแม้แต่คิดคำนึงเรื่องเพศก็ไม่ได้นะครับ
แต่ศีลข้อ 3 ในศีล 5 ยังมีเพศสัมพันธ์กับคู่ครองตนเองได้ครับ)
ศีลข้อ 6 ละความสุขทางรสเลย
แต่ถ้าแค่รักษาศีล 5 และไม่แต่งงานอยู่เป็นโสด ไม่ถือว่า ประพฤติพรหมจรรย์ครับ เพราะยังยุ่งเกี่ยวกับกามคุณทั้ง 5 อยู่
#4
โพสต์เมื่อ 27 November 2005 - 03:39 PM
อ้อ!
แล้วเพลงธรรมะของหลวงพ่อนี่ร้องได้ไหมคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#5
โพสต์เมื่อ 27 November 2005 - 04:15 PM
แต่การรักษาศีลแปดนี่ดีมากมายเลยล่ะค่ะ
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#6 **
โพสต์เมื่อ 27 November 2005 - 08:43 PM
#7 **
โพสต์เมื่อ 27 November 2005 - 09:36 PM
สำหรับวัตถุประสงค์การถือศีล 8 คือ ลด ละ กิเลส กามคุณ 5 ซึ่งถือเป็นเครื่องร้อยรัดใจให้เร่าร้อน หมุกมุ่นกับทางโลก และเป็นศีลที่เกื้อหนุนต่อการเจริญสมาธิภาวนายิ่งๆ ขึ้นไป เพราะเมื่อจิตใจจะสงบระงับจากกามคุณ 5 แล้ว จะทำให้การปฏิบัติธรรม จิตใจสงบ ชุ่มเย็น ปฏิบัติธรรมง่ายขึ้น
แต่สำหรับเพลงของวัดนั้น ถือเป็นเพลงที่ฟังแล้วจิตใจชุ่มเย็น ฟังแล้วนึกถึงบุญกุศล ไม่ทำให้ใจเร่าร้อน ทำให้ถือว่าไม่ผิดต่อศีล 8 ครับ แต่สำหรับเพลงที่ห้ามฟังคือเพลงทางโลกซึ่งมักจะเป็นเพลงรักๆ ใคร่ๆ ฟังแล้วจิตใจฟุ้งซ่านไปกับกามคุณ 5
อย่างเพลงบรรเลงเบาๆ ถ้าฟังแล้วสบายใจ ทำให้จิตใจนุ่มนวล เป็นการปรับใจให้เหมาะกับการนั่งสมาธิ เพลงแบบนี้ฟังได้ครับ ไม่ผิด
อย่างการละเล่น ถ้าเป็นการละเล่นที่ทำให้นึกถึงบุญกุศลก็ไม่ผิด แต่ถ้าเป็นพวกลิเก หนังละครน้ำเน่า เรื่องผัวๆ เมียๆ เรื่องชิงรักหักสวาทที่ทำให้จิตใจเร่าร้อน ก็ดูไม่ได้
อย่างพวกข่าว ก็ดูได้ แต่ต้องเลือกดูเพราะพระจะได้รู้ความเป็นไปของสังคม สามารถปรับตัว นำคำสอนมาปรับสอนให้ทันต่อยุคสมัย แต่สำหรับพวกข่าว ปล้น ฆ่า ข่มขืน ก็ไม่เหมาะที่จะดู เพราะดูแล้วใจเร่าร้อน
สรุปง่ายๆ คือ ถ้าทำแล้วจิตใจเร่าร้อนไปตามกามคุณ 5 สิ่งนั้นห้ามทำสำหรับผู้ถือศีล 8 ครับ
#8
โพสต์เมื่อ 28 November 2005 - 06:04 PM
แต่การรักษาศีล 8 จะช่วยให้คนสมัยนี้ ประพฤติจรรย์ได้ตลอดรอดฝั่งน่ะครับ ทั้งนี้เพราะปัจจุบัน สิ่งเย้ายวนต่างๆ มีมากกว่าคนสมัยก่อน การแต่งตัวของสาวหนุ่มยุคใหม่ ก็ล้วนแต่งโชว์สัดส่วนกันมากๆ เผยผิวที่คนสมัยก่อนไม่เคยเผยกันมากขึ้น และมีอิทธิพลเข้ามาตามสื่อต่างๆ มาก ผิดกันคนสมัยก่อน ที่นุ่งผ้าก็ยาวถึงข้อเท้า ฯลฯ
ดังนั้น ศึล 8 จึงเป็นเครื่องสนับสนุนอย่างดีที่จะช่วยเรื่องการประพฤติพรหมจรรย์น่ะครับ เพราะศีลข้อ 3 ก็ตั้งใจประพฤติโดยตรง ศีลข้อ 6 ห้ามทานอาหารยามวิกาล ก็ทำให้ไม่อยากไปเที่ยวกลางคืนที่ไหน เพราะหิว อยู่บ้างดีกว่า
ศีลข้อ 7 นี่ก็ห้ามแต่งตัว โชว์โน่นโชว์นี่ และห้ามดูละครรักๆ ใคร่ๆ เท่ากับตัดความเย้ายวนจากสื่อได้เยอะมากๆ
และศีลข้อ 8 ห้ามนอนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ที่นอนแข็งๆ ก็ทำให้อารมณ์เคลิ้มฝัน ลดน้อยถอยลงไป
ถ้าจะประพฤติพรหมจรรย์ ต้องรักษาศีล 8 ครับ สำหรับสมัยนี้
#9
โพสต์เมื่อ 28 November 2005 - 06:12 PM
แล้วสรุปว่าต้องถือหรือป่าวอ่ะ เพราะท่อนบนของข้อความบอกไม่ต้อง แต่ท่อนล่างบอกต้อง
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#10 **
โพสต์เมื่อ 28 November 2005 - 08:41 PM
แต่ในยุคปัจจุบัน มนุษย์มีกิเลสหนามากกกกกกกกกกกกกก (สังเกตจาก ก.ไก่ จะทราบได้ว่า กิเลสหนามากแค่ไหน) ดังนั้นการถือพรหมจรรย์ในยุคปัจจุบันต้องถือศีล 8 ครับ
สรุปแบบฟันธงนะครับ จะได้ไม่ต้องสับสน
การประพฤติพรหมจรรย์ในยุคนี้ ต้องถือศีล 8 ครับ
#11
โพสต์เมื่อ 28 November 2005 - 09:15 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#12
โพสต์เมื่อ 28 November 2005 - 09:25 PM
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#13
โพสต์เมื่อ 28 November 2005 - 09:28 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#14
โพสต์เมื่อ 28 November 2005 - 10:04 PM
จึงอยากตอบว่า หากทำได้โดยไม่รักษาศีล 8 ก็ถือว่าใช่ ไม่ต้องรักษาศีล 8 ก็ได้ ศีล 5 และไม่แต่งงาน ก็เรียกว่า รักษาพรหมจรรย์ แต่ไม่ได้อานิสงส์ของการถือศีล 8
หากรักษาพรหมจรรย์โดยถือศีล 8 ก็ได้อานิสงส์ของการรักษาศีล 8 ด้วย
แต่การสมาทานศีล 8 ด้วย จะเป็นเกราะให้สามารถรักษาพรหมจรรย์ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะค่านิยมสมัยนี้มันเปลี่ยนไป
#15
โพสต์เมื่อ 28 November 2005 - 10:42 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#16 **
โพสต์เมื่อ 28 November 2005 - 11:51 PM
ดังนั้นขอให้สรุปไปเลยดีกว่าครับ สำหรับคนธรรมดาที่คิดจะรักษาพรหมจรรย์ในยุคสมัยนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาศีล 8 ครับ
#17
โพสต์เมื่อ 29 November 2005 - 07:49 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#18
โพสต์เมื่อ 01 December 2005 - 10:06 PM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#19
โพสต์เมื่อ 02 December 2005 - 12:08 AM
๑) เรามีธรรมที่ละเอียดอ่อนเช่นเดียวกับท่านหรือเปล่า???
๒) แน่ใจแล้วหรือ??? ว่าการรักษาศีลด้วยวิธีเช่นนี้ เราจะไม่โกงตัวเอง (เพราะอารมณ์ของจิต สำหรับบุคคลที่ยังไม่เห็น ยังไม่เป็นธรรมะ ใช่ว่าจะมั่นคงเสมอไปนะครับ
๓) แน่ใจหรือ??? ว่าเราจะสามารถรักษาอารมณ์ของเรา ให้เป็นอารมณ์ของฝ่ายกุสลาธัมมาได้เช่นเดียวกับท่าน และได้ตลอดเวลาในช่วงของวัน
การประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตนเองนั้น เป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อทำการประเมินแล้ว ต้องพิจารณาด้วยว่า ผลที่ได้นั้นเป็นเช่นไร??? เช่นเดียวกัน นิสัยหรือความประพฤติที่เป็นต้นบุญต้นแบบประจำตัวในบุคคลหนึ่งๆ ที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ อาทิ ความสามารถในการบำเพ็ญสมาธิแบบเนสัชชิกังคัง ได้เป็นระยะเวลานานติดต่อกันหลายวัน โดยไม่รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงนั้น เป็นสิ่งที่ดี น่าสรรเสริญ น่าอนุโมทนา แต่ทว่า ตัวของเราเองมีความต้องการที่จะนำเอาลักษณะหรือแบบอย่างอันวิเศษนี้ มายึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติ หรือเป็นทิฏฐานุคติในการดำเนินรอยตามแล้วล่ะก็ ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า บุญลักษณะอันวิเศษเหล่านั้นที่ท่านมี ท่านเป็น โดยส่วนใหญ่แล้ว ล้วนมาจากบุญวาสนาอันสั่งสมมาแต่ปางก่อน และการเป็นผู้ที่มีธรรมขั้นสูงภายใน เป็นเครื่องช่วยปรุงแต่ง เป็นเหตุนำ เหตุหนุน เหตุเนื่อง ให้เป็นไปเช่นนั้นทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะทำสิ่งใด ต้องดูกำลังของตัวเองเสียก่อนนะ ถ้าในอดีตเราไม่เคยประกอบเหตุเพื่อให้ได้ให้เป็นสิ่งนั้นมา จู่ๆ เราจะไปนึกคิด ให้มี ให้เป็นเช่นเดียวกับท่าน ในปัจจุบันทันทีน่ะ มันเป็นไปไม่ได้ดอก เพราะตัวเราไม่ได้สั่งสมมา ลองนำไปตรองดูให้ดีก่อนก็แล้วกันนะหนูนะ
#20 **
โพสต์เมื่อ 04 December 2005 - 11:32 PM
ป้าเล่าว่า ป้าต้องเข้ากลางองค์พระทั้งวัน ให้ใจติดกับธรรมะ ไม่ให้ใจไปติดกับร่างกายหยาบ เพราะจะเจ็บปวดทรมานเนื่องจากสังขารไม่อำนวยต่อการมีชีวิตอย่างมาก
ดังนั้นถ้าใครคิดจะถือศีล 5 ในศีล 8 แบบที่คุณเกียรติก้องธรณินทร์ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ ก็ต้องพิจารณาตนเองก่อนอันดับแรกเลยครับว่า มีธรรมะละเอียดลุ่มลึกได้เท่ากับป้าใสหรือยัง ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ในรูปแบบของท่าน ร่างกายเราไม่แข็งแรงขนาดถือศีล 8 ไม่ไหวหรือป่าว
ถ้าตอบตัวเองได้ว่า ธรรมะปฏิบัติของเรายังไม่ลุ่มลึก ละเอียดขนาดท่าน เป็นพระธรรมกายได้ 24 ชั่วโมงแบบท่านแล้ว และร่างกายเราก็ยังแข็งแรงพอจะถือศีล 8 ได้ ถ้าคำตอบของเราเป็นแบบนี้แล้ว ก็ตอบได้ทันทีว่า การประพฤติพรหมจรรย์ของเรา ต้องถือศีล 8 แน่นอน เพราะ
1) ธรรมะปฏิบัติของเรายังไม่เชี่ยวชาญขนาดท่าน ก็ต้องอาศัยศีล 8 เป็นฐานรองรับ ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้ได้ตลอดรอดฝั่ง
2) ร่างกายของเราก็ยังแข็งแรงดี ถือศีล 8 ไหว ก็ไม่มีเหตุอันควรใดๆ ที่จะอ้างว่า ขอประพฤติพรหมจรรย์โดยถือศีล 5 แทนศีล 8
อ้อ... ถ้าสงสัยว่าป้าใส ร่างกายไม่แข็งแรงขนาดไหน ผมจะบอกคร่าวให้ฟังนะครับ
1) ปัจจุบัน ป้าใสไม่มีมดลูกทั้ง 2 ข้าง ทำให้ไม่มีฮอร์โมน จะทานฮอร์โมนเสริม ร่างกายท่านก็ปฏิเสธ มีการต่อต้านเกิดขึ้น ทำให้ปัจจุบันป้าใสมีปัญหาเรื่องกระดูกบาง ถ้าจำไม่ผิดท่านบอกว่า บางเหมือนคนแก่อายุ 80-90 ปี คือบางเหมือนริบบิ้น นั่งธรรมะก็ปวดกระดูกแล้ว (ไม่แน่ใจ แต่ก็ประมาณนี้ครับ)
2) ท่านเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จน คอหัก ตับแตกมาแล้วครับ (อันนี้จำได้ ไม่ผิดแน่นอน)
3) ท่านเคยเป็นมะเร็งลำไส้ ต้องตัดลำไส้ทิ้ง ถ้าจำไม่ผิด ปัจจุบันลำไส้ท่านเหลือแค่ 3 เมตร (อันนี้ไม่แน่ใจ) ทำให้การดูดซึมวิตามิน คุณค่าทางอาหารของท่านน้อยมาก เนื่องจากลำไส้มีระยะที่สั้น ทำให้ร่างกายไม่อำนวยที่จะอดข้าวเย็น
เท่าที่ผมจำได้ก็มีเท่านี้แหละครับ
#21
โพสต์เมื่อ 06 December 2005 - 02:34 AM
Thank you
#22
โพสต์เมื่อ 06 December 2005 - 11:51 AM
แก้ไขโดย หัดฝัน 06 December 2005 - 11:53 AM
#23
โพสต์เมื่อ 10 January 2006 - 02:23 AM
พรหมจรรย์ ถ้าปฏิบัติจิตให้สามารถเข้าถึง ฌาณ 1 2 3 4 ได้ก็เท่ากับประพฤติเพื่อความเป็นพรหม
ถ้าสามารถเข้าฌาณได้ทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน ทุกๆ อิริยาบท หรือทุกๆ จรรยา ก็จะกลายเป็น พรหมจรรย์
ถามว่าควรรักษาไหม???
ตอบว่า ถ้าเราเป็นพรหม เราจะใกล้ต่อปากทางพระนิพพานแล้วนะครับ
ต้องรักษาศีล 8 ควบด้วยไหมคะ
ตอบว่า ถ้าจิตทรงฌาณตลอดนั่ง นอน ยืน เดิน ศีล8 ไม่ต้องรักษา เพราะจิตมีศีลในตัวแล้วครับ
แต่ถ้ารักษาศีล 8 ได้ก็ดีครับเพราะจะได้ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี และสัจจะบารมีดีในตัวครับ
#24
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 11:02 AM
ทั้งบนโลก และ สวรรค์
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#25
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 02:45 AM
#26
โพสต์เมื่อ 05 February 2007 - 02:23 PM
#27
โพสต์เมื่อ 28 June 2008 - 09:24 AM