พระช่วยผู้หญิงตกน้ำ
#1
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 12:53 PM
[size="2"]มีข้อสงสัยอีกแล้วครับ คือมีกรณีที่ผมถกกับเพื่อนๆเรื่องที่
มีพระไปช่วยผู้หญิงตกน้ำ โดยไปจับตัวผู้หญิงนั้น
ตามที่เราทราบกันว่าพระจับตัวผู้หญิงเป็นอาบัติ(ถ้าท่านนึกถึงแล้วมีจิตล่วงไปในกาเมซึ่งคงยากที่จะไม่คิดแม้ภายหลัง)
แต่ถ้าไม่ช่วยด้วยการจับตัวขึ้นมาหญิงนั้นก็จะจมน้ำตาย
สรุปแล้วพระท่านควรทำไงครับ
ปล่อยไปตามกรรม เพราะกลัวศีลขาด
หรือยอมศีลขาดเพื่อช่วยหญิงนั้น
ขอความรู้จากทุกท่านอีกครั้งครับ
#2
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 02:21 PM
1. หากเกิดกรณีนี้ ต้องพิจารณาก่อนว่าขณะนั้นมีคนอื่นไหม มีอุปกรณ์ เช่น ไม้ ล้อรถหรือไม่ หากมีเลี่ยงได้ก็เลี่ยง
2. หากระหว่างนั้นมีเพียง 2 ต่อ 2 ผมก็คงลงไปช่วย โดยใช้จิตเมตตา ไม่คิดเป็นอื่น
#3
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 03:38 PM
#4
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 03:41 PM
[๓๘๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งจับต้องมารดาด้วยความรักฉันมารดา
เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมังหนอ
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า
ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
http://84000.org/tipitaka/read/?1/388
----------------------------------------------------------------
(ต่อไปเป็นวิธีช่วยเหลือ โดยไม่ล่วงสิกขาบทครับ)
(อรรถกถา)
พึงทราบวินิจฉัย ในวินีตวัตถุทั้งหลายต่อไปนี้:-
สองบทว่า มาตุยา มานุปฺเปเมน
ความว่า ย่อมจับต้องกายของมารดาด้วยความรักฉันมารดา.
ในเรื่องลูกสาวและพี่น้องสาว ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ในพระบาลีนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับอาบัติทุกกฏเหมือนกันทั้งนั้น
แก่ภิกษุผู้จับต้อง ด้วยความรักอาศัยเรือนว่า
ผู้นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นธิดาของเรา นี้เป็นพี่น้องสาวของเรา
เพราะขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแม้ทั้งหมด จะเป็นมารดาก็ตาม เป็นธิดาก็ตาม
เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ทั้งนั้น.
ก็เมื่อภิกษุระลึกถึงพระอาญานี้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถ้าแม้นว่าเห็นมารดาถูกกระแสน้ำพัดไป ไม่ควรจับต้องด้วยมือเลย.
แต่ภิกษุผู้ฉลาดพึงนำเรือ หรือแผ่นกระดาน
หรือท่อนกล้วย หรือท่อนไม้เข้าไปให้
เมื่อเรือเป็นต้นนั้นไม่มี
แม้ผ้ากาสาวะ[ก็ให้]นำไปวางไว้ข้างหน้า
แต่ไม่ควรกล่าวว่า จงจับที่นี้.
เมื่อท่านจับแล้ว พึงสาวมาด้วยทำในใจว่า เราสาวบริขารมา.
ก็ถ้ามารดากลัว พึงไปข้างหน้า ๆ แล้วปลอบโยนว่า อย่ากลัว
ถ้ามารดาถูกน้ำพัดไปรีบขึ้นคอ หรือจับที่มือของภิกษุผู้เป็นบุตร
ภิกษุอย่าพึงสลัดว่าหลีกหนีไปหญิงแก่
[แต่]พึงส่งไปให้ถึงบก.
เมื่อมารดาติดหล่มก็ดี ตกลงไปในบ่อก็ดี มีนัยเหมือนกันนี้.
อธิบายว่า ภิกษุพึงฉุดขึ้น แต่อย่าพึงจับต้องเลย.
(พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 173)
#5
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 03:49 PM
ยกตัวอย่าง
1. ธรรมดาผ้าจีวรของพระภิกษุ ซึ่งจะมีอยู่2ผืนใช้สลับกัน เป็นสังฆาติผาดบ่า1ผืน และจีวรที่ให้ห่มอีก1ผืน ซึ่งทั้ง2ชิ้นเรียกได้ว่ายาวพอประมาณที่จะนำไปคล้องผู้ที่ตกนําโดยไม่ถูกเนื้อต้องตัวได้
2. ผ้ารัดอกก็สามารถที่จะใช้แทนเชือกได้
การช่วยเหลือคนที่กำลังจมนํา หากไม่รู้วิธีหรือเทคนิคในการช่วยเหลือ เป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายมากๆเลยนะครับ เป็นผมจะไม่เข้าไปใกล้คนที่กำลังจมนําเด็ดขาด หากเข้าผิดทางโดนจับกดนําตายอนาททั้งคู่อีก - -" ผมจะใช้วิธีที่1 คือใช้ผ้าจีวรหรือสังฆาติโยนปลายให้ผู้ที่กำลังจะจมนําจับแล้วลากขึ้นมา หากยาวไม่พอสามารถใช้ทั้ง2ผืนต่อเพิ่มความยาวได้ หากยาวไม่พออีกก็ใช้ทั้ง1และ2ร่วมกันคือใช้ผ้ารัดอกต่อเพิ่มเข้าไปอีกครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#6
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 05:02 PM
พระผู้มีพระภาคเจ้า ปรับอาบัติทุกกฏ เหมือนกันทั้งนั้น
แก่ภิกษุผู้จับต้อง ด้วยความรักอาศัยเรือนว่า
ผู้นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นธิดาของเรา นี้เป็นพี่น้องสาวของเรา
เพราะขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแม้ทั้งหมด จะเป็นมารดาก็ตาม เป็นธิดาก็ตาม
เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ทั้งนั้น.
ก็เมื่อภิกษุระลึกถึงพระอาญานี้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถ้าแม้นว่าเห็นมารดาถูกกระแสน้ำพัดไป ไม่ควรจับต้องด้วยมือเลย
หรือท่อนกล้วย หรือท่อนไม้เข้าไปให้
เมื่อเรือเป็นต้นนั้นไม่มี
แม้ผ้ากาสาวะ[ก็ให้]นำไปวางไว้ข้างหน้า แต่ไม่ควรกล่าวว่า จงจับที่นี้.
เมื่อท่านจับแล้ว พึงสาวมาด้วยทำในใจว่า เราสาวบริขารมา.
นี่คือสิ่งที่พึงกระทำ เพราะพระภาคเจ้าฯ ตรัสไว้...สาธุ
#7
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 05:28 PM
#8
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 06:05 PM
ขณะที่พระเถระและพระผู้ติดตามกำลังออกบิณฑบาต ท่านได้ยินเสียงแว่วๆ ขอความช่วยเหลือ
เมื่อเดินไปถึงคลองแห่งหนึ่งถึงได้พบว่า มีผู้หญิงตกน้ำอยู่คนหนึ่ง ท่าทางอ่อนแรงเต็มเต็มที
พระเถระท่านจึงวางบาตรแล้วโดดไปช่วยผู้หญิงคนนั้น ช่วยขึ้นมาถึงฝั่ง พอเห็นว่าปลอดภัยแล้ว
ท่านก็ถือบาตรแล้วเดินกลับวัดทันที โดยไม่ได้บิณฑบาต พอมาถึงที่วัด พระผู้ติดตามก็เลยถามท่าน
ด้วยความหงุดหงิดใจว่า ท่านไปอุ้มอุบาสิกาอย่างนั้นมันอาบัตินะ
พระเถระก้เลยบอกว่า ท่าน.. ฉันน่ะวางอุบาสิกาไว้ที่ริมฝั่งแล้ว แต่ท่านยังอุ้มกลับมาวัดอีกหรือ???
#9
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 11:47 PM
#10
โพสต์เมื่อ 09 August 2008 - 10:03 AM
ผมเคยถามพระท่าน ว่าถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิงไม่ผิดศีลหรือครับ...ก็ได้คำตอบว่า
การบริจาค เป็นการให้ทาน การที่สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวสีกา หากจิตคิดอกุศล การสัมผัสนั้น ผิดศีลแน่นอน แต่ถ้าเป็นการตั้งจิตอยู่ที่ศูนย์ (ผมยังไม่เข้าว่าหมายถึงอะไร) การสัมผัสนั้นก็ไม่ถือว่าผิดอะไร แต่เพื่อให้จิดใจบริสุทธิ หลังจากที่มีการสัมผัสกันแล้ว พระสงฆ์ส่วนมากจะทำการปรงอาบัติ
ดังนั้นก็พอสรุปได้ว่า ในขณะที่พระภิกษุสัมผัสร่างกายผู้หญิง มีจิตคิดเช่นไร
การที่พระช่วยหญิงตกน้ำ (ส่วนตัวผม) ก็น่าจะไม่ผิดอะไร
อย่างไรเสีย ก็ขอให้ผู้รู้ ช่วยเสนอข้อคิด เพื่อเป็นวิทยาทานต่อไปด้วยนะครับ
อนุโมทนา บุญด้วยครับ
สาธุ.....
#11
โพสต์เมื่อ 09 August 2008 - 11:58 AM
หากเราทำได้ เราจะช่วยมั๊ย จะคิดอะไรมากมายมั๊ย
#12
โพสต์เมื่อ 09 August 2008 - 01:29 PM
โดยนำเอาพระวินัยเป็นที่ตั้ง แล้วค่อยปรับตามความจำเป็น และทางเลือกจ้ะ
แม้ฆราวาสที่ถือศีล ก็ต้องทำเช่นกัน เวลาที่ต้องกระทำอะไรก็ตาม ที่อาจเป็นเหตุให้ศีลขาด หรือ พร่อง
ไม่เรียก คิดมาก นะจ๊ะ..
...
ขอตอบ คุณ เพื่อบุญ ตามความรู้ที่พอมีนะจ๊ะ
..
แพทย์ พยาบาล ที่เป็นสตรีเพศ มาจับชีพจร หรือตรวจต้องถูกต้องกายของพระสงฆ์เพื่อการรักษา
หรือกระทำกิจอื่นๆทางการแพทย์ สามารถทำได้แน่นอนจ้ะ ไม่ต้องรอหมอผู้ชาย
เพราะท่านมีความจำเป็นทางเรื่องอาพาธ หรือเรื่องที่ไม่สามารถให้คนทั่วไปทำแทนได้ เพราะต้องใช้วิชาชีพเฉพาะทางแพทย์
ท่านถูกเขาจับต้องได้ แต่ท่านก็ไม่สามารถไปจับต้องเขากลับได้นะ แม้เป็นหมอ พยาบาล(สตรีเพศ)
ใจท่านเอง ต้องมีสติสำรวม ไม่เผลอไปมีความพอใจในสัมผัสนั้น มิฉะนั้นท่านจะ "อาบัตฺทุกกฏ" จ้ะ
...
ดังนั้นเวลาท่านถูกจับต้องตัว เพื่อความบริสุทธิ์บริบรูณ์
พระท่านถูกอบรมมาให้หลับตา น้อมใจไปวางนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เพื่อให้ใจเป็นกุศล ตั้งมั่น
และที่ศูนย์กลางกาย มารจะแทรกยากจ้ะ ใจท่านก็จะอุเบกขา ไม่มีความพอใจดีใจอะไรแทรกมาได้
ศีลท่านก็สะอาด..
ส่วนพระสงฆ์ จะทำการปลงอาบัติ เพื่อความบริสุทธิ์ของท่าน นั้นก็ยิ่งประเสริฐ์จ้ะ
...
#13
โพสต์เมื่อ 09 August 2008 - 09:27 PM
กับคำตอบด้านพระธรรมวินัย (ความคิดเห็น #4)
และมุมมองในเรื่อง
(ความคิดเห็น #12)
และให้ความสำคัญที่เจตนา
ให้ความจำเป็นในคุณประโยชน์ของการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์
โดยใช้ปฏิภาณ ไหวพริบ
(ความคิดเห็น #5)
แต่หากใช้วิธีข้างต้น ไม่ได้
เชื่อว่า ภิกษุส่วนมาก ก็ย่อมลงไปช่วยด้วยกายตนเอง
ดังเช่นนิทานเซน ที่ท่าน Tanay007 ยกมา
เพราะทำด้วยเจตนากุศลและความกรุณา อยากช่วยเหลือมนุษย์ที่กำลังตาย ให้พ้นมัจจุภัย
และอย่างที่คุณ Bruce Wayne กล่าวไว้ดีแล้วว่า
คือ ต้องอาบัติทุกกฏ เป็นอย่างน้อย
ซึ่งกรณีนี้ อริยบุคคลและวิญญูชน ย่อมยอมรับกันได้ ไม่โจษโทษ ภิกษุนั้น อยู่แล้ว
เว้นเสียแต่ว่า
เมื่อกายต่อกายสัมผัสกันแล้ว ผัสสะที่ยินดีในกามกำหนัดเกิดแก่ภิกษุนั้น
ซึ่งภิกษุนั้นย่อมทราบอยู่แก่ใจท่านเอง
หรือแม้ภายหลังหากท่าน หวนถึงเหตุการณ์ และผัสสะครั้งนั้นแล้วเกิดกำหนัดในภายหลัง
และสงสัยในความบริสุทธิ์ในศีลของตัวท่านเอง
ก็ต้องให้พระวินัยธร ผู้เชี่ยวชาญด้านพระธรรมวินัย วินิจฉัยว่า
ต้องปรับอาบัติสังฆาทิเสสหรือไม่อย่างไร
ส่วนว่าเมื่อเหตุการณ์ที่เจ้าของกระทู้สมมุติ เกิดขึ้นมาจริง ๆ
โดยส่วนตัวคิดว่า
ดีที่สุดก็ตามคำตอบในโพสต์ที่ 4 , 5 , 12
คือ ช่วยสตรีให้พ้นมรณะภัยได้ โดยไม่ผิดพระธรรมวินัย
แต่ถ้าไม่ได้อย่างนั้น
ก็อยู่ที่ภิกษุแต่ละรูป กระมังครับว่า
ท่านจะตัดสินใจ ทำอย่างไร ในเหตุการณ์ฉุกเฉินและสถานการณ์เช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า
การช่วยสตรีให้พ้นมรณะภัยได้ คือ สิ่งจำเป็นอันดับแรกในสถานการณ์แบบนั้นครับ
#14
โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 02:30 AM
คาดว่าจะทำให้ผู้อ่าน มีความเข้าใจ ในเรื่องพระวินัย และเรื่องการสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
สาธุจ้ะ