คงต้องอธิบายกันยาวสักหน่อย ต้องขอโทษล่วงหน้าครับ
สมัยเก่า(ประถม)เป็นโรงเรียนวัด ค่อยข้างใกล้ชิดกับเรื่องการสวดมนต์การนั่งสมาธิ ศรัทธาเรื่องของพระพุทธเจ้ามากโดยไม่สงสัยเลย ไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง หรือโกหกนั่นนี่ ผมยังจำช่วงเวลาที่ครูเล่าเรื่องพุทธวัติตอน ป.1ได้ว่าสภาพการสอนตอนนั้นเป็นอย่างไร ตอนนั้นโรงเรียนให้สวดมนต์นั่งสมาธิ(พุทธ-โธ)ตอนเที่ยงทุกวัน ผมก็ทำอย่างตั้งใจอย่างมา กทั้งที่ไม่ได้รุ้หรอกว่าทำไปได้อะไร ก่อนนอนที่บ้านก็ทำเหมือนกัน ตอนนั้นจะนั่งสมาธิกันแค่ 5-10 นาที ในความทรงจำของผม ผมเคยดิ่งจนเป็นเรื่องปกติ บ่อยมาก ในรอบนึงดิ่งครั้งเดียวแต่ดิ่งเกือบทุกครั้งที่ทำสมาธิ ด้วยความไม่รุ้ ผมเข้าใจว่าตอนดิ่งคือตอนเสียสติ ใจลอยสติหล่นลงที่ต่ำ แต่ดิ่งแป๊ปเดียวนะ ดิ่งแล้วขึ้นทันที พอตอน ป.5-6 ผมเริ่มไม่ตั้งใจกับเรื่องสวดมนต์นั่งสมาธิ เพราะตามเพื่อน เพื่อนๆเขาไม่เห็นตั้งใจทำเหมือนผมเลย พอขึ้น ม.ต้น ผมก็แทบจะขาดจากเรื่องพวกนี้ไปมาก ไม่เคยสวดมนต์ไม่เคยนั่งสมาธิเลย มีบ้างนานๆครั้ง เช่นตอนอ่านหนังสือธรรมมะจบใหม่ๆ พี่สาวมาสอนวิธีการทำสมาธิแบบต่างๆ จำไม่ได้ว่า ม.ไหนที่เรียนพระพุทธ ในหนังสือเรียนพื้นฐานสอนเรื่องการนั่งสมาธิแบบพุท-โธโดยกำหนดลมหายใจที่ปลายจมูก ตอนนั้นก็ลองมานั่งสมาธิดูตามวิธีนี้ พบว่าลำบากมาก รุ้ทันทีว่าตอนเด็กผมไม่ได้กำหนดลมหายใจแบบนี้ แล้วตอนนั้นผมกำหนดที่ไหนล่ะ นึกไม่ออกจริงๆ จากนี้ก็ห่างหายจากธรรมมะเหมือนเดิม จนตอนนี้ผมอยู่ ม.ปลาย(ม.5) เจอครุคนนึงชอบเอาเรื่องธรรมมะมาคุยได้คาบ ผมก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นอีก จนก่อนหน้านี้ประมาณ 1 เดือน ผมตั้งใจสวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน ผลคือทำได้ไม่ทุกวันแต่ก็เกือบทุกวัน โดยนั่งสมาธิตั้งเวลา 15 นาทีใช้การกำหนดพอง-ยุบหนอ เพราะถึงจะใช้พุท-โธ ต่อไป ก็คงไม่ได้ผล มันเหมือนกับไม่มีที่ยึดเหนี่ยวแน่นอน บางครั้งก็ปลายจมูกบ้าง กระบังลมบ้าง ความรุ้สึกแน่นหน้าอกบ้าง เลยใช้พองยุบน่าจะดีกว่า 1 เดือนที่ผ่านมาผมไม่เคยดิ่งเลยสักครั้งเดียว นี่คือปัญหา เพราะอะไร วิธีการนั่งของผมไม่รุ้ว่าผิดรึเปล่านะ ผมกำหนดท้อง พองหนอยุบหนอ ถ้าเมื่อยหรือเจ็บตรงไหนก็กำหนดตามนั้น ถ้าได้ยินอะไรก็ฟังมันต่อ ถ้าคิดก็กำหนดว่าคิดหนอโดยพยายามจะรุ้ว่าที่คิดนั้นคือเรื่องอะไร พอได้ที่ก็กลับมากำหนดพองยุบอีก ระหว่างนั่งไม่เคยสนใจเลยว่าจะดิ่งหรือไม่ ผลที่ได้รับคือไม่เคยดิ่งเลย เมื่อกี๊นี้ก็นั่งสมาธิมา พอดีว่าครุคนนั้นแกพูดถึงการดิ่งผมเลยตระหนักได้ว่าทำไมผมไม่ดิ่ง วันนี้ผมนั่งโดยเปลี่ยนวิธีนิดหน่อยหลังจากคิดอะไรมามาก โดยไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับคำว่าพองหนอยุบหนอแต่เอาความรุ้สึกเป็นหลักแทบจะไม่กำหนดด้วยซ้ำว่าพองหรือยุบ ระหว่างนั่งก็คิดเรื่องนั่นเรื่องนี่บ้างรวมทั้งเรื่องการดิ่ง แต่ไม่ได้ลงลึก พอรุ้ว่าคิดก็ อื้อ กำลังคิดอยุ่นะ ไม่สนใจว่าคิดอะไร ผลที่ได้คือเกือบจะดิ่ง ไม่ก็ดิ่งไปแล้วแต่เร็วมาก หรือไม่บางทีก่อนหน้านี้ในวันอื่นๆผมก็อาจจะดิ่งแต่ผมไม่รุ้ ไม่รุ้ยังไงกันแน่ ในลักษณะแบบนี้ผมต้องทำยังไงดีครับ คำถามเล็กๆย่อยๆก่อนหน้านี้ที่อาจจะมีนั้นตอบก็ดีครับแต่ประเด็นอยุ่ที่นี่
1.วิธีของผมอันไหนผิดถูกอย่างไร หรือผมควรเปลี่ยนวิธีการไปทำแบบไหน
2.จำไม่ได้ว่าตอนสุดท้ายก่อนลืมตาคือพองหรือยุบแสดงว่าไร้สติใช่ไหม งั้นทำไมก่อนหน้านี้ที่ผมให้ความสำคัญกับการพองยุบมันถึงไม่ดิ่ง พอมาวันนี้ผมไม่ใส่ใจเรื่องนั้นแต่กลับดิ่ง
3. หลังจากดิ่งแล้วให้พยายามอยุ่ในสภาวะดิ่งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือเปล่า แล้วหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
4.ข้อนี้สำคัญที่สด ตอนนี้ผมคิดเสมอว่าเรื่องวิธีการไม่สำคัญขอแค่ปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆสักวันหนึ่งคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงเอง ไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์หรือคนคนคอยชี้แนะก็ได้ หรือว่าบางทีเรื่องอาจารย์ก็สำคัญหากปฏิบัติคนเดียวแล้วอาจเป็นอันตราย บรรลุได้ช้าเหมือนกับตอนที่ผมเสียใจทุกครั้งที่ดิ่งเมื่อสมัยประถมเพราะความไม่รุ้
อ้อ ตอนนี้ผมไม่ได้ศรัทธาพระพุทธเจ้าเหมือนตอนเด็กนะ เริ่มคิดแล้วเหมือนกัน ลังเล สงสัยบ้าง แต่ก็ยังเชื่อมั่น ความจริงศรัทธาแบบไม่ยั้งคิดเหมือนตอนนั้นก็คงดี
ขอบคุณครับ
ขอความช่วยเหลือครับ
เริ่มโดย minato, Aug 22 2013 10:26 PM
มี 1 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 22 August 2013 - 10:29 PM
#2
โพสต์เมื่อ 23 August 2013 - 09:32 AM
1.วิธีของผมอันไหนผิดถูกอย่างไร หรือผมควรเปลี่ยนวิธีการไปทำแบบไหน
วิธีไม่ได้ผิด แต่พลาดที่การวางใจ จะเลือกวิธีการใด ต้องหันกลับมาพิจารณาอัธยาศัยเราเองว่ามีฉันทะกับวิธีใด
2.จำไม่ได้ว่าตอนสุดท้ายก่อนลืมตาคือพองหรือยุบแสดงว่าไร้สติใช่ไหม งั้นทำไมก่อนหน้านี้ที่ผมให้ความสำคัญกับการพองยุบมันถึงไม่ดิ่ง พอมาวันนี้ผมไม่ใส่ใจเรื่องนั้นแต่กลับดิ่ง
กายคตาสติ กำหนดรู้ถึงอุปจารสมาธิ พอใจประณีตหลุดจากการพองยุบ สมาธิยกระดับเข้าสู่อัปปนาสมาธิ นิ่งและดิ่งวูบได้เร็ว
3. หลังจากดิ่งแล้วให้พยายามอยุ่ในสภาวะดิ่งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือเปล่า แล้วหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ไม่ต้องพยายาม ปล่อยวางไปเรื่อยๆ ประคองใจให้นิ่งนุ่มเบาสบาย แล้วสิ่งดีดีจะผุดขึ้นเองตามธรรมชาติใจที่หยุดนิ่ง ไม่ควรรีบ ไปรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไร เพราะอาจเป็นผลเสีย คือ เผลอใจไปปรุงแต่ง
4.ข้อนี้สำคัญที่สด ตอนนี้ผมคิดเสมอว่าเรื่องวิธีการไม่สำคัญขอแค่ปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆสักวันหนึ่งคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงเอง ไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์หรือคนคนคอยชี้แนะก็ได้ หรือว่าบางทีเรื่องอาจารย์ก็สำคัญหากปฏิบัติคนเดียวแล้วอาจเป็นอันตราย บรรลุได้ช้าเหมือนกับตอนที่ผมเสียใจทุกครั้งที่ดิ่งเมื่อสมัยประถมเพราะความไม่รุ้
http://www.dmc.tv/pa...26_DMC_A07.html
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC