ขอความกรุณาผู้รู้ช่วยแนะนำทีครับ ขอขอบคุณล่วงหน้า
ไม่เข้าใจความหมายของวาทะธรรมประจำวันที่ว่า.....
เริ่มโดย คนไทย, Apr 21 2008 11:34 PM
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 21 April 2008 - 11:34 PM
#2
โพสต์เมื่อ 22 April 2008 - 12:05 AM
ก็เรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราขัดข้องหมองใจ ถ้าเป็นเรื่องของเราก็ปล่อยวางครับ อย่าไปเอามาเป็นอารมณ์
แต่ถ้าเรื่องใดที่ทำให้พระพุทธศาสนาต้องมัวหมอง เราห้ามปล่อยวางครับ
ด้วยความเคารพ
แต่ถ้าเรื่องใดที่ทำให้พระพุทธศาสนาต้องมัวหมอง เราห้ามปล่อยวางครับ
ด้วยความเคารพ
Prince JuNNoi of LoNDon
...ปล่อยให้่เวลามันพาไป...
...สำหรับฉัน เธอคือ สิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่ชีวิตนี้จะมีได้...
...ปล่อยให้่เวลามันพาไป...
...สำหรับฉัน เธอคือ สิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่ชีวิตนี้จะมีได้...
#3
โพสต์เมื่อ 22 April 2008 - 07:11 AM
คือถ้าเป็นเรื่องที่มากระทบตัวเราก็ให้ทำใจวางอุเบกขา คือวางเฉย ไม่วิตกกังวล วางใจเป็นกลาง ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด แต่ถ้าเรื่องใดที่กระทบกระเทือนต่อพระศาสนา จะทำให้ศาสนามัวหมอง หรือมีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย หรือมีการกระทำที่เป็นการดูหมิ่นพระรัตนตรัยจากผู้ที่ไม่หวังดี ถ้าเป็นเช่นนี้เราไม่ควรวางเฉยนิ่งดูดาย โดยเฉพาะพุทธบริษัทสี่ (พระภิษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา)จะต้องลุกขึ้นมาปกป้องรักษาพระพุทธศาสนาอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยทีเดียว...สาธุครับ
พุทธบริษัทสี่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว
พุทธบริษัทสี่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว
#4
โพสต์เมื่อ 22 April 2008 - 11:27 AM
เรื่องส่วนตัวให้วางอุเบกขา.....ถ้ามีเรื่องที่มากระทบตัวเราก็ให้ทำใจวางอุเบกขา คือวางเฉย ไม่วิตกกังวล อย่าเอาเรื่องเหล่านนั้นมาเป็นอารมณ์ วางใจเป็นกลาง ๆที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด
เรื่องพระศาสนาให้เอาอุเบกขาวาง...ถ้ามีเรื่องมากระทบกระเทือนพระพุทธศาสนา ให้เอาอุเบกขาวางใว้ไกลๆก่อน แล้วก็มาช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนาใว้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องยอม
เรื่องพระศาสนาให้เอาอุเบกขาวาง...ถ้ามีเรื่องมากระทบกระเทือนพระพุทธศาสนา ให้เอาอุเบกขาวางใว้ไกลๆก่อน แล้วก็มาช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนาใว้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องยอม
#5
โพสต์เมื่อ 22 April 2008 - 09:49 PM
ขอเสริมทุกท่านอีกนิดนะครับ อุเบกขาในที่นี้หากพูดถึงโดยรวมแล้วหมายถึงการวางใจของเราครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องพระศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางพระศาสนา ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องภายนอกเท่านั้น รวมถึงเรื่องภายในใจนั่นก็คือการทำสมาธิด้วยนั่นเองครับ ซึ่งโดยหลักแท้จริงของวัดธรรมกายนั้น การทำสมาธิจะยึดอุเบกขาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะเห็นหรือไม่เห็น ต้องวางใจให้นิ่งเฉยซึ่งก็คืออุเบกขาที่ศูนย์กลางกายตลอด ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น ไม่อยากเข้าถึง นั่นก็คืออุเบกขาเช่นกันครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#6
โพสต์เมื่อ 23 April 2008 - 04:13 PM
นอกจากที่ทุกท่านได้แสดงความเห็นมาแล้ว โดยส่วนตัวเห็นว่า วัตถุประสงค์ของคติเตือนใจข้อนี้คือ หากมีผู้ใดหรือสิ่งใดที่มากระทบเรา ให้วางอุเบกขา ไม่ยินดียินร้าย ไม่โต้ตอบ เหมือนแผ่นดินที่ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะถูกราดรดด้วยของหอมหรือของเหม็น ของเย็นหรือของร้อน ดังเช่น คุณยายอาจารย์ ที่ท่านไม่เดือดร้อนไม่ว่าจะถูกคนรังเกียจ หรือกลั่นแกล้งอย่างใดก็ตาม ซึ่งจะทำให้ไม่มีวิบากอกุศลกรรมติดตัวไปในเบื้องหน้า (จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เพียงไม่โต้ตอบอย่างเดียว คุณยายท่านปล่อยวางได้แม้กระทั่งความรู้สึกรับรู้ในสิ่งเหล่านั้น ดังที่ท่านเคยบอกว่า ยายไม่รู้สึกไม่ชอบใครเลย เพราะยายไม่อยากให้มีคนไม่ขอบยายในภพชาติต่อๆ ไป)
แต่ในทางกลับกัน หากเป็นเรื่องที่กระทบกับพระศาสนาแล้ว หากทุกคนวางเฉยไม่ยินดียินร้าย พุทธศาสนาคงถูกผู้ไม่หวังดีหรือผู้ไม่เข้าใจ ทำร้ายจนกระทั่งไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ดังที่คุณยายท่านเคยบอกว่า (เป็นเนื้อความตามที่จำได้นะคะ ไม่ใช่คำพูดคำต่อคำ) เรื่องส่วนตัวใครจะทำอะไรยาย ยายไม่สนใจ แต่ถ้าใครจะมาทำให้งานส่วนรวมของพระศาสนาหรือของหมู่คณะเสียหาย ยายไม่ยอม
แต่ในทางกลับกัน หากเป็นเรื่องที่กระทบกับพระศาสนาแล้ว หากทุกคนวางเฉยไม่ยินดียินร้าย พุทธศาสนาคงถูกผู้ไม่หวังดีหรือผู้ไม่เข้าใจ ทำร้ายจนกระทั่งไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ดังที่คุณยายท่านเคยบอกว่า (เป็นเนื้อความตามที่จำได้นะคะ ไม่ใช่คำพูดคำต่อคำ) เรื่องส่วนตัวใครจะทำอะไรยาย ยายไม่สนใจ แต่ถ้าใครจะมาทำให้งานส่วนรวมของพระศาสนาหรือของหมู่คณะเสียหาย ยายไม่ยอม
#7
โพสต์เมื่อ 23 April 2008 - 08:15 PM
ใช่ครับ ...สาธุ
#8
โพสต์เมื่อ 24 April 2008 - 11:02 AM
QUOTE
วางอุเบกขา ไม่ยินดียินร้าย ไม่โต้ตอบ เหมือนแผ่นดินที่ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะถูกราดรดด้วยของหอมหรือของเหม็น ของเย็นหรือของร้อน
- สนับสนุน...หากจะทำความเข้าใจอุเบกขาเพิ่มเติม ควรศึกษาเรื่องมหาพรหมนารทะQUOTE
หากเป็นเรื่องที่กระทบหรือเป็นภัยกับพระศาสนาแล้ว หากทุกคนวางเฉยไม่ยินดียินร้าย พุทธศาสนาคงถูกผู้ไม่หวังดีหรือผู้ไม่เข้าใจ ทำร้ายจนกระทั่งไม่สามารถดำรงอยู่ได้
- พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ...เคยอธิษฐานต่อหน้าพระประธาน ณ วัดบางคูเวียง...หากธรรมใดเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา...ขอพระองค์โปรดประทานธรรมนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด...หากธรรมใดไม่เกิดประโยชน์ต่อพระศาสนานั้นไซร้...ขอทรงอย่าประทานแก่ข้าพระองค์เลย...ข้าพระองค์จักขอเป็นทนายแก้ต่างให้พระศาสนาทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC
#9
โพสต์เมื่อ 24 April 2008 - 09:50 PM
ผมขอขอบคุณทุกๆท่านที่ได้มาให้ความรู้นะครับ ผมเพิ่งเข้าใจอย่างแท้จริงตอนนี้เอง สาธุ
#10
โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 11:08 AM
เรื่องส่วนตัวให้วางอุเบกขา คือ การปล่อยวาง ไม่หวั่นไหวใน โลกธรรม 8 มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์
เรื่องพระศาสนาให้เอาอุเบกขาวาง คือ ให้รีบทำ ทาน ศีล ภาวนา บุญทุกๆบุญ อย่าปล่อยวาง ครับ
เรื่องพระศาสนาให้เอาอุเบกขาวาง คือ ให้รีบทำ ทาน ศีล ภาวนา บุญทุกๆบุญ อย่าปล่อยวาง ครับ