ทำยังไงถึงจะลืมคนรักที่ทิ้งเราไปได้ ขอคำแนะนำหน่อยค่า
#1
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 07:53 AM
ตอนนี้กำลังพยายามทำใจ ตั้งใจว่าจากนี้จะไม่เสียเวลากับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ขอคำแนะนำใจการทำใจ จะได้ตัดใจได้เร็ว ๆ ขอบคุณค่า
#2
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 08:10 AM
"ดั่งของ ที่ขอยืมมา ในไม่ช้า ต้องคืนเขาไป
ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากคลายความผูกพัน"
คำตอบอยู่ในเพลงนั้นนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 08:13 AM
#4
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 08:33 AM
**************************************************************************************
ใจดวงหนึ่งมีได้เพียง แค่ความคิดเดียว มีสุขมีทุกข์ มีหัวเราะหรือร้องไห้ อยากให้ใจเราเป็นอย่างไรให้ทำใจของเราเป็นอย่างนั้นเอง
ในใจฉันมีพระแก้วใส ไม่มีสุขใดจะมาเปรียบปาน ดั้งสุขอายนนิพพาน
ฉันเบิกบานสราญหัวใจ ไม่มีอะไรใหม่ต้องแสวงหาอีกแล้ว
เพราะใจของฉันมีพระแก้วใส หลับตาที่ไรหยุดใจนิ่งเอาไว้ องค์พระแก้วใสใหญ่ขึ้นๆทุกที องค์พระแก้วใสใหญ่ขึ้นๆทุกที
ผุดขึ้นที่ละองค์ ต่อกันเป็นสายล้วนพระธรรมกาย ขยายเต็มตัวฉัน มีสุขสดชื่นอยู่ทุกคืนวัน
ฉันขอแบ่งปันความสุขให้ทุกคน
#5
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 08:37 AM
*********************************************
เมื่อหวนนึกถึงความหลังในเรื่องดี ก็จะเกิดความปลาบปลื้ม
เมื่อหวนนึกถึงความหลังในเรื่องเสีย ก็จะเกิดความเศร้าใจ
ถ้ามีความหลังในทางดี แล้วลุ่มหลง ชีวิตก็จะไม่พัฒนา
ถ้ามีความหลังในทางเสีย แล้วลุ่มหลง ชีวิตก็จะตรอมตรม คิดไปก็ช้ำใจเปล่า ให้ทำใจเสียว่าทุกครั้งที่เราผิดพลาดผิดหวังเราจะเข้าใจชีวิตและโลกดีขึ้น
จงลืมความหลังเหล่านั้นสักครู้ ทิ้งความหลังสู่ความเป็นจริง สร้างแต่คุณงามความดีที่มีคุณค่าให้เห็นความดีปัจจุบัน
ซึ่งจะเป็น "ความหลังที่ดี" ในอนาคต...เมื่ออยากจะหวนรำลึกถึง
ความหลังฝังใจแนบแน่น มีรักมีแค้นมีหรรษา
มีสุขมีโศก มีน้ำตา อย่าเสียเวลากับความหลังเลย
ลืมความหลังฝังใจเสียสักครู่ แล้วหยุดอยู่ปัจจุบันกันเถิดเอ๋ย
สร้างความดีมีคุณค่ามาชดเชย จักเฉลย สุขล้ำค่า ฟ้าชั่วดิน
*********************************************
จาก ข้อคิด ข้อเขียน...ทันต์จิตต์...วัดพระธรรมกาย
#6
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 08:59 AM
ผู้ชายดี ๆ เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เป็นโสดซะดีกว่าค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 09:14 AM
#8
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 09:27 AM
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ดังคำสอนยาย
อยู่คนเดียว มีเงิน 100 ทำบุญได้ เต็มที่
แต่งงาน ทำได้อย่างมากก็ 50
มีลูก 5 บาท ไม่รู้จะได้ทำหรือเปล่า
และเนื่องจากบุญเป็นต้นเหตุแห่งความสุขและความสำเร็จทั้งภพนี้และภพหน้า การที่เราอยู่คนเดียวได้ จะทำให้มีโอกาสสั่งสมบุญได้เต็มที่ เป็นสิ่งที่น่ายินดีมากครับ ช่วงนี้ต้องใช้ธรรมโอสถรักษาใจครับ ถ้ามีเวลาอยากแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่พนาวัฒน์สัก 7 วัน แล้วความสุขและบุญที่ได้จากการปฏิบัติธรรม จะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น แถมยังเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างได้อีกด้วย
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#9
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 09:57 AM
แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดี ที่เลิกกันตอนนี้ ซึ่งดีกว่าต้องเลิกกันภายหลังจากแต่งงานกันแล้วและมีลูกด้วยกัน
เพราะคงเชื่อได้ว่า ถึงอย่างไร ถ้าไม่เลิกวันนี้ ก็ต้องเลิกกันในวันข้างหน้าแน่นอน เพราะคุณกับเขาไม่ใข่คู่ที่จะต้องอยู่ด้วยกัน
การใช้อยู่อย่างเป็นโสด สะดวก สบาย และมีโอกาสสร้างบุญบารมีได้มากนะครับ
#10
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 10:07 AM
ที่สำคัญ อยากให้คุณนั่งสมาธิทำใจให้ใส แล้วคุณจะเริ่มคิดได้เองว่าดีแล้วที่เขาออกไปจากชีวิตคุณ ไม่ต้องมีห่วงหรือโซ่ตรวนมาคล้องคอพันธนาการให้เราทำอะไรไม่ได้สะดวกไม่ได้ดั่งใจ ขอเอาหัวเป็นประกันถ้าคุณนั่งสมาธิแล้วคุณจะคิดได้เองครับ เพราะผมก็เคยเป็นแบบคุณมาก่อนและเชื่อว่าเป็นมากกว่าคุณเจ้าของกระทู้อีก เพราะระยะเวลาที่ของผมยาวนานกว่าของคุณมาก แต่สิ่งที่ช่วยผมให้หลุดจากนรกทั้งเป็นได้ก็คือสมาธิครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#11
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 11:40 AM
#12
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 11:41 AM
กามฉันทะ คือความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งสัมผัสทางกาย) อันน่ายินดี น่ารักใคร่พอใจ รวมทั้งความคิดอันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น (คำว่ากามในทางธรรมนั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องเพศเท่านั้น)
วิธีแก้
1.) กามฉันทะ แก้ได้หลายวิธีตามลักษณะของกามฉันทะที่เกิดขึ้น ดังนี้
พิจารณาถึงความจริงที่ว่ากามคุณทั้งหลายนั้นมีสุขน้อยมีทุกข์มาก คือให้ความสุขในช่วงที่ได้มาใหม่ ๆ ซึ่งเป็นเสมือนเหยื่อล่อให้ติด ครั้นเมื่อติดในสิ่งนั้น ๆ แล้ว ความทุกข์ทั้งหลายก็จะตามมา ถ้ายิ่งถูกใจมากเท่าใด ก็จะยิ่งนำความทุกข์มาให้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากการแสวงหาเพื่อให้ได้มากยิ่งขึ้น ทุกข์จากการพยายามรักษาสิ่งนั้นเอาไว้ ทุกข์จากความหวงแหน ความกลัวว่าจะต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป และเมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป ก็จะยิ่งเป็นทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเราทั้งหลายล้วนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
พิจารณาถึงความที่สิ่งทั้งหลายมีความแปรปรวนไปตลอดเวลา สิ่งที่ให้ความสุขในวันนี้ ก็อาจจะนำความทุกข์มาให้ได้ในวันข้างหน้า เช่น คนที่ทำดีกับเราในวันนี้ ต่อไปถ้าเขาเบื่อ หรือไม่พอใจอะไรเราขึ้นมา เขาก็อาจจะร้ายกับเราอย่างมากก็ได้
พิจารณาถึงความเป็นอสุภะ คือเป็นของไม่สวยไม่งาม เต็มไปด้วยของไม่สะอาด ร่างกายที่เห็นว่าสวยงามในตอนนี้ จะคงสภาพอยู่ได้นานสักเท่าใด พอแก่ตัวขึ้นก็ย่อมจะหย่อนยาน เหี่ยวย่นไม่น่าดู ถึงแม้ในตอนนี้เอง ก็เต็มไปด้วยของสกปรกไปทั้งตัว ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า (ไม่เชื่อก็ลองไม่อาบน้ำดูสักวันสองวันก็จะรู้เอง) ลองพิจารณาดูเถิด ว่ามีส่วนไหนที่ไม่ต้องคอยทำความสะอาดบ้าง และถ้าถึงเวลาที่กลายสภาพเป็นเพียงซากศพแล้วจะขนาดไหน
พิจารณาถึงคุณของการออกจากกาม หรือประโยชน์ของสมาธิ เช่น
เป็นความสุขที่ประณีต ละเอียดอ่อน เบาสบายไม่หนักอึ้งเหมือนกาม คนที่ได้สัมผัสกับความสุขจากสมาธิสักครั้ง ก็จะรู้ได้เองว่าเหนือกว่าความสุขจากกามมากเพียงใด
เป็นความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก เพราะเกิดจากความสงบภายใน จึงไม่ต้องมีการแย่งชิง ไม่ต้องยื้อแย่งแข่งขัน ไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย
เป็นความสุขที่ไม่ต้องมีวัตถุใดๆ มาเป็นเครื่องล่อ จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ประโยคที่เวลาผมพูดมักจะยกมาแนะนำเสมอคือ อนิจจัง (สิ่งไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนของเรา)
องค์พระช่วยได้ครับ ดีใจ เสียใจ - อยากได้ ไม่อยากได้ - สมหวัง ไม่สมหวัง คือ อนิจจังนะครับ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้
ทุกข์เกิดจากอะไร
ทุกข์มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.) ทุกข์ในอริยสัจ 4
2.) ทุกข์ในไตรลักษณ์
ทุกข์ในอริยสัจ 4 ก็คือทุกขเวทนาหรือความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ซึ่งก็คือความทุกข์ในความหมายของคนทั่ว ๆ ไปนั่นเอง ทุกขเวทนามี 2 ทางคือ
ทุกข์ทางกาย กับทุกข์ทางใจ
ทุกข์ทางกาย หมายถึงทุกข์ที่มีกายเป็นเหตุ ได้แก่ ทุกข์ที่เกิดจากความหนาว ความร้อน ความป่วยไข้ ความบาดเจ็บ ความหิวกระหาย ความเสื่อมสภาพของร่างกาย ทุกข์ที่เกิดจากการที่ต้องคอยประคบประหงม ดูแลบำรุงรักษาทำความสะอาดร่างกาย และความทุกข์อื่น ๆ อันมีกายเป็นต้นเหตุอีกเป็นจำนวนมาก ทุกข์ทางกายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กับร่างกาย เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก ตราบใดที่ยังมีร่างกายอยู่ก็ต้องทนกับทุกข์ทางกายนี้เรื่อยไปไม่มีวันพ้นไปได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่สร้างสมบุญบารมีมาอย่างมากมาย มากกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ก็ยังต้องทนทุกข์ทางกายนี้จนกระทั่งถึงวันปรินิพพาน สมกับคำที่ว่า การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป
ทุกข์ทางใจ หมายถึงทุกข์ที่เกิดจากการปรุงแต่งของใจ ทุกข์ทางใจนี้ส่วนหนึ่งมีทุกข์ทางกายเป็นสิ่งเร้าให้เกิด เช่น เมื่อได้รับบาดเจ็บหรือป่วยไข้ขึ้นมาทำให้เกิดทุกข์ทางกายขึ้นแล้ว ต่อมาก็เกิดความกังวลใจ ความหวาดกลัวขึ้นมาอีกว่าอาจจะรักษาไม่หาย อาจจะต้องสูญเสียอวัยวะไป หรืออาจจะต้องถึงตาย ซึ่งความกังวลความหวาดกลัวเหล่านี้จะก่อให้เกิดทุกข์ทางใจขึ้นมา ทุกข์ทางใจอีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีทุกข์ทางกายเป็นต้นเหตุ เช่น ความทุกข์จากการประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ความทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ทุกข์จากการไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ทุกข์จากความโกรธความขัดเคืองใจ ทุกข์จากความกลัว ทุกข์จากความกังวลใจ ความคับแค้นใจ ทุกข์จากความกลัวว่าความสุขที่มีอยู่จะต้องหมดไป ทุกข์จากความกลัวความทุกข์ยากลำบากที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต ทุกข์จากการกลัวความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ และทุกข์ทางใจอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน
กล่าวโดยสรุป ทุกข์ทางใจทั้งหมดล้วนมีต้นเหตุมาจากความโลภ ความโกรธ และความยึดมั่นถือมั่น .
ทุกข์จากความโลภ ตามหลักอภิธรรมแล้วความโลภจะไม่ประกอบด้วยความทุกข์ เพราะความโลภจะเกิดขึ้นพร้อมกับความดีใจ หรือเกิดพร้อมกับความรู้สึกเฉย ๆ ( อุเบกขา ) เท่านั้น ที่กล่าวว่าความทุกข์ที่มีต้นเหตุมาจากความโลภในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าความทุกข์นั้นเกิดพร้อมกับความโลภ แต่เป็นความทุกข์อันมีความโลภเป็นเบื้องต้น และมีความทุกข์เป็นเบื้องปลาย อันได้แก่ ความทุกข์ที่เกิดจากความกลัวจะไม่ได้ในสิ่งที่ตนอยากได้ ทุกข์จากการที่ต้องดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนอยากได้ เป็นต้น
ทุกข์จากความโกรธ ความโกรธนั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็นำทุกข์มาให้เมื่อนั้น เพราะความโกรธจะทำให้จิตใจต้องเร่าร้อนดิ้นรน เกิดความกระทบกระทั่งภายในใจ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ความโลภนั้นในเบื้องต้นยังพอจะนำความสุขมาให้ได้บ้าง ( ในขณะที่เกิดความเพลิดเพลินยินดี ) แต่ความโกรธนั้นนำมาแต่ความทุกข์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตัวอย่างของความทุกข์จากความโกรธเช่น ทุกข์จากความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ คับแค้นใจ กังวลใจ ความกลัว ความหวาดระแวง ความมองโลกในแง่ร้าย ความไม่สบายใจ ความอิจฉาริษยา ความพยาบาทอาฆาตแค้น เป็นต้น
ทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรูปธรรมหรือนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายจิตใจก็ตาม ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้วก็ล้วนนำทุกข์มาให้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะยึดว่าเป็นเรา เป็นของของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา ยึดว่าเป็นเขา เป็นของของเขา ยึดว่าเป็นสิ่งที่เราชอบใจ เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบใจ ยึดว่าเป็นคนที่เคยทำร้ายเรา เคยด่าเรา ยึดว่าเป็นญาติพี่น้อง เป็นศัตรู เป็นครูอาจารย์ เป็นผู้ที่เราเคารพนับถือ ยึดว่าเป็นนาย เป็นบ่าว เป็นเพื่อน เป็นหน้าที่การงาน ฯลฯ ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่นำทุกข์มาให้ แม้แต่ยึดในบุญกุศล ความดี มรรค ผล นิพพาน ก็ตามที ( อริยบุคคลนั้นไม่ยึดในรูปนามทั้งหลาย ไม่ยินดีในการเกิดก็จริง แต่ก็ไม่ได้ยึดมั่นในมรรค ผล นิพพาน )
เพราะการยึดในสิ่งที่เราไม่ชอบใจก็ย่อมจะทำให้เกิดความขัดเคืองใจ โกรธ ไม่พอใจ คับแค้นใจ กลัว ฯลฯ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นต้นเหตุของความทุกข์จากความโกรธนั่นเอง ส่วนการยึดในสิ่งที่เราชอบใจก็จะทำให้เกิดทุกข์อันมีต้นเหตุมาจากความโลภ นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดทุกข์จากความกลัวการพลัดพรากสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป ทุกข์จากการต้องคอยทนุถนอม บำรุงรักษา เก็บรักษาไว้ ต้องคอยปกป้อง ห่วงใย ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ไม่เป็นอิสระ และถ้าต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไปก็จะยิ่งเป็นทุกข์ขึ้นไปอีกมากมายนัก ส่วนการยึดในบุญนั้นก็ต้องเป็นทุกข์จากการรอคอยว่าเมื่อไรผลบุญถึงจะตอบสนอง ยึดในบาปก็เป็นทุกข์กลัวกรรมจะตามสนอง
กล่าวโดยสรุปก็คือ ยึดสิ่งไหนก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเลยความทุกข์ทางใจทั้งหลายก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้เลย .
ทุกข์ในไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ก็คือสามัญลักษณะ 3 ประการคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คำว่าทุกข์ในไตรลักษณ์ก็หมายถึงทุกขัง ในไตรลักษณ์หรือที่เรียกว่าทุกขลักษณะนั่นเอง ซึ่งหมายถึงการที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงยกเว้นนิพพาน ล้วนอยู่ในสภาวะที่ถูกเหตุถูกปัจจัยทั้งหลาย บีบคั้นให้แปรปรวนไปอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป (ดูเรื่องทุกขเวทนากับทุกข์ในไตรลักษณ์ ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ)
ทุกข์ในไตรลักษณ์นี้เป็นลักษณะอันเป็นสามัญ คือเป็นเรื่องธรรมดาของสังขารธรรมทั้งหลายที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น เป็นกฎอันเป็นพื้นฐานของธรรมชาติ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัยเท่านั้นเอง ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีอำนาจเหนือตน ตราบใดที่ยังไม่เข้าสู่สภาวะแห่งนิพพานแล้ว ก็จะต้องเผชิญกับทุกข์ในไตรลักษณ์นี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ทุกข์ในอริยสัจ 4 ก็อยู่ในสภาวะทุกข์ในไตรลักษณ์ด้วย นอกจากนี้สุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ในไตรลักษณ์ เพราะทั้งสุขและอุเบกขาก็ล้วนถูกเหตุปัจจัยต่าง ๆ บีบคั้นให้แปรปรวนไปอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
ธรรมะใสๆ
#13
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 11:42 AM
ตอนนี้มันทรมาน
มันเจ็บใจ แค้นใจ เศร้า เหงา อ้างว้าง วังเวง นะครับ
แต่เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง
ตอนแรกเหมือนจะทำใจไม่ได้
แต่สุดท้ายก็เป็นไปเอง
เวลา ครับ เป็สิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยเรา
รอเวลาเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวต่างๆค่อยๆเลือนไป
-------------------------------------------
นี่แหละครับ ที่ใดมีรัก ที่นั่น มีทุกข์
ร้อยรักก็ร้อยทุกข์
#14
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 12:07 PM
#15
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 12:10 PM
#16
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 12:11 PM
#17
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 12:38 PM
1. กำลังปัญญา ตอนนี้ คุณได้อ่านโพสแนะนำของเพื่อนๆ ท่านอื่นมา 6 ความคิดแล้ว ซึ่งช่วยทำให้กำลังปัญญาเพิ่มพูน แต่เนื่องจากเชื้อโรคทางใจ คือ การผิดหวังในรักนี้ ร้ายกาจ มาก ลำพังการแก้ด้วยกำลังปัญญา อย่างเดียว ไม่เพียงพอ คุณต้องมีกำลังแห่งใจ อย่างอื่นมาช่วยด้วยครับ เหมือน มีเสนาบดี อยู่เพียงคนเดียว จะไปช่วยป้องกันข้าศึกย่อมไม่ไหว เช่นตอนนี้ อ่านข้อความเพื่อนๆ เข้าใจแล้ว แต่พอเผลอ ใจมันจะหมกมุ่นครุ่นคิดไปกับความหลังอยู่อีก
2. ดังนั้นเราต้องสร้างกำลังแห่งใจทีเหลือกลับคืนมา ได้แก่ กำลังสติ สมาธิ ศรัทธา ความเพียร ซึ่งสามารถทำได้โดยการขึ้นไปปฏิบัติธรรม 7 วัน เมื่อปฏิบัติธรรม
2.1 เขาจะสอนให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่หมกมุ่นกับความคิดในอดีต เท่านี้กำลังสติเราจะเพิ่มพูนกำลังคืนมา
2.2 เขาจะสอนให้ฝึกสมาธิตลอดทั้งวัน ทำให้ใจเราได้พัก พลังความเข้มแข็ง ตั้งมั่นจะกลับคืนมา
2.3 เขาจะสอนให้รู้จักหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย จะทำให้ใจของเราได้พลังแห่งความศรัทธาคืนมา มีตัวอย่างของบุคคลผู้เข้มแข็งเป็นแบบอย่าง เราก็จะมีกำลังศรัทธา อยากทำให้ได้อย่างท่านเหล่านั้น
2.4 เขาจะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำ เช่น ช่วยล้างถ้วยชาม เก็บห้องปฏิบัติธรรมให้เรียบร้อย ทำให้เราไม่อยู่ว่างๆ พลังความเพียรก็งอกเงยขึ้นมา ไม่หมกมุ่นอยู่แต่อดีต
ทำได้เช่นนี้ ใจของเรา จะคืนพลังแห่งใจทั้ง 5 พอพลังใจคืนมาแล้ว หวนย้อนนึกไปในวันที่เคยผิดหวัง จะขำตัวเองว่า ตอนนั้น เป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร
ปล. คุณอาจเห็นว่า เพื่อนๆ บางท่านก็แนะนำให้นั่งสมาธิแล้ว ขอบอกว่า ถ้านั่งอยู่บ้าน จะไม่ได้บรรยากาศ เดี๋ยวพอหวนนึกถึงความหลัง ใจก็หมดกำลังอีกอยู่ดี ต้องไปปฏิบัติธรรมต่อเนื่อง 7 วัน ไปเจอบรรยากาศของการปฏิบัติธรรมจริงๆ แล้วบรรยากาศนั้น จะพาเราพ้นออกจากห้วงความผิดหวังได้ครับ
#18
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 12:56 PM
ตอนนี้ ทั้งเพื่อนผม คนที่เคยคุ้นเคย เวลาที่ผมทราบข่าวพวกเขา ก็รู้ว่าส่วนใหญ่จะไม่มีความสุข จุดจบของนิยายชีวิตจริง ไม่ใช่พระเอกกับนางเอกแต่งงานกันครับ ถ้าบอกไปเดี๋ยวจะหาว่า ไม่เจอเองไม่รู้ งั้นก็ให้ดูเคสฯ ก็แล้วกัน 900 เรื่องน่ะ ถามจริงๆ ว่ามีชีวิตคู่ที่สมหวังซักกี่คู่ ที่สมหวังก็นิดเดียว ที่ชีวิตคู่ล่มสลายก็ไม่น้อย ส่วนมากจะประคองชีวิตคู่แบบทุลักทุเลซักมากกว่าครับ (แล้วจะไปหาความสุขได้แต่ที่ไหน)
#19
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 01:26 PM
อย่าไปนึกถึงเรื่องเก่าๆ
คิดว่า มันผ่านไปแล้ว
ข้างหน้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก
มุ่งไปข้างหน้าดีกว่า
#20
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 01:47 PM
ที่เสียใจที่สุดก็น่าจะเป็นที่เราไม่สามารถให้เขามาร่วมสร้างบารมีกับเรา อยากให้เขาเข้าวัด ทำบุญกับเรามาก ๆ กลัวเขาลำบากในชาติหน้า ๆ
#21
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 01:49 PM
#22
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 02:49 PM
เราก็จะพบว่า ถึงแม้เราจะรักญาติมิตรของเราทุกๆ คน แต่เราไม่สามารถช่วยเขาได้ทุกๆ คนในเวลานี้ หากช่วยไม่ได้ เราก็ต้องทุกข์ร้อนเสียใจ ช่วยปู่ไม่ได้ ยิ่งปู่ของปู่ ยิ่งช่วยไม่ได้ยิ่งเสียใจ แล้วเราจะไปสามารถทำอะไรได้ครับ มีแต่ต้องวางอุเบกขาเท่านั้น
#23
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 02:55 PM
เมื่อเรารู้ว่าชีวิตนี้ของเราเกิดมาทำไม
เกิดมาเพื่ออะไร .....................
คาวมรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่รักธรรมะรักพระรัตนตรัย
นี่แหละดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด
#24
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 02:57 PM
บางทีคนๆนั้นเขาอาจไม่ดีพอสำหรับเราก็ได้
มองหาคุณค่าของตัวเองให้เจอ
เช่น.. เราเป็นคนนิสัยดี สวย ทำงานเก่ง ใจบุญ ขยัน ทำกับข้าวอร่อย เรียนเก่ง ฯลฯ
และให้นึกดีใจว่า..ไชโย้..ในที่สุดชีวิตก็มีอิสระ
เหมือนนกน้อยที่พร้อมจะบินไปในโลกกว้าง
แล้วใช้เวลาที่เหลืออยู่นับจากนี้ไป .. สร้างสิ่งดีๆให้กับตัวเอง
และนำความภาคภูมิใจมากลับคืนมาให้กับ
คุณพ่อคุณแม่ผู้ซึ่งรักเราอย่างไม่มีข้อแม้ดีกว่านะคะ
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#25
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 03:10 PM
ผมขอเป็นกำลังใจให้นะครับให้สามารถก้าวข้ามเหตุการณ์นี้ไปให้ได้ ให้คิดซะว่าเรามีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่รออยู่ข้างหน้า เราไม่มีเวลามาหาแฟนหรือแต่งงานหรอก เวลาผ่านไปเร็วมากเดี๋ยววันเดี๋ยวคืนก็จะตายแล้ว เรามาทำหน้าที่ของหมู่คณะให้สำเร็จดีกว่า อย่ามัวเสียเวลากับเรื่องพวกนี้เลย เป็นกำลังใจให้นะครับ
#26
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 03:40 PM
นั่งสมาธิเยอะ ๆ ทำใจนิ่ง ๆ ใส ๆ นะคะ สู้ ๆ ค่ะ
#27
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 04:30 PM
คิดถึงหลวงปู่เรื่อยๆ
เวลาจะช่วยได้ และทำให้คุณเติบโตขึ้น
เมื่อนั้นคุณมาคิดย้อนหลัง คุณอาจขอบคุณเขาที่ไม่จับคุณเข้าคุกแห่งการแต่งงาน ( ซึ่งเป็นไปได้สูงที่จะมีปัญหาตามมา )
#28
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 04:31 PM
#29
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 05:00 PM
นำมาไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่7
ถ้าเป็นไปได้เมื่อใจใสใสแล้ว ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ตัดห่วงโซ่ให้ขาดอย่าให้เหลือเยื่อใย มิให้มีวิบากกรรมต่อกันในภพชาติต่อไป
ตั้งผังอธิษฐานจิตของเส้นทางการสร้างบารมีตามที่ปรารถนา
ทำทุกวันไม่มีเว้นวรรค เพราะชีวิตในภพนี้สั้นนัก ไม่ควรประมาท
#30
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 05:09 PM
ขอให้กำลังใจด้วยคนค่ะ พี่ขอฝากเพลงที่พี่ชอบให้ลองฟังดูนะคะ
เพลง หลุมรักที่แท้จริง
เป็นหลุมรักใสๆ ไม่ตกหลุมรักใคร
หมดปัญหาใดๆ มีแต่ความรักใสๆ ให้ทุกคน....
กับเพลง ดอกไม้แห่งจักรวาล
ที่แย้มชื่นบาน ไม่ว่าที่หนใด
จะเป็นดอกไม้ ที่ไม่เหมือนใคร
ยิ่งกาลผ่านไปยิ่งงามตา
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด