พระในบ้าน ( คุณแม่ ) คอยขัดขวางลูกเสมอ เรื่องการทำบุญ เพราะท่านคิดว่าจะต้องรวย เหลือกินเหลือใช้ก่อน
เป็นเหตุทำให้ คุยกันไม่ได้ เพราะคุยทีไรท่านมักจะพูดคำไม่ดีมาเสมอ ๆ เกี่ยวกับวัด และการทำบุญ เลยไม่ค่อยได้คุย
กันเพราะไม่อยากให้ท่านใจหมอง ปัจจุบันนี้แค่ท่านเห็นหน้าลูก ก็อารมณ์เสียแล้ว ยิ่งทำให้ลูกนิ่งยิ่งขึ้นเพราะไม่อยากให้
ท่านพูดไม่ดี การนิ่งไม่พูดกับแม่จะบาปมั้ยคะ
จะบาปมั้ยคะ
เริ่มโดย มุฑิตา, May 10 2008 09:57 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 10 May 2008 - 09:57 PM
#2
โพสต์เมื่อ 10 May 2008 - 10:11 PM
การทำตัวนิ่งเฉยไม่ถือเป็นบาปครับ แถมยังเป็นการฝึกอุเบกขาบารมีอีกต่างหาก ถ้าเราทำตัวเป็นลูกที่ดีแต่ท่านไม่เข้าใจ น้องทำถูกต้องแล้วครับที่ทำนิ่งเฉยไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับท่าน เพราะถ้าน้องไปต่อล้อต่อเถียงกับท่าน นี่ถึงจะเป็นบาปครับ แถมไม่มีข้อยกเว้นแม้ท่านจะเป็นคนที่เห็นผิด จะไม่เข้าใจว่าน้องทำดีก็ตาม เพราะเป็นพ่อหรือแม่จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณ มีบุญคุณต่อเราครับ
หากท่านไม่เข้าใจแต่น้องอยากทำความดีก็ทำอย่าให้เขารู้ แต่ถ้าเขารู้มาดุด่าว่ากล่าว ก็จงนิ่งเฉยครับน้องทำถูกแล้ว ^ ^
หากท่านไม่เข้าใจแต่น้องอยากทำความดีก็ทำอย่าให้เขารู้ แต่ถ้าเขารู้มาดุด่าว่ากล่าว ก็จงนิ่งเฉยครับน้องทำถูกแล้ว ^ ^
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 11 May 2008 - 03:45 AM
พอ พอกับ แม่เราเลย เราก็บอกว่า ถ้าแม่ไม่ชอบก็อย่าพูดถึง ให้เปลี่ยนเรื่องพูด แม่ยังไม่รู้ว่าจริงเท็จ ให้แม่อย่าพูดถึง เดี๋ยวจะไม่เห็นมรรค เห็นผล ชอบแบบใหน แม่ก็ไปทำแบบนั้นเถอะ ชวนสร้างพระ ไม่ยอมทำ แต่ทำบุญหัวเสาที่วัดเล็กเล็กแถวบ้าน ตั้ง สี่พัน ท่านควักเฉยเลย ก็ไม่ว่ากัน
#4
โพสต์เมื่อ 11 May 2008 - 09:12 AM
การที่คุณนิ่งเฉยเนี่ย ไม่ทราบว่านิ่งเฉยแบบไหนคะ เช่น
เวลาคุณแม่พูดเนี่ย ก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เมินหน้าหนี หรือ ทำให้ท่านทราบว่ารับฟังท่าน แต่ ไม่โต้แย้ง ไม่เถียง
ถ้าคุณรับฟัง แต่ ไม่เถียงก็ไม่เป็นไรค่ะ
แต่ถ้าคุณทำเมิน เหมือนไม่รับฟัง ไม่สนใจ
ท่านรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่คุณทำ นั่นเป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจนะคะ
การทำอนันตริยกรรม ประกอบไปด้วยทางความคิด (ใจ) ทางกายและทางวาจา
การกระทำใดที่ทำให้ผู้มีคุณมาก ได้รับบาดเจ็บในทุกทาง ถือเป็นกรรมหนัก หรืออนันตริยกรรม ผลที่จะได้รับคือ อกหัก ผิดหวัง ตลอดชีวิตรวมทั้งตลอดไป
พ่อแม่ไม่สบายใจ นั่นเป็นกรรมเฉพาะตนของพ่อแม่
ส่วนลูกทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ย่อมก่อเกิดเป็นกรรมของลูก และเป็นกรรมหนัก (อนันตริยกรรม) พ่อ แม่ ลูกยังมีกรรมร่วมกันอีก
ทางแก้กรรมของพ่อแม่ คือ ยอมรับความเป็นจริงในเรื่องชีวิตของมนุษย์ กงกรรมกงเกวียน หาทางแก้ไข เช่นมีการพูดคุยกันกับลูก หรืออาจจะต้องมีการบังคับกันบ้าง
ทางแก้กรรมของลูก คือ ขออโหสิกรรม หรือขอขมา กราบขอโทษ พ่อแม่ตอนท่านมีชีวิต ให้ท่านยกโทษ พร้อมทั้งเปลี่ยนพฤติกรรมของตนใหม่โดยไว
ทำดีอย่างนี้บ่อยๆ ความสุขย่อมบังเกิดในตนและครอบครัวตลอดไป
เวลาคุณแม่พูดเนี่ย ก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เมินหน้าหนี หรือ ทำให้ท่านทราบว่ารับฟังท่าน แต่ ไม่โต้แย้ง ไม่เถียง
ถ้าคุณรับฟัง แต่ ไม่เถียงก็ไม่เป็นไรค่ะ
แต่ถ้าคุณทำเมิน เหมือนไม่รับฟัง ไม่สนใจ
ท่านรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่คุณทำ นั่นเป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจนะคะ
การทำอนันตริยกรรม ประกอบไปด้วยทางความคิด (ใจ) ทางกายและทางวาจา
การกระทำใดที่ทำให้ผู้มีคุณมาก ได้รับบาดเจ็บในทุกทาง ถือเป็นกรรมหนัก หรืออนันตริยกรรม ผลที่จะได้รับคือ อกหัก ผิดหวัง ตลอดชีวิตรวมทั้งตลอดไป
พ่อแม่ไม่สบายใจ นั่นเป็นกรรมเฉพาะตนของพ่อแม่
ส่วนลูกทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ย่อมก่อเกิดเป็นกรรมของลูก และเป็นกรรมหนัก (อนันตริยกรรม) พ่อ แม่ ลูกยังมีกรรมร่วมกันอีก
ทางแก้กรรมของพ่อแม่ คือ ยอมรับความเป็นจริงในเรื่องชีวิตของมนุษย์ กงกรรมกงเกวียน หาทางแก้ไข เช่นมีการพูดคุยกันกับลูก หรืออาจจะต้องมีการบังคับกันบ้าง
ทางแก้กรรมของลูก คือ ขออโหสิกรรม หรือขอขมา กราบขอโทษ พ่อแม่ตอนท่านมีชีวิต ให้ท่านยกโทษ พร้อมทั้งเปลี่ยนพฤติกรรมของตนใหม่โดยไว
ทำดีอย่างนี้บ่อยๆ ความสุขย่อมบังเกิดในตนและครอบครัวตลอดไป
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#5
โพสต์เมื่อ 11 May 2008 - 08:29 PM
ไม่ถึงกับอนันตริยกรรมครับ
#6
โพสต์เมื่อ 11 May 2008 - 09:30 PM
จากผู้ส่งกระทู้... แล้วเราควรทำอย่างไรคะ เพราะการเข้าวัดของลูกและการทำบุญ และทาน ทุกชนิด และทุกประเภท ทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกแย่และเสียใจ..ทั้งๆ ที่ลูกไม่เคยละเลยในการดูแลแม่เลย เพราะรู้ดีว่าแม่เป็นผู้มีพระคุณมากที่สุด แต่แม่ต้องมาเสียใจและเสียน้ำตา กับการที่ลูกชอบเข้าวัดทำบุญ และทำทาน มากกว่าการเก็บเงินไว้ในบัญชีเพื่ออนาคตข้างหน้า
แล้วท่านก็ว่าลูกตลอดว่า บาปหนานัก ที่ทำให้แม่ร้องไห้....
แต่ดิฉันเองไม่เคยให้แม่ลำบากนะคะ เงินเดือนที่ได้มาก็ให้แม่ทุกเดือน ก่อนให้ก็ไหว้ท่านก่อนแล้วถึงให้ ...ค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่บ้านลูกเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ...ผิดอยู่ตรงที่ไม่มีเงินเก็บหอมรอมริบไว้เท่านั้นเอง...
แล้วท่านก็ว่าลูกตลอดว่า บาปหนานัก ที่ทำให้แม่ร้องไห้....
แต่ดิฉันเองไม่เคยให้แม่ลำบากนะคะ เงินเดือนที่ได้มาก็ให้แม่ทุกเดือน ก่อนให้ก็ไหว้ท่านก่อนแล้วถึงให้ ...ค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่บ้านลูกเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ...ผิดอยู่ตรงที่ไม่มีเงินเก็บหอมรอมริบไว้เท่านั้นเอง...
#7
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 08:51 AM
ให้ทำใจเย็น ลองชวนไปทำบุญวัดแถวบ้านก่อนก็ได้นะครับ เพราะวัดเราชื่อเสียงในด้านปัจจัยนี่มีเยอะ อีกอย่างการทำบุญไม่จำเป็นต้องมาที่วัดพระธรรมกายก็ได้ อยู่ที่ใจเรา
#8
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 10:14 AM
ยังไม่ต้องเกี่ยวกับวัดหรอกครับ ให้เเม่รู้ว่าเราเข้าวัดธรรมกายก็พอครับ หลังจากนั้นเราค่อยๆเปลี่ยนตัวให้ดีขึ้นครับ เช่นลองหอมเเก้มเเม่ดูสิครับ หรือไม่ก็ชวนเเม่มาตักบาตรตอนเช้าหรือไม่ก็เอาใจเเม่ดูสิครับ หาซื้ออะไรให้ท่านกินบ้าง ลองชวนไปวัดเเถวบ้านดูครับ ให้ท่านเห็นว่าเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นน่ะครับ
ให้ท่านสงสัยเองทำไมวัดธรรมกายทำให้เราดีขึ้นเเล้วค่อยเมื่อโอกาสค่อยพามาบุญใหญ่ๆที่ประทับใจไปเลยครับ
อนุโมทนาบุญด้วยน่ะครับ
ให้ท่านสงสัยเองทำไมวัดธรรมกายทำให้เราดีขึ้นเเล้วค่อยเมื่อโอกาสค่อยพามาบุญใหญ่ๆที่ประทับใจไปเลยครับ
อนุโมทนาบุญด้วยน่ะครับ
#9
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 11:16 AM
ที่บ้านผมก็เคยจนมากๆขนาดไม่มีเงินติดบ้านมาก่อน จนคุณแม่กลายเป็นคนขี้เหนียวจนเป็นนิสัย เคยทะเลาะกันเรื่องเงินทำบุญบ่อยมาก ที่ใหญ่ที่สุดก็สร้างองค์พระให้ท่านหนึ่งหมื่นห้าพันบาทนั่นแหละ เพราะสำหรับท่าน การทำบุญหลักพันนั้นก็เกินพอแล้ว (แต่ท่านก็ทำบุญทุกบุญที่บอกนะครับ แต่แค่หลักร้อยเป็นอย่างมาก)
ผมเลยต้องคิดวิธีที่จะไม่มีการกระทบกระทั่งกันทั้งสองฝ่าย ลองวิธีของผมไหมครับ
เรื่องเงินทำบุญ ผมจะมีบัญชีธนาคารอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งจะวางไว้ที่โต๊ะทำงานในห้องให้คุณแม่เห็นตลอดเปิดดูได้ตลอด(ถึงท่านไม่อยากดู เราก็ยัดเยียดให้ท่านได้เห็น ท่านจะได้ชิน) จะเอาเงินเข้าเดือนละ หมื่นห้า ตลอดทุกครั้งบอกท่านว่าได้เงินเดือนเท่านี้
แล้วเราก็จะถอนทีละพันสองพันมาไว้ใช้จ่ายตามปกติ อย่าถอนเยอะให้เป็นพิรุธ เหลือติดบัญชีให้ท่านเห็นบ้าง พอเก็บได้จำนวนนึง อยากเอาไปทำบุญใหญ่ ผมก็ใช้วิธีต่อเติมบ้านบ้าง ซ่อมแซมบ้านบ้าง อะไรทำนองนี้แหละครับ ให้ท่านเห็นว่าเรามีกิจต้องใช้เงิน จริงๆอาจใช้แค่หลักหมื่นแต่เราถอนมาหลายๆหมื่นก็ไม่เป็นพิรุธอะไร เพราะมีผลงานให้ท่านเห็น ท่านก็แฮปปี้ โดยที่ท่านไม่ต้องมาขุ่นข้องหมองใจกับเรื่องเงินทำบุญกับเราอีก
บัญชีที่สอง ก็เอาซ่อนไว้ที่ทำงาน แล้วก็เอาเงินที่เหลือทั้งหมดใส่ไว้ เอาไว้ทำบุญโดยตรง
เวลาไปวัด ก็วางกระเป๋าตังค์ให้ท่านเห็นว่าเราเอาเงินไปเท่าไหร่ ขากลับมาเราก็มีเงินให้ครบจำนวนเท่าเดิม ทำบ่อยๆให้ท่านชิน แค่นี้ท่านก็ไม่มาสนใจเรื่องเงินทำบุญของเราอีก เพราะเราทำให้ท่านเห็นว่า เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ท่านไม่ชอบ
ใครจะว่าโกหกพ่อแม่ก็ช่าง ผมไม่สน เพราะทุกคนในบ้านแฮปปี้ ไม่มีการทะเลาะกันเรื่องนี้อีก
ส่วนเรื่องที่ท่านว่าวัดว่าหลวงพ่อนั้น ผมก็ปล่อยให้ท่านพูดไป เพราะถือว่าท่านไม่รู้วิบากก็คงไม่หนักหนาเท่าไหร่ แต่ก็ปล่อยให้พูดพักเดียว แล้วผมก็จะตัดเปลี่ยนเรื่องที่ท่านชอบทันที
เช่น ท่านกำลังว่าหลวงพ่อชอบทำอะไรใหญ่โต ฯลฯ ผมก็จะฟังเฉยๆ สักพักผมก็จะหาช่องชวนท่านคุยถึงต้นพุดฮอนแลนด์ที่ได้มาใหม่มันออกดอกแล้ว หอมดี ได้กลิ่นหรือยัง ไปดูซิ จะเอาไปวางตรงไหนดี ฯลฯ ท่านชอบต้นไม้อยู่แล้ว ท่านก็จะเปลี่ยนเรื่องพูดทันที ไม่มีใครหงุดหงิดใจ ขอแต่ว่าเราอย่าชักสีหน้าใส่ท่านเวลาท่านพูดถึงวัดถึงหลวงพ่อแล้วกัน
ลองเอาไปใช้ดูนะครับ เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้นบ้าง
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
ผมเลยต้องคิดวิธีที่จะไม่มีการกระทบกระทั่งกันทั้งสองฝ่าย ลองวิธีของผมไหมครับ
เรื่องเงินทำบุญ ผมจะมีบัญชีธนาคารอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งจะวางไว้ที่โต๊ะทำงานในห้องให้คุณแม่เห็นตลอดเปิดดูได้ตลอด(ถึงท่านไม่อยากดู เราก็ยัดเยียดให้ท่านได้เห็น ท่านจะได้ชิน) จะเอาเงินเข้าเดือนละ หมื่นห้า ตลอดทุกครั้งบอกท่านว่าได้เงินเดือนเท่านี้
แล้วเราก็จะถอนทีละพันสองพันมาไว้ใช้จ่ายตามปกติ อย่าถอนเยอะให้เป็นพิรุธ เหลือติดบัญชีให้ท่านเห็นบ้าง พอเก็บได้จำนวนนึง อยากเอาไปทำบุญใหญ่ ผมก็ใช้วิธีต่อเติมบ้านบ้าง ซ่อมแซมบ้านบ้าง อะไรทำนองนี้แหละครับ ให้ท่านเห็นว่าเรามีกิจต้องใช้เงิน จริงๆอาจใช้แค่หลักหมื่นแต่เราถอนมาหลายๆหมื่นก็ไม่เป็นพิรุธอะไร เพราะมีผลงานให้ท่านเห็น ท่านก็แฮปปี้ โดยที่ท่านไม่ต้องมาขุ่นข้องหมองใจกับเรื่องเงินทำบุญกับเราอีก
บัญชีที่สอง ก็เอาซ่อนไว้ที่ทำงาน แล้วก็เอาเงินที่เหลือทั้งหมดใส่ไว้ เอาไว้ทำบุญโดยตรง
เวลาไปวัด ก็วางกระเป๋าตังค์ให้ท่านเห็นว่าเราเอาเงินไปเท่าไหร่ ขากลับมาเราก็มีเงินให้ครบจำนวนเท่าเดิม ทำบ่อยๆให้ท่านชิน แค่นี้ท่านก็ไม่มาสนใจเรื่องเงินทำบุญของเราอีก เพราะเราทำให้ท่านเห็นว่า เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ท่านไม่ชอบ
ใครจะว่าโกหกพ่อแม่ก็ช่าง ผมไม่สน เพราะทุกคนในบ้านแฮปปี้ ไม่มีการทะเลาะกันเรื่องนี้อีก
ส่วนเรื่องที่ท่านว่าวัดว่าหลวงพ่อนั้น ผมก็ปล่อยให้ท่านพูดไป เพราะถือว่าท่านไม่รู้วิบากก็คงไม่หนักหนาเท่าไหร่ แต่ก็ปล่อยให้พูดพักเดียว แล้วผมก็จะตัดเปลี่ยนเรื่องที่ท่านชอบทันที
เช่น ท่านกำลังว่าหลวงพ่อชอบทำอะไรใหญ่โต ฯลฯ ผมก็จะฟังเฉยๆ สักพักผมก็จะหาช่องชวนท่านคุยถึงต้นพุดฮอนแลนด์ที่ได้มาใหม่มันออกดอกแล้ว หอมดี ได้กลิ่นหรือยัง ไปดูซิ จะเอาไปวางตรงไหนดี ฯลฯ ท่านชอบต้นไม้อยู่แล้ว ท่านก็จะเปลี่ยนเรื่องพูดทันที ไม่มีใครหงุดหงิดใจ ขอแต่ว่าเราอย่าชักสีหน้าใส่ท่านเวลาท่านพูดถึงวัดถึงหลวงพ่อแล้วกัน
ลองเอาไปใช้ดูนะครับ เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้นบ้าง
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ .....
ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน .....
ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ .....
อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ
#10
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 11:35 AM
ขอต่ออีกเรื่อง เรื่องการไปวัดทุกวันอาทิตย์
ทุกอาทิตย์ต้นเดือนผมจะแต่เต็มยศไปวัด ใส่ชุดอุบาสกเลย ให้ท่านเห็นให้ชิน ว่านี่คือชุดไปวัดของเรา ถ้าเราไปวัดเราจะใส่ชุดนี้ และก็แค่เดือนละครั้งเดียวเท่านั้น
จากนั้นผมเปลี่ยนเสื้อทำงาน กับเสื้อออกจากบ้านทุกตัวเป็นสีขาวหมด มีลวดลายบ้างแต่ก็ยังให้ยืนพื้นขาวเอาไว้
เวลาไปวัดวันอาทิตย์ธรรมดา ผมก็จะใส่ชุดที่เหมือนกับเราออกไปทำงานนั่นแหละไปวัด ท่านก็ไม่สงสัยเพราะนึกว่าเราไปทำงาน เพราะผมทำงานทุกวันแม้ในวันหยุด เอางานมาทำที่บ้านบ้าง ไปออฟฟิสบ้าง ไปพบลูกค้าบ้าง ออกไปหาซื้อของบ้าง(บางครั้งเอาท่านไปด้วย) ไปต่างจังหวัดบ้าง ค้างต่างจังหวัด ให้ท่านชินจนเลิกสนใจที่เราจะไปไหนมาไหน ท่านก็จะไม่มาอารมณ์เสียที่เราไปวัดบ่อยๆอีก
วันที่ 17-18-19 นี้ ผมก็บอกแค่ว่าไปค้างต่างจังหวัด ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ทุกคนแฮปปี้
ผมชอบวิธีนี้มากกว่ามานั่งอธิบาย พอไม่เข้าใจก็ทะเลาะกัน ใครจะว่าหลอกลวง โกหก ปิดบัง พ่อแม่ก็ช่าง ผมไม่สนใจ(อีกครั้ง) เพราะทุกคนในบ้านแฮปปี้
คิดว่าอย่างไรครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
ทุกอาทิตย์ต้นเดือนผมจะแต่เต็มยศไปวัด ใส่ชุดอุบาสกเลย ให้ท่านเห็นให้ชิน ว่านี่คือชุดไปวัดของเรา ถ้าเราไปวัดเราจะใส่ชุดนี้ และก็แค่เดือนละครั้งเดียวเท่านั้น
จากนั้นผมเปลี่ยนเสื้อทำงาน กับเสื้อออกจากบ้านทุกตัวเป็นสีขาวหมด มีลวดลายบ้างแต่ก็ยังให้ยืนพื้นขาวเอาไว้
เวลาไปวัดวันอาทิตย์ธรรมดา ผมก็จะใส่ชุดที่เหมือนกับเราออกไปทำงานนั่นแหละไปวัด ท่านก็ไม่สงสัยเพราะนึกว่าเราไปทำงาน เพราะผมทำงานทุกวันแม้ในวันหยุด เอางานมาทำที่บ้านบ้าง ไปออฟฟิสบ้าง ไปพบลูกค้าบ้าง ออกไปหาซื้อของบ้าง(บางครั้งเอาท่านไปด้วย) ไปต่างจังหวัดบ้าง ค้างต่างจังหวัด ให้ท่านชินจนเลิกสนใจที่เราจะไปไหนมาไหน ท่านก็จะไม่มาอารมณ์เสียที่เราไปวัดบ่อยๆอีก
วันที่ 17-18-19 นี้ ผมก็บอกแค่ว่าไปค้างต่างจังหวัด ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ทุกคนแฮปปี้
ผมชอบวิธีนี้มากกว่ามานั่งอธิบาย พอไม่เข้าใจก็ทะเลาะกัน ใครจะว่าหลอกลวง โกหก ปิดบัง พ่อแม่ก็ช่าง ผมไม่สนใจ(อีกครั้ง) เพราะทุกคนในบ้านแฮปปี้
คิดว่าอย่างไรครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ .....
ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน .....
ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ .....
อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ
#11
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 11:48 PM
พี่สาวเราก็มีเรื่องกับแม่ แกชอบอวดภูมิ ชอบโอ้อวดว่านั่งสมาธิแล้วไปรู้ไปเห็นอะไรมา
ชอบมาพูดว่าสามารถสื่อสารกับหลวงพ่อไม่ใหญ่ได้ หลวงพ่อสั่งให้ทำนั่นนี่
การพูดการจาก็เลียนแบบคนที่วัด จนผิดฟังดูผิดมนุษย์มนาบ้านนอก (อยู่ต่างจังหวัดเค้าไม่คุ้นกันคะ)
ชอบต่อว่าแม่ว่าทำนองว่าขู่เดี๋ยวก็ตกนรกขุมนั้นขุมนี้
ด้วยความที่แม่ไม่คุ้นกับการพูดจาหลุดโลก และการโอ้อวดที่เหมือนสาปแช่งให้แม่ตกนรก
แม่จึงเกลียดพี่สาวมากๆ (แต่แกก็เลวจริงๆ เราเองก็ยังทนไม่ค่อยไหว)
จริงๆแม่ไม่ได้เกลียดวัด บางครั้งแกก็นั่งดู DMC แกก็ดูอย่างสงบ แกก็ชอบนะ
แต่พี่สาวชอบพูดโอ้อวดลักษณะเดียวกับผู้นำรถวัดบางคน
ชอบมาพูดว่าสามารถสื่อสารกับหลวงพ่อไม่ใหญ่ได้ หลวงพ่อสั่งให้ทำนั่นนี่
การพูดการจาก็เลียนแบบคนที่วัด จนผิดฟังดูผิดมนุษย์มนาบ้านนอก (อยู่ต่างจังหวัดเค้าไม่คุ้นกันคะ)
ชอบต่อว่าแม่ว่าทำนองว่าขู่เดี๋ยวก็ตกนรกขุมนั้นขุมนี้
ด้วยความที่แม่ไม่คุ้นกับการพูดจาหลุดโลก และการโอ้อวดที่เหมือนสาปแช่งให้แม่ตกนรก
แม่จึงเกลียดพี่สาวมากๆ (แต่แกก็เลวจริงๆ เราเองก็ยังทนไม่ค่อยไหว)
จริงๆแม่ไม่ได้เกลียดวัด บางครั้งแกก็นั่งดู DMC แกก็ดูอย่างสงบ แกก็ชอบนะ
แต่พี่สาวชอบพูดโอ้อวดลักษณะเดียวกับผู้นำรถวัดบางคน