ปฐมชาติพวกเรามาจากไหน หาอ่านได้จากไหนครับ
#1
โพสต์เมื่อ 15 October 2007 - 11:51 PM
ไม่ทราบว่าจะหาอ่านได้จากที่ใดครับ
พอดีวันก่อนพระท่านเทศน์เกริ่น ๆ ไว้ พอดีเวลาหมด แล้วยังไม่เจอพระองค์เดิมอีกครับ
รบกวนใครช่วยตอบ หรือหาที่อ่านได้ที่ไหนครับ
ขอบคุณครับ
#2
โพสต์เมื่อ 16 October 2007 - 09:40 AM
#3
โพสต์เมื่อ 16 October 2007 - 12:03 PM
พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบให้ฟังอย่างนี้นะครับว่า
"หากมีชายคนหนึ่ง ถูกคนแปลกหน้ายิงธนูมาจากที่ไกล แล้วมาปักลงที่เขา ถามว่า เขาควรจะรักษาตัวให้หายดีก่อน หรือ อย่าเพิ่งรักษาตัว แต่ขอสอบถามหมอก่อนว่า ธนูนี้เป็นของใคร ใครยิงธนูใส่เขา ยิงด้วยจุดมุ่งหมายใด ฯลฯ"
คนที่ไปถามพระพุทธเจ้า เมื่อถูกพระองค์ย้อนถามเชิงเปรียบเทียบ จึงบอกว่า "ใช่แล้ว ชายผู้ถูกยิงธนูควรรักษาตัวให้หายดีก่อน"
พระพุทธเจ้าจึงสรุปให้ฟังว่า "ตัวเธอเองก็เช่นกัน ตอนนี้เธอกำลังถูกธนูแห่งความแก่ เจ็บ ตาย พุ่งเข้าใส่อยู่ทุกวินาที ดังนั้น เธอควร รักษาตัว ด้วยการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรม พ้นเกิดแก่ตาย ก่อน หรือว่า ยังไม่ต้องปฏิบัติ แต่หาคำตอบให้ได้ก่อนว่า ความแก่เจ็บตายมาจากไหน มนุษย์คนแรกมาจากไหน โลกเกิดมาได้อย่างไร ฯลฯ"
คนที่ไปถามได้ฟังก็เข้าใจ และปฏิบัติตนเป็นศิษย์พระพุทธเจ้าน่ะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 16 October 2007 - 04:00 PM
แต่สามารถหาฟังได้ จากนักสร้างบารมียุคแรกๆ
ถ้ามีความมุ่งมั่นอยากรู้จริงๆซักวันจะเจอคนที่ให้คำตอบได้ครับ
หลวงพ่อเคยเทศน์ในวันอาทิตย์ต้นเดือนครั้งนึง ราวสิบกว่าปีมาแล้วสมัยยังบูชาเข้าพระในสภาหลังคาจากครับ (ส่วนนึง)
เสียดายคุณมาช้าไปหน่อย ถ้าเจอคุณป้าแม่ชีถวิล รับรองว่าท่านจะตอบคุณแน่ๆ
#5
โพสต์เมื่อ 16 October 2007 - 06:07 PM
สังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม-รูป
นาม-รูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
ชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา-มรณะ โสกะ,ปริเทวะ,ทุกข์,โทมนัส,อุปายาส หรืออาสวะ
เป็นวงจรดังนี้
ทีนี้ก็มีผู้ที่อยากรู้อีกว่า ก่อนมีวงจรนี้มีอะไรมาก่อน ถ้าจะตอบว่า พญามารสร้างมา ผู้ดื้อรั้นก็จะถามอีกว่า แล้วใครสร้างพญามาร ก็ตอบว่า พ่อพญามาร ปู่พญามาร ทวดพยามาร เหง้าสักหลาด... อยากรู้ไปไม่รู้จบ เมื่อปัญญาคนตามรู้ไปไม่จบอย่างนี้
พระพุทธเจ้าท่านก็เลยสอนนายคนนั้นไปว่า ให้แก้ที่ตัวเรานั่นเองเพราะตัวเราเป็นเหตุแห่งความใคร่รู้ทั้งสิ้น ดังคำอุปมาที่พี่หัดฝันได้ตอบไว้ครับ
#6
โพสต์เมื่อ 16 October 2007 - 06:32 PM
http://www.84000.org...B...1703&Z=2129
โดยย่อๆ เรามาจากพรม ครับ
พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องการอุบัติขึ้นมาของสรรพสิ่งในโลก
และวิวัฒนาการของสัตว์มนุษย์และสังคม ว่า
ในอดีตกาลนานมาแล้ว โลกนี้ได้พินาศ
สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก
และเมื่อโลกอุบัติขึ้นมาใหม่ สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้
เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจ กินปีติเป็นอาหาร (ยังมีอำนาจฌานอยู่)
มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ มีสภาพเหมือนเช่นในชั้นอาภัสสรพรหม
ในขณะที่โลกวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ๆนั้น จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่น้ำ มีแต่ความมืด
ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มีดาวนักษัตรทุกชนิด
ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่ปรากฏเวลาเป็นเดือน
เป็นปี มนุษย์ที่จุติจากอาภัสสรพรหม อาศัยอยู่ในโลกตอนนั้น
ไม่ปรากฏเพศชาย และเพศหญิง แต่ก็รู้ตัวว่าเป็นสัตว์มนุษย์
โดยสรุปจากอัคคัญญสูตร ครับ..
ชีวิตของพืช และชีวิตของมนุษย์ เกิดมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของโลกนั่นเอง
เป็นมนุษย์พวกแรกในโลก เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันมีลักษณะพิเศษคือ
เกิดจากใจของตนเอง , มีแสงในตัวเอง มีปีติเป็นอาหาร ท่องไปในอากาศได้ อยู่วิมาน
ไม่มีผู้หญิงผู้ชาย เป็นอาภัสสรพรหมจุติมาเป็นมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์พวกนี้
วิวัฒนาการไปเป็นร่างกายที่หยาบ เนื่องจากอาหารและสภาพจิตที่เปลี่ยนไป
บริโภคอาหารหยาบขึ้น ติดใจในรสอาหารนั้น (เกิดตัณหา)
สภาพจิตใจก็หยาบขึ้นด้วย ร่างกายที่เคยละเอียดก็หยาบ
จนกระทั่งมีลักษณะเพศปรากฏว่า เป็นหญิงหรือชาย สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป
ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เป็นวิวัฒนาการทางด้านเคมีและทางด้านชีวภาพ
เมื่อมีเพศจึงเสพเมถุนธรรมกัน จึงถูกสังคมลงโทษ แต่ในเวลาต่อมาถือเป็นเรื่องธรรมดา
แล้วกำเนิดของมนุษย์ในแบบใหม่
ต้องอาศัยมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิดอย่างในปัจจุบันจึงเริ่มต้นมาด้วยประการฉะนี้
.....................
ผมเคยอ่านจากหนังสือของป้าถวิล เล่มปกสีแดง และ หนังสืออีกเล่ม ของวัดพระธรรมกาย
ที่ปกสีน้ำตาล น่ะครับ ท่านเขียนดีมาก
อ่านแล้วมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา มากยิ่งขึ้น
ซึ่งเป็นการเพิ่มพูนอริยทรัพย์ข้อที่หนึ่ง ดี่ยิ่งนักครับ
................................
ตั้งข้อสังเกต นะครับ
ไฟล์แนบ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#7
โพสต์เมื่อ 16 October 2007 - 06:48 PM
แล้วกำเนิดของมนุษย์ในแบบใหม่
ผมขอตั้งข้อสังเกตุ จากข้อความข้างบน นะครับ ว่าสังคมปัจจุบันของเรา มองเรื่อง..
๑.การดื่มของมึนเมา เป็นเรื่องธรรมดา
๒. การฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เป็นธรรมดา
๓. การทำธุรกรรมทางการเงินที่อาศัยจากความเขลา ของหมู่ชนเป็นเรื่องธรรมดา
๔.การมีกิ๊ก มีชู้ ผิดต่อคู่ครองเป็นธรรมดา
๕.การพูดคำหยาบโลน โกหก หลอกลวงกันเพื่อ ตอบสนองกิเลส เป็นเรื่องธรรมดา
และอีกหลายอย่างที่เป็นอกุศลมูล ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม
เพราะว่า พ.ศ. นี้คือ 2550 เกินครึ่งพุทธกาลมา 50 ปี ซึ่งเป็นช่วง ขาลง (ไขลง) ครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#8
โพสต์เมื่อ 18 October 2007 - 06:03 PM
#9
โพสต์เมื่อ 18 October 2007 - 08:29 PM
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#10
โพสต์เมื่อ 19 October 2007 - 06:23 PM
อย่างไรก็อย่าลืมที่จะมองดูตัววิจิกิจฉา ซึ่งเป็นนิวรณ์ในใจตัวหนึ่งที่รบกวนการปฎิบัติธรรมด้วยนะคะ
เพราะความลังเลสงสัยจะทำให้เสียเวลาที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงผู้รู้ภายใน
ผู้รู้ภายในจะตอบคำถามทุกอย่างได้ทั้งหมด และตอบได้อย่างถูกต้องด้วยค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 20 October 2007 - 10:22 AM
แต่เมื่อดูจากคำตอบแล้ว ก็อดที่จะสงสัยต่ออย่างที่หลาย ๆ ท่านบอกไว้ไม่ได้ว่า
แล้วพรหมอาภัสสรที่ว่าเนี่ยะก่อนหน้านั้นเกิดขึ้นมาได้ยังงัย
แต่คำถามที่ถามมา และสงสัยต่อไปเนี่ยะครับ จะไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ลังเลในพระพุทธศาสนาหรอกครับ
แต่จะทำให้เป็นแรงให้เราหาเวลาตั้งใจเข้าถึงพระข้างในตัวเราให้มากขึ้น เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งที่อยากรู้ต่อไปครับ
ยังงัยก็ขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านมาก ๆ อีกครั้งครับ
ขอบคุณครับ
#12
โพสต์เมื่อ 22 October 2007 - 10:24 AM
แต่คำตอบนี้จะไม่ได้ช่วยคลายความสงสัยเลย เพราะก็จะเกิดความสงสัยต่อไปว่า แล้วมนุษย์ในกัปก่อนหน้านั้นมาจากไหน แน่นอน ย่อมจะมีผู้ตอบว่า ก็มาจากอาภัสสราพรหม ซึ่งก็คือ อดีตมนุษย์ของกัปก่อนหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
และในที่สุดก็จะมาจบที่คำถามสุดท้ายว่า ซึ่งก็คือ คำถามแรกของคุณเจ้าของกระทู้ว่า ปฐมชาติของมนุษย์มาจากไหน ซึ่งคำตอบก็จะเป็นดังที่ผมตอบไปในความเห็นที่ 3 นั่นเองครับ
เหตุใดจึงตอบเช่นนี้ ก็เพราะต่อให้ตอบอะไรออกไป ก็ไม่อาจจะแก้ความสงสัยได้ ดังที่น้องสิริปโภขยายความในความเห็นที่ 5 นั่นเองครับ เนื่องจากมนุษย์เราถูกบดบังไว้ด้วยอวิชชานั่นเอง จึงไม่อาจทราบคำตอบที่แท้จริงได้ ต้องละอวิชชาเท่านั้น จึงจะพบคำตอบที่เที่ยงแท้ครับ
#13
โพสต์เมื่อ 22 October 2007 - 05:57 PM
ขอบคุณมาก ๆ ครับ
จริง ๆ แล้วยังมีปัญหาอะไรอีกหลาย ๆ อย่างประมาณคุณอนันต์ใหม่ ๆ อ่ะครับ
แล้วก็ปัญหาอย่างเช่นนิพพานมีแดนหรือไม่ อย่างที่เมื่อก่อนเคยมีเรื่องกันมา
และอื่น ๆ อีกจิปาถะ แต่ถึงตอนนี้คงต้องรีบไปหาทางถอนธนูออกจากตัวผมซะแล้วล่ะครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับ
#14 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 23 February 2008 - 04:52 PM
#15
โพสต์เมื่อ 08 March 2008 - 07:12 PM
#16
โพสต์เมื่อ 09 March 2008 - 10:22 PM
เค้าเล่ากันว่า...พวกเราทุกคนมาจากเเดนเบื้องบนครับ(เเดนนิพาน) เเต่ทำไมเราถึงมาอยู่โลกละเพราะกิเลส..ต่างๆ ทำให้เราทุกคนก็อยู่ในโลกนี้ เวียนวายตายเกิดนานถึง ๖๐.๐๐๐ ปี ยังหาทางกลับเเดนนิพานไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ถึงวิธีที่จะนำไปสู่หนทางนิพาน ทำไมผมจึงบอกว่าเรามาจากเเดนนิพานหรอครับ ลองคิดดูสิครับ ว่า เราทุกรู้จักสงสารเป็นไหมครับ?รู้จักว่าสิ่งไหนถูกผิดไหมครับ? ทุกคนรู้ผิดชอบชั่วดีกันทั้งนั้นครับ...(ความสงสารไม่ต้องมีใครสอน เเต่มันติดมากับจิตญานของเรา หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า จิตญาณเเท้ ใจเดิม)..ทุกคนล้วนเเล้วเเต่มีจิตที่เป็นพุทธธะ ทุกคนสามารถที่นิพานได้ทั้งนั้น ที่สำคัญเราต้องเลือกว่าเราจะกราบพระ..หรือจะเป็นพระ....ดังนั้นก็ต้องเพียญพยายามต่อไปนะครับ..ขอให้ฟ้าเบื้องบนโปรดชี้ทางให้กับเหล่าเวไนย์ทั้งหลายด้วย ขอให้ผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กลับคืนสู่เเดนนิพานโดยเร็วด้วย...เพราะว่าภัยภิบัติกำลังกวาดล้าง..ผู้ที่ก่อกรรม บัดนี้เจ้ากรรมนายเวรจะทวงนี้ในชาตินี้ทั้งหมด..ใครทำดีก็ได้ดีในชาตินี้ ใครก่อกรรมก็ได้รับกรรมในชาตินี้...ขอให้เร่งบำเพ็ญเพียญอย่างจริงจัง..
#17
โพสต์เมื่อ 11 March 2008 - 03:01 AM
#18
โพสต์เมื่อ 12 March 2008 - 12:04 AM