อวดอุตตริ
#1
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 07:47 PM
ทั้งๆที่ไม่เห็นอะไรเลย หรือพูดเวอร์ไปเอง
เข้าข่ายอวดอ้าง อวดอุตตริ แบบนี้ถ้าเป็นพระสงฆ์จะปาราชิกทันที
ถ้าเป็นฆราวาส จะมีกรรมอย่างอื่น นอกจากกรรมมุสาวาท หรือไม่อย่างไรครับ?
#2
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 07:58 PM
#3
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 08:18 PM
กรรมที่เกิดจากการอวดอ้าง หรืออวดอุตริในธรรมที่ไม่มีในตน ย่อมจัดเป็นธรรมอันเป็นข้าสึกของ สัจจบารมี เป็นการทำลายสัจจบารมีในตัวครับ ผลของการอวดอ้างหรือแอบอ้างย่อมไม่สามารถพ้นนรกได้แน่นอนครับ
คราวนี้คำถามก็คือ ผู้ที่ปฏิบัติได้เห็นธรรม ณ ภายในแล้ว จะสามารถรู้และเห็นเหตุการณ์ในอดีตหรือบุปเพนิวาสานุสติญาณ และเห็นอนาคต(อนาคตังสญาณ) รู้เห็นในภพ 3 สวรรค์ นรก พรมโลกได้จริงแท้แค่ไหน ถ้ารู้และเห็นไม่แม่นยำจริงแล้วทึกทักว่าจริงจะถือเป็นการอวดอุตริได้หรือไม่
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#4
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 08:21 PM
กรรมแรงเหมือนกันนะคะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีผลกรรมยังไง
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#5
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 08:22 PM
ย่อมแสดงให้เห็นว่าไม่มีความละอายและกลัวเกรงต่อบาป ไม่กลัวนรก หรืออาจจะ
เห็นว่าตัวเองเห็นธรรมะจริงๆ ทั้งที่ยังไม่เห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิเต็มๆ ปิดกั้นทางมรรคผล
นิพพานได้
#6
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 09:36 PM
กรรมหนักมากนะครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#7
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 10:28 PM
ทั้งๆที่ไม่เห็นอะไรเลย หรือพูดเวอร์ไปเอง
เข้าข่ายอวดอ้าง อวดอุตริ แบบนี้ถ้าเป็นพระสงฆ์จะปราชิกทันที
ถ้าเป็นฆารวาส จะมีกรรมอย่างอื่น นอกจากกรรมมุสาวาท หรือไม่ อย่างไรครับ
ตอบถ้าเป็นฆาราวาสแล้วอวดอ้างอุตริ ที่ไม่มีในตน ก็เข้าข่ายมุสาวาทา พูดจาเพ้อเจ้อ แล้วถ้าทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อในคำสอนที่ผิดของตน กรรมคงจะหนักครับ นอกจากกรรมมุสาวาทาแล้ว ผมคิดว่า ด้วยกรรมนี้ เกิดชาติต่อไป จะทำให้เค้าเจอคนที่ไม่ดี คนพูดหลอกลวง เหมือนที่เขาเคยทำไว้ในอดีตชาติ จะทำให้เขาไม่ได้พบกับธรรมะที่แท้จริงครับ จะเจอแต่ของหลอกลวงครับ อีกทั้งจะไม่ได้กัลยาณมิตรที่ดีด้วยครับ
_/ \_ สาธุครับ กระทู้ถามดีคนที่คิดจะอวดอ้างจะได้กลัวบ้าง
***********************************************************
ใ ค ร เ ชิ ด. . .ใ ค ร ชู. . .ช่ า ง เ ข า
ใ ค ร เ บื่ อ. . .ใ ค ร บ่ น. . .ท น เ อ า
ใ จ เ ร า. . .ร่ ม เ ย็ น. . .เ ป็ น พ อ
. . .|2@|<_|3( )( )|\| @ |-|()T/\/\@I|_.C()/\/\. . .
#8
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 10:28 PM
ไฟล์แนบ
#9
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 11:43 PM
ขอตอบแบบคล้องจองต่อเลยนะครับ "เมื่อตายแล้ว โทษถึงตก หมกไหม้ ในอเวจีมหานรก" (อาบัติปาราชิกนี่ กฎแห่งกรรมปรับโทษถึงนรกขุมอเวจีนะครับ ขอย้ำ!!!) ส่วนวิบากร่วมทั้งฝ่ายของบรรพชิตและคฤหัสถ์ คือ หากสิ่งที่ตนอวดอ้างอวดอุตตรินั้น ก่อให้เกิดรู้ผิด เห็นผิดแก่ผู้อื่น จนกระทั่งบุคคลเหล่านั้นกลายเป็น "นิยตมิจฉาทิฏฐิ" แล้วล่ะก็ โทษเย็นเสียดถึงเยื่อในกระดูก ไหม้ยุบยับเป็นจุณวิจุณลงทะเลน้ำกรดใน "โลกันตร์" เลยนะครับ ทำเป็นเล่นไป
#10
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 11:49 PM
.........................................................................................
เขาก็จะเป็น...หุ่น..ให้บาปมันเชิด ใครเข้าไปต่อล้อต่อเถียงก็จะเป็นตัวแปรสุ่มกระบวนการให้บาป และพญามารเช่นกันครับ..
ควรอยู่ห่างๆไว้ หรือฟังแล้วก็เออออห่อหมกไปอย่าไปแสดงความเห็นกับเขามากจะติดเศษกรรมกันไปอีก ถ้าพอจะฉุดเขาจากเปลือกตมก็ควรทำนั่นคือบุญครับ...
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#11
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 11:53 PM
Someday I'm gonna be free.
#12
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 11:57 PM
แบบนี้หมินเหม่น่ากลัวมากๆ เลยนะเนี่ย
#13
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 12:04 AM
พี่หนึ่งไม่ต้องเสียเวลาไปค้นหาหรอกครับ ผมตอบให้เลยละกัน หลังจากที่พ้นโทษในมหานรก
อุสสทนรก และยมโลกแล้ว เมื่อเข้าสู่กำเนิดแห่งเปตติวิสยภูมิ ย่อมปฏิสนธิเกิดขึ้นด้วยรูปกายแห่งเปรตจักรผัน ที่มีกงจักรคมเป็นกรดผันมาผ่าหัว มีลำตัวอันบิดเบี้ยว เนื่องจากบิดเบือนและเบี่ยงเบนผู้อื่นออกจากคำสอนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ อีกทั้งทางแห่งมรรคผลนิพพานครับ
#14
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 12:12 AM
สาธุครับ
Someday I'm gonna be free.
#15
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 07:05 AM
สำหรับอุตตริมนุษยธรรมซึ่งเป็นธรรมะของมนุษย์จากความเพียรอันยิ่งยวด ผู้ไม่มีจึงไม่ควรกล่าวอ้าง
หากว่ายน้ำไม่เป็นหรือเพียงแต่อ่านตำราสอนว่ายน้ำแล้วไม่เคยฝึก แต่กลับป่าวประกาศบอกผู้อื่นว่า ตนเองเคยว่ายน้ำข้ามช่องแคบที่ลึกนี้มาแล้ว
เมื่ออวดแล้วก็ต้องแสดงว่าตนเองว่ายน้ำข้ามช่องแคบได้ จะต้องพบกับความอาย ถูกประณาม ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากผู้อื่น เมื่อความจริงปรากฎว่าตนเองว่ายน้ำไม่เป็น แถมยังต้องให้คนว่ายน้ำเป็นไปช่วยอีก
หรืออาจจะจมน้ำเอาชีวิตไปทิ้งฟรีๆก็เป็นได้
ดังนั้น การอวดอุตตริฯ จึงเปรียบเสมือนการฆ่าตัวตายโดยแท้
#16
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 08:05 AM
คิดว่าไม่นะครับ เพราะ ถ้าไปอ่านประวัติการบัญญัติสิกขาบทของพระภิกษุ จะเห็นประเด็นหนึ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องถามก่อนทุกครั้ง ประมาณว่า เธอมีจิตยินดีหรือไม่ เธอมีเจตนาหรือไม่ ดังนั้น ถ้าเป็นการเข้าใจผิดไปเอง อันนี้ไม่น่าจะผิดครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#17
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 10:08 AM
ถูกต้องครับ เมื่อผู้อวดอ้างได้ทำลายสัจจะบารมีในตนเองแล้ว ย่อมทำให้บารมีอีก ๙ ประการที่เหลือไม่เจริญขึ้น เนื่องจากสัจจะบารมีนั้น หากจะอุปมาแล้วก็เปรียบได้กับ "เสาหลัก" ที่รองรับโครงสร้างของบ้านทั้งหลังไว้ (คือ บารมีอีก ๙ ประการที่เหลือ) เมื่อใดก็ตามที่เสาหลักหักโค่น บ้านทั้งหลังก็ย่อมพังทลายลงอย่างมิต้องสงสัย
#18
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 12:37 PM
เรื่องราวของคุณทองสุก เป็นแบบอย่างอันดีสำหรับผู้ที่ไปเผยแผ่วิชชาธรรมกายต่อไปครับ โดยเมื่อหลวงปู่วัดปากน้ำมอบหมายให้คุณยายทองสุกไปเผยแผ่ คุณยายทองสุกก็ไปที่วัดๆ หนึ่ง แล้วก็ใช้วิธีประกาศต่อสาธารณชนเลยว่า รับสอนวิชชาธรรมกาย และนำกระดาษมาเขียนป้ายติดไว้ ปรากฏว่า ไม่มีใครสนใจมาเรียนเลย ทำอย่างนี้เป็นเดือนๆ ไม่มีอาหารทาน ต้องเด็ดผัก และเผือกมันที่วัดรับประทาน เวลาผ่านไปจนกระทั่งเผือกมันกำลังจะหมดแล้ว ยังไม่มีใครสนใจมาเรียนเลย คุณยายก็คิดใหม่ทำใหม่ ไม่ได้การวิธีเดิมแบบนี้ ไร้ประโยชน์เป็นเพราะอะไรนะ อ๋อ วิธีเดิมคือ ประกาศไปเลยว่า ฉันเชี่ยวชาญวิชชาธรรมกายแล้ว และรับสอนวิชชาธรรมกาย นั้นไม่ได้ผล ด้วยเหตุ 2 ประการคือ
1. ผู้คนไม่เห็นประโยชน์อันใดจากการเชี่ยวชาญวิชชาธรรมกาย เชี่ยวชาญไปแล้วมีประโยชน์อันใดกับชีวิตประจำวันของพวกเขา ยิ่งถ้าไปบอกเขาว่า จะได้ไปนิพพาน เขาจะได้สวนมาว่า ตอนนี้ฉันอยากทำมาหากินอย่างมีความสุขก่อน นิพพานเป็นเรื่องไกลตัว ถ้าชาวบ้านพูดอย่างนี้ก็จบเห่ ทำอะไรต่อไม่ได้
2. และประการที่ 2 ถึงแม้จะมีผู้รู้จักวิชชาธรรมกายแล้ว เห็นความสำคัญแล้ว แต่การที่มาประกาศแบบนี้ ใครเขาจะเชื่อว่า ผู้ประกาศทำได้จริง
เมื่อคุณยายคิดได้แล้ว ก็คิดวิธีใหม่ เอาป้ายออก เลิกวิธีสาธารณะ แล้วไปกระซิบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มาทำบุญที่วัดนั้น บอกว่า "คุณโยม อยากรู้มั้ยว่า ญาติคุณโยมตอนนี้ตายแล้วไปไหน"
ผู้หญิงคนนั้นถามว่า "แม่ชีดูได้เหรอ"
คุณยายทองสุกบอกว่า "ดูได้"
ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า "ถ้างั้นมาพิสูจน์กัน" ว่าแล้วก็ซักไซ้คุณยายทองสุกต่างๆ ซึ่งคุณยายทองสุกก็ตอบได้อย่างแจ่มแจ้งเห็นจริง ราวกับไปอยู่ในบ้านของผู้หญิงคนนั้นมาตั้งแต่เกิด
พอรุ่งเช้า ปิ่นโต มาถวายคุณยายทองสุกเลย ไม่ต้องกินเผือกมันอีกต่อไปแล้ว แล้วก็มีมาถวายทุกวันนับแต่นั้นมา ที่นี้ไม่ต้องประกาศแล้ว เหล่าผู้คนมาหาเอง แบบปากต่อปาก พอรวบรวมคนได้กลุ่มหนึ่ง คุณยายทองสุก ก็ถามเลยว่า "อยากจะเรียนไปดูเองมั้ยล่ะ" เท่านั้นแหละ ทุกคนก็สมัครเรียน และการสอนวิชชาธรรมกาย ก็บังเกิดขึ้น และเผยขยายไปได้ทั่วประเทศในยุคนั้น ก็ด้วยหลักการนี้แหละครับ
ที่นี้ ถ้าเราอยากเผยแผ่แบบนี้ ก็ลองนำหลักการของครูบาอาจารย์ไปปรับใช้ดู อ้าว แล้วถ้าผมยังไปดูให้ใครไม่ได้ล่ะ ว่าตายแล้วไปไหน แล้วจะไปเผยแผ่แบบนี้ได้อย่างไร อ้าวถ้ายังไม่รู้ ก็เท่ากับตอบตัวเองได้อย่างชัดเจนว่า ไอ้ที่เราเข้าใจว่า เราเข้าถึงวิชชาธรรมกายชั้นสูงแล้วน่ะ มันก็เข้าใจผิดน่ะสิ ยังไงล่ะครับ ก็ตอบตัวเองได้ชัดเจนเลย แล้วก็จะได้ทำความเพียรต่อไป เอาไว้เข้าถึงได้จริงก่อน แล้วค่อยมาคิดใหม่ทำใหม่
#19
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 12:55 PM
#20
โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 01:04 PM
ดังนั้น ขอยกกระทู้นี้ให้เป็นอันดับหนึ่ง เพื่อตอบคำถามผู้สงสัยหลายๆ ท่านที่แวะเวียนผ่านเข้ามาอ่านแล้วกันนะคะ
#21
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 08:07 AM
คนมีดีอวด กับคนไม่มีดีจะอวดแล้วยังอวดดีนี่ไม่เหมือนกันนะครับ ถ้าเขามีดีจริงให้เขาอวดไปเถิด สำคัญเราอย่าเห็นสิ่งที่ดีว่าเลว เห็นสิ่งที่เลวว่าดีก็แล้วกัน แต่คนไม่มีดีจะอวดแล้วไปว่าคนมีดีเขานี่เวรกรรมนักแล นี่ก็ตกนรกเหมือนกันนะครับ
ผมมองในประเด็นที่ว่า ใครอวดอุตริหรือไม่อวด มันอยู่ที่ว่าสิ่งที่เขากล่าวเขาสอนเราได้ เขารู้อย่างไร เขาก็สามารถสอนให้เราไปพิสูจน์สิ่งนั้นได้ นี่มันก็เข้าข่ายรู้จริงสอนได้จริง แต่พวกอิจฉาใส่ความท่านผู้รู้จริงว่ารู้ไม่จริง พวกนี้นั่นแหละครับ บาปเสียยิ่งกว่าบาป
มันอยู่ที่ตัวเราว่ามีทิฎฐิอย่างไร การอวดอุตริคืออวดสิ่งที่ตนเองไม่มี แต่ถ้าเขามีสิ่งที่อวดเขาต้องทำให้เราเห็นแจ้งได้ครับ ง่ายนิดเดียวเราต้องกล้าพิสูจน์ความจริงโดยไม่มีอคติเป็นตัวนำ เพราะถ้าเรามีอกุศลเป็นเงื่อนไข สิ่งที่เราจะพิสูจน์มันจะเป็นไปไม่ได้เลย เราต้องมาสำรวจตัวเราว่า เราปล่อยใจว่างเป็นกลางพอหรือเปล่า เพราะคนที่กล้าอวดอุตริแสดงว่าเขากล้าให้เราพิสูจน์ความรู้ของเขา แต่เราต่างหากไม่เพียงแต่ไม่กล้าพิสูจน์แต่กลับเล่นแทงข้างหลังโดยใช้ความคิดทิฎฐิส่วนตัวที่ยังไม่มีการพิสูจน์อย่างนี้อันตรายครับ.......
#22
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 09:01 AM
อีกทั้งยังเข้าใจไปว่า เขาแทงข้างหลัง ทั้งที่ความเป็นจริง ก็ไม่มีใครแทงใคร เพียงแค่ สาธารณชนยังไม่มั่นใจในผลงาน จึงยังไม่เปิดโอกาสให้ เท่านั้นเอง ซึ่งก็ต้องเป็นการบ้านของเราแล้วล่ะว่า เราจะทำอย่างไร แทนที่จะโทษสาธารณชน
ซึ่งผมมองแล้ว ก็ไม่ต่างจาก ชาวบ้านผู้มีความสามารถ เพาะปลูกพืชได้เก่ง แต่กลับขายไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ศึกษาตลาด แล้วปลูกพืชที่ตรงกับความต้องการของตลาด หรือสร้างตลาดพืชของเราขึ้นมา แต่ชาวบ้านผู้นั้น กลับเอาแต่เที่ยวโทษว่า รัฐบาล และสาธารณชน ว่าไม่สนับสนุนผลงานของตน แทนที่จะเอาเวลาไปคิดโทษสิ่งแวดล้อม ควรคิดใหม่ทำใหม่ดีกว่าว่า ตัวเราต้องก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ไปได้อย่างไรจะดีกว่าครับ
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมชอบยกเป็นกำลังใจให้ตัวเอง คุณใสแจ๋วจะนำไปใช้ก็ได้นะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์คือ
เรื่องราวของเศรษฐีผู้หนึ่ง ที่สร้างกุฏิที่สวยงาม ถวายพระพุทธเจ้าในอดีต แต่กลับถูกโจรใจบาป จุดไฟเผากุฏิเสียวอดวาย แทนที่เศรษฐีจะตีโพยตีพายว่า ทำไมทำดีไม่ได้ดี ทำไมโจรมาเผา ทำไมพระสงฆ์ และชาวบ้านไม่ช่วยกันดูแล ปล่อยให้โจรเผากุฏิได้
แต่เศรษฐี กลับตบมือหัวเราะ บอกว่า ดีจริงๆ วันพรุ่งนี้จะสร้างกุฏิถวายพระพุทธเจ้าใหม่ให้ใหญ่และสวยงามกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก ขอบคุณโจรที่มอบบุญใหญ่นี้ให้ เป็นต้น
#23
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 11:12 AM
เพราะผมรู้ว่านี่คือ "โลกธรรม" มีลาภก็ต้องมีเสื่อมลาภ มียศก็ต้องมีเสื่อมยศ มีนินทาก็ต้องมีสรรเสริญ มีสุขก็ต้องมีทุกข์คละเคล้ากันไป อีกอย่างผมเห็นว่า ความเห็นของผู้อื่นที่วิจารณ์ตัวเรานั้น คือ กระจกเงาที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนแท้ของเรา (แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ) พิสูจน์สิครับ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นถึงตัวตนจริงแท้ของพี่ (ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน) ผมขอยกตัวอย่างกระทู้ที่พี่ภาโณตม์ (มองอย่างแมว) ได้ตั้งให้เพื่อแสดงความชื่นชมยินดีกับผมก็ได้ หากจะถามว่าผมมีความรู้สึกอย่างไร? ผมรู้สึกขอบคุณทุกแรงใจที่เป็นกำลังใจให้กับผม แต่ผมจะวางใจเป็นกลางๆ ไม่ยินดียินร้ายกับคำสรรเสริญเหล่านั้น และไม่เคยเก็บเอามาเป็นทุกข์หมกไว้ในใจด้วยว่า "เอ!!! ทำไมมีคนสรรเสริญเราแค่นี้เอง สมาชิกบอร์ดก็มีเยอะแยะ ทำไมไม่มาชื่นชมผมสัก ๑oo เสียงล่ะ เฮ้อ! น่าน้อยใจจัง ตัวเรานี่คงบุญน้อยวาสนาน้อยกระมัง จึงต้องอาภัพอับโชคเช่นนี้" ซึ่งเหตุผลที่ผมไม่มีความคิดเช่นนี้ก็เพราะ "ผมไม่ติดอยู่กับโลกธรรม ๘ ยังไงล่ะครับ ใครจะสรรเสริญ หรือไม่สรรเสริญ ใครจะอนุโมทนาหรือไม่ ผมก็เฉยๆ วางใจเป็นกลางเสีย แค่นี้ทุกข์ก็ไม่เกิดกับตัวเราแล้ว" ทีนี้ผมขอย้อนถามพี่บ้างละกันนะครับ ใครกันหนอ? ที่เป็นคนพยายามเจรจาประนีประนอมด้วยเหตุและผล และพยายามหาที่ให้พี่สามารถแสดงความเห็นบนบอร์ดนี้ได้ครับ? ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้กระทู้ของพี่ก็ถูกลบไปเสียเป็นส่วนมาก และต้องขอชี้แจงด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างเปิดเผยไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า "ผมไม่เคยแทงใครข้างหลังนะครับ (เขาถามมาอย่างไร ผมก็ตอบไปตามนั้น) เพราะผมเป็นคนที่ประพฤติตัวเสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอดบนบอร์ดนี้ ใช่ว่าผมเองจะไม่เคยพลาดพลั้ง ผมเองก็เคยพลาดพลั้งมาแล้วเหมือนกันในกระทู้ก่อนๆ แต่เมื่อผมรู้ชัดว่าสิ่งที่ผมกระทำไปนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมก็จะกล่าวคำขอโทษต่อทุกท่านอย่างไม่รู้สึกเคอะเขิน อย่างไม่รู้สึกละอายในทำนองว่า จะไปขอโทษมันทำไม ทำอย่างนี้เดี๋ยวก็เสียเหลี่ยมหมดเดะ (จะละอายไปทำไม? เพราะความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย จะโกหกไปทำไม? ในเมื่อผมทราบดีแก่ใจว่าหากทำเช่นนั้น ๑. คุณธรรมในตัวผมหาย ๒. บารมีอื่นๆ ที่เหลืออีก ๙ ประการต้องสูญสลาย ๓. ตายแล้วตกนรก)" ทองแท้ย่อมไม่กลัวต่อเปลวไฟนะครับ ผมขอเป็นกำลังใจให้พี่ และหากมีปัญหาอะไรที่ทำให้รู้สึกคับข้องใจก็สามารถคุยหลังไมค์ (PM) กับผมได้ทุกเมื่อนะครับ ผมยินดี และขอขอบคุณสำหรับความเห็นด้วยครับ
#24
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 11:34 AM
ที่นี้ขออธิบายแบบกลางๆ ต่อหัวข้อกระทู้ดูใหม่อีกทีนะครับ
คนที่มักจะชอบคุยโวโอ้อวดว่า ตัวเองเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นธรรมะนั่น ธรรมะนี่
ทั้งๆที่ไม่เห็นอะไรเลย หรือพูดเวอร์ไปเอง
เข้าข่ายอวดอ้าง อวดอุตตริ แบบนี้ถ้าเป็นพระสงฆ์จะปาราชิกทันที
ถ้าเป็นฆราวาส จะมีกรรมอย่างอื่น นอกจากกรรมมุสาวาท หรือไม่อย่างไรครับ?
อ่านจากข้อความคำถาม อาจจะไม่ชัดเจนเท่าไร คำว่าเห็นนั่นเห็นนี่ นั้นเห็นอะไร ถ้าเขาเห็นแล้วเอามาเล่าก็น่าจะถือว่าเขาเห็นนะครับ แสดงว่าอย่างน้อยก็ต้องเคยเห็น ไม่ถือว่าอวดอุตตริ เพราะเขาเห็นของเขา ที่นี้ผู้ถามบอกว่าเขาโอ้อวด ตรงนี้ก็ต้องมาวิเคราะห์ว่า โอ้อวดสิ่งที่เห็นก็ถือว่าไม่ผิด แต่ผู้ถามบอกว่าทั้งๆ ที่ไม่เห็นอะไรเลย แสดงว่าผู้ถามรู้วาเขาไม่เห็นอะไรเลย ถ้ารู้ว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย สิ่งที่พูดคือมุสา ก็อย่าไปเชื่อก็จบ...
ส่วนผลกรรมก็แล้วแต่เจตนาของผู้โอ้อวดท่านนั้น
ย้อนมาถึงเรื่องการเผยแผ่วิชชาธรรมกายนั้น ผมว่าจะเผยแผ่วิธีไหน สุดท้ายต้องมาวัดผลกัน นั่นคือสอนให้เขาเข้าถึงธรรมกายได้ไหม ต่อวิชชา 18 กายให้เขาได้ไหม เขาอยากเรียนสูงกว่านั้นเรามีความรู้สอนเขาไหม อันนี้คือผลที่เราต้องทำได้
ยังมีอีกความคิดหนึ่งที่หลายๆ คนชอบยืมประโยคนี้มาพูดกันติดปาก "เห็นนะเห็นจริงแต่สิ่งทีเห็นนะไม่จริง" ข้อความนี้มีความถูกต้องอยู่ระดับหนึ่ง แต่หลักการเห็นจริงและนำไปใช้ประโยชน์ได้นะมีอยู่ แต่ขั้นนี้หลายคนเข้าไม่ถึง วิปัสสนูปกิเลส มันหลอกเราตลอด การเห็นอะไรในทางวิชชาธรรมกยจึงต้องตรวจสอบกันมาก กว่าจะสรุปมาเป็นข้อมูลได้สักเรื่องหนึ่ง แต่โดยหลักๆ แล้ว สิ่งที่รู้ที่เห็นต้องนำมาใช้กำจัดทุกข์ กำจัดภัย กำจัดโรค กำจัดอวิชชาได้ครับ
เอาเป็นว่าเราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันนะครับ ผิดถูกประการใดก็อภัยให้กัน ความรู้เหมือนเปลวเทียน ยิ่งต่อยิ่งติด สว่างไสวครับ
#25
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 01:06 PM
ดังนั้นอาบัติในข้อนี้ถ้าเป็นการอวดคุณธรรมที่มีในตนจริงก็ไม่ถือเป็นการอวดอุตริมนุษธรรมสำหรับพระภิกษุ แต่ก็ยังถูกปรับอาบัติทุกกฎคือตำหนิว่าไม่เหมาะไม่ควรครับ
สำหรับเรื่องเจตนาในการกล่าวโทษกันว่าใครรู้จริงหรือใครเห็นจริง ใครกันแน่ที่เห็นจริงรู้จริง ใครกันแน่ที่รู้ไม่จริงเห็นไม่จริงนั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คิดไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรครับ
เพราะกำเนิดเดิมที่นำให้เราต้องกลับมาเกิดอีกก็คือ อวิชชา ความไม่รู้ ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดจะสามารถเห็นธรรม หรือรู้ธรรม ณ ภายในได้ก็ตามหากแต่ถ้ายังไม่สามารถดับ อวิชชา คือความไม่รู้ได้ ก็ยังไม่ถือว่าตนนั้นมีความรู้และความเห็นที่สมบูรณ์ ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า หรือพระอรหันต์เจ้า ถ้ารู้และเห็นหรือญาณทัศนะยังไม่ชัดเจนก็มีค่าเหมือนไม่รู้ เพราะอวิชชาที่เป็นข้าสึกของญาณทัศนะยังไม่ดับไปนั่นเองครับ
ดังนั้นผู้ที่ยังกำจัดอวิชชาไม่ได้ก็ต้องหมั่นศึกษา ค้นคว้า พิสูจน์ และลองปฏิบัติเพื่อแสวงหาความรู้กันต่อไปครับ ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลไม่อวดแหละดีที่สุดครับเพราะถ้าอวดเมื่อไหร่นั่นแสดงว่าเรานี้พร้อมที่จะให้บุคคลอื่นมาทดสอบรู้และญาณทัศนะของเราแล้ว เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าเราท่านประกาศเลยชัดๆ ว่าเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ ตรัสเห็น แจ้งทั้งโลกและธรรม ดังนั้นเมื่อท่านประกาศเช่นนี้ท่านย่อมไม่หวั่นว่าบัณฑิตนักปราชญ์ที่ไหนจะเข้ามาทดสอบรู้และญาณของท่านเพราะท่านรู้แจ้งเห็นจริง คนรู้แจ้งเห็นจริงจะไม่กลัวต่อคำถามและการทดสอบใดๆ ครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#26
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 03:51 PM
1. ตอนนั้นหลวงพ่อธัมมชโยยังเป็นเด็ก ไปเรียนสมาธิกับคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งก็มีแขกมาพบคุณยายทุกวัน หลวงพ่อยังเด็กก็นั่งฟังคุณยายต้อนรับแขกทุกวัน มีอยู่วันหนึ่ง มีแขกที่ไม่พึงประสงค์ เข้ามาพบ โดยชายคนหนึ่ง มาพบคุณยาย แล้วเล่าให้คุณยายฟังว่า หลายคืนก่อน เขานั่งอยู่หน้าบ้าน เห็นข้างนอกมีกลุ่มควันลอยมารวมตัวกลายเป็นรูปคนตัวใหญ่มาก แล้วก้าวข้ามหลังคาบ้านไป จากนั้น เขาก็ถามคุณยายว่า ที่เขาเห็นนั้นคือ อะไร
คุณยายท่านก็หลับตาทำสมาธิไปสักพัก แล้วก็ลืมตาบอกว่า ที่คุณเห็นนั้น เขาเรียกว่า "เปรต"
ชายคนนั้นสวนมาทันทีว่า "ผมไม่เชื่อว่า เปรตมีจริง" แต่แล้วก็ถามต่อว่า "แล้ว เปรตตนนั้น มาให้ผมเห็นทำไม"
คุณยายก็ตอบว่า "เปรตตนนั้น เป็นญาติของคุณเอง เป็นมัคทายก แต่โกงวัด ตายแล้วจึงมาเป็นเปรต"
ชายคนนั้นสวนมาต่อว่า "ผมไม่เชื่อ ผมไม่เคยมีญาติเป็นมัคทายก" แล้วก็ถามต่อว่า "แล้วญาติของผมคนนั้นชื่อว่าอะไร"
คุณยายก็ตอบว่า "ญาติคนนั้น ชื่อ ..."
ชายคนนั้นสวนมาต่ออีกว่า "ผมไม่เชื่อ ผมไม่เคยมีญาติชื่อ... นี้" แล้วก็ยกมือไหว้คุณยาย 1 ทีแล้วลากลับไป
ตอนนั้น หลวงพ่อยังเด็ก จึงบอกคุณยายไปว่า "ยายไปบอกเขาทำไม เขาไม่เชื่อเรานะ" คุณยายตอบว่า "ยายเห็นอย่างไร ยายก็พูดไปอย่างนั้น ไม่เป็นไรหรอก"
แต่ต่อมาไม่กี่วัน ชายคนเดิมก็มาหาคุณยายใหม่ แล้วบอกว่า "ผมไปสืบมาแล้ว ผมเคยมีญาติชื่อ... นี้จริง และเป็นมัคทายกด้วย เคยโกงของวัดหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผมก็ไม่เชื่อว่า เปรตมีจริง" แล้วก็ลากลับไป (ผมว่า ถึงปากเขาจะไม่เชื่ออย่างไร แต่ใจของเขาก็ยอมรับไปเรียบร้อยแล้ว : หัดฝัน)
2. อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องของคุณโน๊ต อุดมแต้พานิช เหตุที่นำมาพูด เพราะผมรู้จักกับญาติของเขานะครับ จึงยืนยันได้ว่าจริง คุณโน๊ต ให้ญาติเขียนเคสมาถามว่า "กรรมใด เขาถึงกลัวแมลงสาบ เห็นไม่ได้ ถ้าเห็นจะต้องจับออกไป ไม่งั้นจะไม่ยอมอยู่ในห้องนั้นเลย" คุณครูตอบว่า "ไม่ใช่กรรมในอดีตหรอก แต่เป็นเพราะตอนเด็กๆ แมลงสาบเคยบินเข้าใส่หน้า เลยฝังใจ" เท่านั้นแหละ ภาพในอดีตที่เคยลืมเลือนไปแล้ว ก็มาปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ของแท้ทนการพิสูจน์อย่างนี้นี่เองใช่แล้วครับ ซึ่งถ้าเราทุกคนฝึกฝนตนเองไปเรื่อยๆ สักวันเราก็จะเป็นของแท้เช่น ครูบาอาจารย์ (ของแต่ละท่าน) นะครับ
#27
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 07:49 PM
ท่านจะคอยแนะนำเสมอๆ หลังจากนั้นก็นั่งมาเรื่อยๆ
แต่จะเอาประสบการ์ไปเล่าให้น้องๆฟัง เพราะน้องๆยังไม่เห็นอะไร
คอนแนะและคอยเล่าประสบการณ์ว่าเห็นอะไรมาบ้าง
พระอาจารย์ท่านก็ให้แนะนำน้องๆด้วย
มีความสุขที่ได้บอก คอยแนะนำ
แต่กับคนที่ไม่เห็นแล้วเอามาเล่านี่ไม่รู้จุดประสงค์
ก็ไม่รู้ว่าจะเล่าไปทำไม
#28
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 01:15 AM
เรียนคุณ ฮุ๋ยน้อย บังเอิญผมก็ไม่เห็นธรรม ณ ภายในเหมือนกับที่คุณ ฮุ๋ยน้อย ได้พาดพิงมานะครับ
ถ้าจะถามว่าผมจะเล่าไปทำไม ก็ต้องขอชี้แจงว่าความรู้ที่ผมได้ทรงจำมานั้น ผมทรงจำมาจากพระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์
ดังนั้นถึงแม้คุณ ฮุ๋ยน้อย จะสามารถเห็นสิ่งใดได้ก็ตาม ก็ควรจะเคารพสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเรานะครับ โดยเฉพาะหากเป็นความรู้ในพระไตรปิฎกด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฏก พระอภิธรรมปิฎก ส่วนผู้ใดที่ได้รับรู้รับฟังแล้วจะเกิดประโยชน์หรือไม่ก็อยู่ที่กำลังสติปัญญาของแต่ละคนครับ
ดังนั้นเป้าหมายหลักของการศึกษาในพระพุทธศาสนาก็คือการกำจัดกิเลส ตัณหา ที่มีอวิชชา คือความไม่รู้เป็นตัวนำ ตราบใดที่รู้และญาณทัศนะอันเป็นเครื่องกำจัดอวิชชายังไม่บังเกิดอวิชชายังไม่ดับไป ตราบนั้นก็อย่าเพิ่งดีใจไปว่าเรานี้เก่งแล้ว ดีแล้วประเสริฐแล้วที่สามารถเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น อย่าหลงตัวเองไปครับ เพราะมานะทิฐิก็คือกิเลสตัวหนึ่งที่ดองให้หลงติดในวัฎฎะสงสารตัวหนึ่งเหมือนกันครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#29
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 07:54 AM
#30
โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 09:56 AM
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม