มิตรสหายท่านหนึ่งฝากมาถามอ่ะว่า
ทำกรรมอะไรไว้ถึงมาตกกับลูก ทุกข์ใจมาก
จริงๆมันไม่เกี่ยวกันนิ ใช่ไหม??
โพสต์เมื่อ 02 July 2014 - 03:30 PM
มิตรสหายท่านหนึ่งฝากมาถามอ่ะว่า
ทำกรรมอะไรไว้ถึงมาตกกับลูก ทุกข์ใจมาก
จริงๆมันไม่เกี่ยวกันนิ ใช่ไหม??
โพสต์เมื่อ 02 July 2014 - 07:02 PM
จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกันหรอกครับ ท่านผู้นั้นพูดไปด้วยใจที่เป็นทุกข์ ทำให้เกิดความสับสน เลยเผลอพูดอะไรที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อนออกมา
คนเราจะมาเกิด ไปเกิดได้ ก็ด้วยกำลังบุญ กำลังบาปแห่งตนเองเท่านั้น ไม่มีใครทำบุญให้ใคร หรือทำบาปให้กับใครได้ เพราะบุญและบาปจะเกิดขึ้นก็แต่ผู้กระทำเท่านั้น
ซึ่งตรงจุดนี้ จะมีคนแย้งมาแน่นอนว่า แล้วการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลล่ะ นั่นก็เป็นการทำบุญให้ไม่ใช่หรือ ถ้าบุญยังทำให้กันได้ ทำไมบาปจะทำให้กันไม่ได้
ก็คงต้องเรียนอธิบายว่า ที่เข้าใจอย่างนั้น เป็นการเข้าใจกันไปเองครับ เข้าใจผิดโดยไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ ฟังแค่เปลือกและกระพี้ แล้วก็ปักใจเชื่อโดยไม่มีการไตร่ตรอง
ถ้าฟังกรณีศึกษาในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาบ่อยๆ เรามักจะได้ยินว่า ขณะนี้ยังรับบุญที่อุทิศไปให้ไม่ได้เพราะกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกขุมนั้น ขุมนี้ หรือ ขณะนี้ยังไม่ได้รับบุญที่อุทิศไปให้ เพราะไปเกิดแล้ว และ ฯลฯ สังเกตุไหมครับ ยัง "รับบุญ" ที่อุทิศไปให้ไม่ได้ นั่นหล่ะครับ คือหัวใจหลักของการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล
เราทำบุญ เราได้บุญ ได้รับอานิสงส์แห่งบุญ เราอุทฺิศส่วนบุญส่วนกุศลของเรานั้นแก่ผู้ล่วงลับ ผู้ล่วงลับต้องอยู่ในฐานะที่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลนั้นได้ด้วย รับด้วยวิธีใด รับด้วยการมีสติรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นบุญ มีความปลื้มปิติศรัทธาในบุญนั้น รู้ว่าบุญนั้นมีคุณจริง จึงยกมืออนุโมทนาสาธุในบุญนั้น ผู้ล่วงลับก็จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลนั้นไปตามกำลังของตน
ไม่ใช่เราทำบุญให้ แต่เราทำบุญของเรา แล้วบอกกล่าวต่อผู้อื่น ผู้ใดมีสติอนุโมทนา ก็จะเกิดบุญจากการเกิดสัมมาทิฏฐิในใจ เพราะผลแห่งการปลื้มปิติในบุญของผู้อื่นที่บอกกล่าวกับเรานั้น ทำให้อานิสงส์แห่งบุญบังเกิดขึ้นที่ตัวผู้ล่วงลับไปด้วย เป็นบุญใหม่ที่บังเกิดขึ้นต่อเนื่องจากบุญที่มีผู้อุทิศให้ บุญของผู้อุทิศให้ ยังอยู่ครบบริบูรณ์ไม่หดหายไปแม้แต่น้อย
เหมือนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะชีโว คุณครูไม่เล็กของพวกเรา ที่ได้เมตตาพร่ำสอนพวกเราเอาไว้ว่า การอุทิศส่วนบุญนั้น เปรียบเหมือนการที่เรามีไฟอยู่ในมือ แล้วเรายื่นให้ผู้อื่น เมื่อผู้อื่นเห็นประโยชน์แห่งไฟนั้น ก็เอาเชื้อไฟของตัวเองมาจุดต่อ ความอบอุ่นของไฟ ความสว่างของแสงไฟ ก็ไปปรากฏแก่ผู้นั้นด้วย โดยที่ไฟของผู้ที่ยื่นให้ก็ยังคงอยู่ดี ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด การอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลก็เปรียบได้แบบนี้แหละครับ
เพราะฉะนั้น ตามหลักกฏแห่งกรรม บุญและบาปทำให้กันไม่ได้
.....................................................................................................................................
แล้วมาถึงคำถามที่ว่า ทำไมทุกข์มาตกอยู่ที่ลูก
ต้องอธิบายอย่างนี้ครับ สิ่งที่เกิดกับลูก คือสิ่งที่โปรแกรมมาแล้วก่อนที่เขาจะมาเกิด จะเกิดมารวย จน สมบูรณ์ พิกลพิการ ทุกอย่างถูกวางโครงสร้างมาในผังที่ได้วางเอาไว้ด้วยบุญและบาปเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีวิบากกรรมที่แรงกว่ามาส่งผลตัดรอน เขาก็ต้องเกิดมาตามนั้น ตามผลบุญและบาปของตนเองที่ได้สั่งสมเอาไว้ ไม่ได้รับผลมาจากการกระทำของพ่อแม่แต่อย่างไร
ก็จะเกิดคำถามตามมาว่า แล้วทำไมลูกคนนี้เขาต้องมาเกิดกับฉันด้วย
อันนี้ต้องอธิบายว่า ตรงนี้เป็นผลจากวิบากกรรมของพ่อแม่เป็นตัวดึงดูดให้เขามาเกิดครับ ถ้าพ่อแม่มีศีล มีธรรมเป็นหลัก ก็จะดึงดูดให้ผู้มีบุญมาเกิดด้วยอำนาจของศีล และธรรม ของพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ขี้เหล้าเมายา ก็จะไปดึงดูดพวกที่มีเชื้อขี้เหล้าเมายาให้มาเกิด ผู้ที่ชักชวนให้ผู้อื่นทำแท้ง พอได้มาเกิดเป็นพ่อแม่คน วิบากกรรมก็จะดึงดูดพวกที่มีวิบากกรรมทำแท้งให้มาเกิด แล้วก็ตายตั้งแต่อยู่ในท้อง ก็มีปรากฏในหลายกรณีศึกษาของโรงเรียนอนุบาลฯ เรา
ลูกจะเกิดมาเป็นอย่างไร อยู่ที่กำลังบุญและบาปของพ่อแม่ อย่าได้ไปโทษใครทั้งนั้น ไม่มีใครผิด เพราะนี่คือความจริงของชีวิต เราต้องเรียนรู้และเข้าใจ พร้อมที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้นอย่างมีสติ แล้วจะทำให้เรามีความสุขได้ครับ จากนี้ไปก็หมั่นทำบุญทุกๆ บุญให้มาก รักษาศีลเพื่อตัดรอนกำลังของวิบากกรรม ทำสมาธิเจริญภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญาในการอยู่ร่วมกับสิ่งที่เป็นมา เป็นไปได้อย่างมีสติ แค่นี้ก็จะทำให้เราลืมทุกข์ และมีความสุขได้แล้วครับ
ปล.ขออภัยยาวไปหน่อย แต่เรื่องพวกนี้ละเอียดอ่อน มีตัวแปรมาก ก็คงต้องทนๆ อ่านกันไปแหละครับ
โพสต์เมื่อ 03 July 2014 - 11:39 PM