เพื่อน ๆ คิดยังไงกับการที่เราทำบุญแล้วให้ประกาศชื่อกับจำนวนเงิน เช่น นายคนนี้ทำบุญนี้เป็นจำนวน 1 กอง หรือจำนวน 1 ล้านบาท เพื่อน ๆ คิดว่าดีหรือไหม ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อย เพราะผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงเวลาคนถาม แต่รู้แค่ว่ามันมีทั้งดีและข้อเสีย
เรื่องการทำบุญแล้วประกาศชื่อพร้อมประกาศจำนวนเงิน
เริ่มโดย เด็กผู้น้อย, Jun 30 2008 06:32 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 30 June 2008 - 06:32 PM
#2
โพสต์เมื่อ 30 June 2008 - 06:45 PM
การทำบุญทำความดี เหมือนการปิดทองหลังพระ
ถ้าปิดเฉพาะด้านหน้า ไม่ปิดด้านหลัง พระนั้นก็จะเป็นพระที่ไม่สมบูรณ์
ถ้าปิดเฉพาะด้านหลังไม่ปิดด้านหน้าก็เช่นกัน
แต่ให้พึงสังวรไว้ว่า ไม่ว่าจะปิดด้านหน้า หรือด้านหลัง ก็ให้ทำเถิด อย่าไปตำหนิติเตียนเลย
บางคนปิดเฉพาะด้านหลัง ปิดไปเถิด ปิดให้มันล้นออกมาด้านหน้า
บางคนปิดเฉพาะด้านหน้า ก็ให้ทำเถิด ทำจนมันล้นไปด้านหลัง
จบงับ
ถ้าปิดเฉพาะด้านหน้า ไม่ปิดด้านหลัง พระนั้นก็จะเป็นพระที่ไม่สมบูรณ์
ถ้าปิดเฉพาะด้านหลังไม่ปิดด้านหน้าก็เช่นกัน
แต่ให้พึงสังวรไว้ว่า ไม่ว่าจะปิดด้านหน้า หรือด้านหลัง ก็ให้ทำเถิด อย่าไปตำหนิติเตียนเลย
บางคนปิดเฉพาะด้านหลัง ปิดไปเถิด ปิดให้มันล้นออกมาด้านหน้า
บางคนปิดเฉพาะด้านหน้า ก็ให้ทำเถิด ทำจนมันล้นไปด้านหลัง
จบงับ
#3
โพสต์เมื่อ 30 June 2008 - 08:12 PM
ความเห็นส่วนตัว.. สิ่งนี้.. ดีอยู่แล้ว
แต่การที่บางคนอาจรู้สึกไม่ดีเพราะอะไร.. คนนั้นคงต้องถามใจตัวเอง ?
แต่หากคนผู้นั้นสามารถปรับใจได้ หันมาชื่นชมอนุโมทนาบุญกับผู้อื่น ในแง่ที่เขาผู้นั้น..
1. สามารถพยายามหาทรัพย์มาทำบุญได้ขนาดนั้น(จำนวนเท่าไร เท่าไร)
2. สามารถสละความตระหนี่ออกจากใจได้ และนำทรัพย์นั้นออกทำบุญ
ทำใจได้เช่นนี้ ก็จะพลอยได้บุญไปด้วย แม้จะเป็นเพียงอนุโมทนาบุญ
แต่บุญ แม่น้อยนิดประดุจหยดน้ำ.. หยดมากเข้าสักวันก็เต็มตุ่มได้เช่นกัน
วัตถุประสงค์ของการประกาศรายชื่อผู้ทำบุญ และจำนวนกอง จำนวนเงิน
ก็เพื่อให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาเพื่อให้ได้บุญไปด้วยนั่นเอง..
แต่หากผู้ใดคิดอีกแบบ.. คือคิดอิจฉาริษยา.. ก็จะได้วิบากกรรมติดตัวไปแทนจ๊ะ..
บุญมารออยู่ตรงหน้าแล้ว.. ขึ้นอยู่กับใครอยากได้บุญ หรือได้บาปเท่านั้นเอง..
แต่การที่บางคนอาจรู้สึกไม่ดีเพราะอะไร.. คนนั้นคงต้องถามใจตัวเอง ?
แต่หากคนผู้นั้นสามารถปรับใจได้ หันมาชื่นชมอนุโมทนาบุญกับผู้อื่น ในแง่ที่เขาผู้นั้น..
1. สามารถพยายามหาทรัพย์มาทำบุญได้ขนาดนั้น(จำนวนเท่าไร เท่าไร)
2. สามารถสละความตระหนี่ออกจากใจได้ และนำทรัพย์นั้นออกทำบุญ
ทำใจได้เช่นนี้ ก็จะพลอยได้บุญไปด้วย แม้จะเป็นเพียงอนุโมทนาบุญ
แต่บุญ แม่น้อยนิดประดุจหยดน้ำ.. หยดมากเข้าสักวันก็เต็มตุ่มได้เช่นกัน
วัตถุประสงค์ของการประกาศรายชื่อผู้ทำบุญ และจำนวนกอง จำนวนเงิน
ก็เพื่อให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาเพื่อให้ได้บุญไปด้วยนั่นเอง..
แต่หากผู้ใดคิดอีกแบบ.. คือคิดอิจฉาริษยา.. ก็จะได้วิบากกรรมติดตัวไปแทนจ๊ะ..
บุญมารออยู่ตรงหน้าแล้ว.. ขึ้นอยู่กับใครอยากได้บุญ หรือได้บาปเท่านั้นเอง..
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#4
โพสต์เมื่อ 30 June 2008 - 08:46 PM
วันก่อนผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง บอกว่า คนไทยมีพรหมวิหาร4 คือ เมตตา กรุณา อิจฉา ริษยา
ฟังแล้วอึ้ง...เพราะเบี่ยงเบนจากความจริง...แต่ก็เป็นมุมสะท้อนว่าสังคมปัจจุบันหย่อนมุทิตาจิตจริงๆ คือ มักเห็นคนอื่นดี-เด่นกว่าเราไม่ได้ หรือ ดีเข้าตัว-ชั่วให้ผู้อื่น สื่อก็ลงแบบประเภทจับผิดผู้อื่น-จนทำให้ลืมจับผิดตนเอง ใครมาบอกบุญก็เกิดความระแวงว่าเขาจะหลอกเอาเงินเราอีกต่างหากจนลืมหลักวิชาการฆ่าความตระหนี่
ที่เห็นก็ตัวอย่างสังคมวัดฯนี่ล่ะที่มีมุทิตาจิต แสดงออกด้วยความจริงใจปรารถนาให้ผู้อื่มมีความสุข
- หากเราขาดมุทิตาจิต ขาดทิฐิที่ดีงาม เราจะมองคนที่ทำบุญมากเช่นนี้ว่า ยกตนข่มท่าน อวด(รวย)บุญ หรือ รู้สึกว่าเราจน ไม่คู่ควรทำบุญ เพราะทรัพย์เราน้อย ฯลฯ ก็คงช่วยไม่ได้เพราะตาเรามันมืดบอด
- หากเราเปี่ยมด้วยมุทิตาจิต สัมมาทิฐิ เราคงอัศจรรย์ใจ อดปลื้มไม่ได้ต้องรีบอนุโมทนาบุญเขา และ รีบตั้งความปรารถนาประกอบกุศลกิจเท่าที่โอกาส และกำลังกาย ใจ และทรัพย์จะอำนวย นี่สิที่เรียกว่าตาใสหรือตาดีมีบุญ
เราคงต้องเลือกเอาระหว่างตาบอดกับตาใสนะ
ฟังแล้วอึ้ง...เพราะเบี่ยงเบนจากความจริง...แต่ก็เป็นมุมสะท้อนว่าสังคมปัจจุบันหย่อนมุทิตาจิตจริงๆ คือ มักเห็นคนอื่นดี-เด่นกว่าเราไม่ได้ หรือ ดีเข้าตัว-ชั่วให้ผู้อื่น สื่อก็ลงแบบประเภทจับผิดผู้อื่น-จนทำให้ลืมจับผิดตนเอง ใครมาบอกบุญก็เกิดความระแวงว่าเขาจะหลอกเอาเงินเราอีกต่างหากจนลืมหลักวิชาการฆ่าความตระหนี่
ที่เห็นก็ตัวอย่างสังคมวัดฯนี่ล่ะที่มีมุทิตาจิต แสดงออกด้วยความจริงใจปรารถนาให้ผู้อื่มมีความสุข
- หากเราขาดมุทิตาจิต ขาดทิฐิที่ดีงาม เราจะมองคนที่ทำบุญมากเช่นนี้ว่า ยกตนข่มท่าน อวด(รวย)บุญ หรือ รู้สึกว่าเราจน ไม่คู่ควรทำบุญ เพราะทรัพย์เราน้อย ฯลฯ ก็คงช่วยไม่ได้เพราะตาเรามันมืดบอด
- หากเราเปี่ยมด้วยมุทิตาจิต สัมมาทิฐิ เราคงอัศจรรย์ใจ อดปลื้มไม่ได้ต้องรีบอนุโมทนาบุญเขา และ รีบตั้งความปรารถนาประกอบกุศลกิจเท่าที่โอกาส และกำลังกาย ใจ และทรัพย์จะอำนวย นี่สิที่เรียกว่าตาใสหรือตาดีมีบุญ
เราคงต้องเลือกเอาระหว่างตาบอดกับตาใสนะ
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC
#5
โพสต์เมื่อ 30 June 2008 - 10:37 PM
การประกาศชื่อและจำนวนเงินถ้าคิดในแงลบก็ลบ ถ้าคิดในแง่บวกก็บวกค่ะก็คือเมื่อคนที่สละทรัพย์ทำบุญได้ยินได้ฟังก็ยิ่งปลื้มใจในบุญที่ตนเองกระทำไป แถมคนที่ได้ยินอาจเป็นญาติพี่น้องที่ไปด้วยกันหรือบางทีภุมมเทวาหรืออากาศเทวาแถวนั้นหากมีจิตอนุโมทนาเขาก็ย่อมได้บุญไปด้วยค่ะ ส่วนแง่ลบส่วนมากมาจากความหมั่นไส้ของผู้ฟังคิดปรุงแต่งไปว่า ทำบุญเอาหน้า เอาชื่อเสียง อย่างนี้แทนที่จะได้มุทิตา ได้บุญไปกลับได้บาปแทนค่ะ เวลาวิบากกรรมส่งผล ยามที่เราประกอบกิจการงานใดๆได้สำเร็จก็จะพลอยมีคนหมั่นไส้ค่ะ แทนที่จะมีคนชื่นชม เพราะวิบากกรรมปรุงแต่งให้เกิดเหตุเช่นนั้นค่ะ
#6
โพสต์เมื่อ 01 July 2008 - 12:16 AM
ประกาศเพื่อให้เจ้าของปัจจัย(เงิน) ปลื้ม...ใจเขาก็จะผ่องใส ได้บุญเพิ่ม (ให้สังเกตุ หน้าเขาจะบาน) ยิ้มๆ น่ะ
คนอื่นที่ได้ยินก็จะได้อนุโมทนาบุญไปกับเขา....ก็ได้บุญเพิ่มอีก
ลองคิดดู เงินเป็นล้าน หรือ ๑ กองก็เถอะ ใช่ว่าจะตัดใจควักออกมาทำกันง่ายๆ
ถ้าเขาทำได้ ให้เรารีบๆอนุโมทนากับเขาไป อย่าปล่อยให้ใจมีโอกาสคิดมิชอบ(อิจฉา ริษยา) จะพกบาปไปโดยมิควร
ใจรับได้ทีละอย่าง คิดให้เป็นบุญ ก็ได้บุญ(ยินดีด้วยเมื่อเห็นผู้อื่นทำดี)
คิดให้เป็นบาป...ก็ได้บาป (ขัดใจ ทนไม่ได้ ทำไมทำได้มากกว่าเรา ให้ประกาศอยากเอาหน้า ได้หน้า..เกินเรา)
เลือกเอาเอง.....นะค้า....
คนอื่นที่ได้ยินก็จะได้อนุโมทนาบุญไปกับเขา....ก็ได้บุญเพิ่มอีก
ลองคิดดู เงินเป็นล้าน หรือ ๑ กองก็เถอะ ใช่ว่าจะตัดใจควักออกมาทำกันง่ายๆ
ถ้าเขาทำได้ ให้เรารีบๆอนุโมทนากับเขาไป อย่าปล่อยให้ใจมีโอกาสคิดมิชอบ(อิจฉา ริษยา) จะพกบาปไปโดยมิควร
ใจรับได้ทีละอย่าง คิดให้เป็นบุญ ก็ได้บุญ(ยินดีด้วยเมื่อเห็นผู้อื่นทำดี)
คิดให้เป็นบาป...ก็ได้บาป (ขัดใจ ทนไม่ได้ ทำไมทำได้มากกว่าเรา ให้ประกาศอยากเอาหน้า ได้หน้า..เกินเรา)
เลือกเอาเอง.....นะค้า....
#7
โพสต์เมื่อ 01 July 2008 - 12:46 PM
ต้องคิดแบบเจ้าหญิงถั่วงอก เจ้าชายปลาทูครับ ทั้งสองเดิมเป็นคนยากจน ขายถั่วงอก ขายปลาทู แต่ต่อมา ได้มาวัด ได้เห็นและได้ยินทางวัดประกาศชื่อคนทำบุญ 1 M
ทั้งสองเกิดความคิดอย่างไร ทั้งสองแทนที่จะคิดเหมือนผู้ไม่มีมุทิตาว่า ประกาศอะไรกันนักหนา ทำบุญเอาหน้านี่นา
แต่ทั้งสองกลับคิดว่า ดีจังว่า ทำอย่างไรเราจะทำบุญ 1 M ได้อย่างนี้ นี่คือ ความคิดสุดยอดครับ
และแล้วทั้งสองไม่ยอมแพ้ ตั้งใจจะทำ 1 M ให้ได้ ได้กลับไปทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ชักชวนคนร่วมบุญ ในที่สุดก็สามารถทำ 1 M ได้สำเร็จ
จากนั้น เงินทองก็ไหลมาเทมา จนได้ฉายาใหม่ว่า เจ้าหญิงถั่วงอก เจ้าชายปลาทู และเจ้าหนูทั้งสอง(ลูกๆ)
ทั้งสองเกิดความคิดอย่างไร ทั้งสองแทนที่จะคิดเหมือนผู้ไม่มีมุทิตาว่า ประกาศอะไรกันนักหนา ทำบุญเอาหน้านี่นา
แต่ทั้งสองกลับคิดว่า ดีจังว่า ทำอย่างไรเราจะทำบุญ 1 M ได้อย่างนี้ นี่คือ ความคิดสุดยอดครับ
และแล้วทั้งสองไม่ยอมแพ้ ตั้งใจจะทำ 1 M ให้ได้ ได้กลับไปทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ชักชวนคนร่วมบุญ ในที่สุดก็สามารถทำ 1 M ได้สำเร็จ
จากนั้น เงินทองก็ไหลมาเทมา จนได้ฉายาใหม่ว่า เจ้าหญิงถั่วงอก เจ้าชายปลาทู และเจ้าหนูทั้งสอง(ลูกๆ)
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#8
โพสต์เมื่อ 01 July 2008 - 02:49 PM
คิดว่าดีมากกว่า เพราะว่าให้คนอื่นร่วมอนุโมทนาในบุญ
และลดความตระหนี่ลงได้ (สำหรับคนที่ตระหนี่มากๆ)
เค้ามีเงินน้อยกว่าเราอีก เค้ายังทำบุญได้มาก ๆ และผลบุญก็ส่งผลได้เร็ว แรงด้วย
บุญทุกบุญ ที่หลวงพ่อให้ลูก ๆ ทำ เป็นบุญใหญ่มาก
ทำมาก ก็ได้มาก ทำน้อย ก็ได้น้อย
เราต้องสั่งสมทานบารมีไว้ ตามติดหมู่คณะให้ได้ไงคะ
สาธุค่ะ
และลดความตระหนี่ลงได้ (สำหรับคนที่ตระหนี่มากๆ)
เค้ามีเงินน้อยกว่าเราอีก เค้ายังทำบุญได้มาก ๆ และผลบุญก็ส่งผลได้เร็ว แรงด้วย
บุญทุกบุญ ที่หลวงพ่อให้ลูก ๆ ทำ เป็นบุญใหญ่มาก
ทำมาก ก็ได้มาก ทำน้อย ก็ได้น้อย
เราต้องสั่งสมทานบารมีไว้ ตามติดหมู่คณะให้ได้ไงคะ
สาธุค่ะ
Napas
#9
โพสต์เมื่อ 01 July 2008 - 04:58 PM
ทุกวันนี้ ตัวผมเองก็พยายามทำดีทำบุญเอาหน้ากับเทวดา เผื่อท้าวจาตุฯจารึกชื่อผมบนแผ่นทองด้วยอักษรบาลี
ที่ไม่ปรากฏบนโลก(cool) แล้วไปอ่านชื่อผมบนดาวดึงส์ที่สภาสุธรรมา ให้ท้าวสักกะและทวยเทพได้อนุโมทนาสาธุการ
ปุจฉา
(๑) ผมก็ไม่ได้ขอร้องให้ท่านไปประกาศชื่อผมเลย แต่ท่านก็ไปประกาศเอง (กรณีนี้ผมไม่ถือว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคลครับ) ท่านเห็นดีเห็นงามอะไรหนอ จึงทำเช่นนั้น ?
(๒) Nehru พูดว่า โลกนี้คนดีมีมากกว่าคนชั่ว แต่คนดีไม่สามัคคี จึงแพ้
การประกาศชื่อเป็นการสร้างร่างแหเครือข่ายคนดี เกิดสามัคคีคือพลัง ชนะชั่ว
" ทำดีต้ององอาจ ต้องประกาศนามกึกก้อง
จารึกบนแผ่นทอง ดังฟ้าร้องสาธุการฯ "
สรุป ขนาดเทวดายังชอบประกาศชื่อ คนเดินดินก็ไม่ต้องแล่งกันละนิ
ที่ไม่ปรากฏบนโลก(cool) แล้วไปอ่านชื่อผมบนดาวดึงส์ที่สภาสุธรรมา ให้ท้าวสักกะและทวยเทพได้อนุโมทนาสาธุการ
ปุจฉา
(๑) ผมก็ไม่ได้ขอร้องให้ท่านไปประกาศชื่อผมเลย แต่ท่านก็ไปประกาศเอง (กรณีนี้ผมไม่ถือว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคลครับ) ท่านเห็นดีเห็นงามอะไรหนอ จึงทำเช่นนั้น ?
(๒) Nehru พูดว่า โลกนี้คนดีมีมากกว่าคนชั่ว แต่คนดีไม่สามัคคี จึงแพ้
การประกาศชื่อเป็นการสร้างร่างแหเครือข่ายคนดี เกิดสามัคคีคือพลัง ชนะชั่ว
" ทำดีต้ององอาจ ต้องประกาศนามกึกก้อง
จารึกบนแผ่นทอง ดังฟ้าร้องสาธุการฯ "
สรุป ขนาดเทวดายังชอบประกาศชื่อ คนเดินดินก็ไม่ต้องแล่งกันละนิ
#10
โพสต์เมื่อ 01 July 2008 - 06:05 PM
ตรงกับตัวผมเองเลย สมัยตอนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจวัด ก็แอบคิดนิดนึงเหมือนกันนะ ว่าประกาศทำไม อย่างนี้คนจนก็หมดสิทธิ์ทำบุญเลยสิ เพราะไม่มีเงิน แต่ ณ วันนี้ เข้าใจแล้วว่า ที่หลวงพ่อประกาศไปนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย ไม่มีใครเสียประโยชน์เลย ผู้ที่ทำบุญก็ปลื้มใจ บุญที่ทำได้เนต ๆ ทับทวี ส่วนผู้ที่อนุโมทนาก็พลอยได้บุญนิด ๆ ไปด้วย ได้บุญนิด ๆ แต่ถ้าอนุโมทนาบุญอยู่เสนอหลายนิดก็เป็นเนตได้เหมือนกันนะ
#11
โพสต์เมื่อ 02 July 2008 - 07:12 PM
สาธุ