ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ

สอบถามและแชร์อาการเวลานั่งสมาธิครับ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 AparidoD

AparidoD
  • Members
  • 55 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 02 October 2014 - 05:14 PM

ขอเล่าประสบการณ์และขอสอบถามท่านทั้งหลายที่นั่งธรรมกันมานานครับ

 

ก่อนหน้านี้ ก็นั่งกะปริบกะปรอย นั่งแต่ละทีก็ซัก 20-30 นาทีต่อวัน แต่ไม่ได้ทุกวันครับ อยากนั่งเมื่อไหร่ก็ทำ และเริ่มมานั่งจริงๆจังๆ ประมาณ 1 อาทิตย์ (ที่นั่งครั้งละ 50 - 60 นาที) วันนึงจะได้ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง - 2 ชั่วโมง สิ่งที่จะสอบถามมีดังนี้ครับ

 

1. อาการเหมือนคนหลับสัปหงก แต่หัวไม่ได้สัปหงกนะครับ แต่มันเอนไปข้างหน้า โดยเอนไปทั้งหลังในสภาพคอตรงหลังตรง แต่ไม่ได้เป็นต่อเนื่องนะครับ ทิ้งช่วงไป (ไม่เหมือนหลับสัปหงกที่พอเอาหัวขึ้นแป๊บนึงก็สัปหงกอีก)  

อาการนี้สติมีอยู่ครบครับ ได้ยินเสียงรอบข้าง แล้วพอเริ่มเอนก็รู้ว่าเอนหรือโยก

 

2. อาการกระตุก (เหมือนเวลาเรานอนแล้วรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง) อันนี้จะมี 2 แบบครับ

    2.1  กระตุกแบบดีดไปข้างหลังครับ

    2.2 แบบนั่งตัวตรงแล้วกระตุกทั้งนั่งตรงๆแบบนั้น

    2.3 มือที่อยู่บนตัก 1 ข้าง ก็กระตุกอย่างแรงครับ

อาการนี้ ไม่สารถรู้ได้ครับว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ เพราะอยู่ๆมันก็กระตุกเอง

 

3.อาการตัวแข็ง ทั้งหลังทั้งคอ และท่านั่ง แข็งทื่อเหมือนหิน อาการนี้เคยเกิดแต่ไม่ทุกครั้งครับ ก่อนจะเป็นแบบนี้จะต้องมีการกระตุก จากอาการในข้อ 1 หรือ 2 พอหลังจากเด้งกลับ มันก็มีอาการนี้ตามมา เสียงรอบข้างทุกอย่าง ชัดเหมือนเหมือนตอนเราออกมาจากสมาธิแล้วครับ

 

อาการอื่นไม่ขอเล่ารายละเอียดนะครับ เพราะพอรู้ว่ามันเป็น ปีติ แต่อาการพวกนี้ มันทำให้ผมสงสัยครับว่ามันคืออะไร ผมปฏิบัตถูกแล้วใช่หรือไม่ หรือผมหลับไป??? จะได้แก้ไขให้ถูกต้องครับ

 

ประสบการณ์ที่เกิดในตอนที่ยังนั่งไม่จริงจัง :

   1. เกิดอาการในข้อ 1 และ 2.1 เป็นประจำครับ

   2. เกิดนิมิตลวงครั้้งแรก อาการนี้นั่งๆอยู่เริ่มรู้สึกว่าโดนดูดเข้ากลาง แล้วแป๊บเดียวภาพดอกบัวบานกับแสงเขียวๆ โผล่ออกมาได้อย่างไรไม่ทราบ ผมตื่นเต้นเลยเพ่งตามมันไป จนมันลอยหายไป จากนั้่น แสงสีเขียวก็วูบวาบไปหมด พอมันหายไป ก็รวมจิตไม่ได้เลยครับ 

   3. เป็นนิมิตหรือฝันก็ไม่ทราบ เที่ยวนี้ค่อนข้างเร็วครับ หลับตาแป๊บเดียว เหมือนฝัน เห็นภาพรูปปั้นพระบูชา 3 องค์ มีพระพุทธ 1 องค์ หลวงปู่ 1 องค์ และอีกองค์ไม่ทราบว่าเป็นใคร วางอยู่บนโต๊ะ เห็นคนนุ่งขาวแบบชุดนาค แต่เห็นแค่ช่วงท้อง เพราะสายตาจับจดอยู่ที่รูปปั้นพระ แล้วก็มีเสียงบอกว่าให้เลือก 2 องค์ ผมก็เลือกหลวงปู่กับพระอีกองค์ที่ไม่รู้ว่าใคร (ที่ไม่เลือกพระพุทธเพราะบ้านผมเยอะแล้ว) หลังจากผมหยิบพระมา

ภาพหายไปพร้อมกับ แสงสว่างจ้าจนผมนึกดวงแก้วไว้ที่กลางกายไม่ได้เลย เพราะมันโดนแสงกลืนหมด ผมเลยลืมตา แล้วก็ทำสมาธิใหม่ หลับตาปุ๊บ แสงสว่างก็ไม่หายไปครับ เลยเลิกทำ กลัวว่าจะทำสมาธิต่อไม่ได้ แต่ 2-3 วันถัดมา เพื่อนผมก็ให้ หลวงปู่ (ของทางวัด) มาบูชาที่บ้าน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็ได้ร่วมบุญกับทางวัด ได้คุณยายมาบูชาอีกองค์

หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็ไม่เคยเห็นภาพอะไรอีกเลยครับ

 

ประสบการณ์ที่เกิดตอนที่นั่งจริงจัง : 

   เกิดอาการทุกข้อ แต่ข้อ 1 นานๆจะเกิด เกิดทีก็ทิ้งช่วงนาน แต่อาการในข้อ 2 และ 3 จะเกิดขึ้นมา แต่ก็นานๆจะเกิดเหมือนกันครับ

 

สิ่งที่อยากถาม

   1. ผมยังคงสงสัยเรื่องการนึก ดวงแก้วครับ คือผมมีลอง 2 วิธี คือ หลับตาปกติ แล้วนึกแค่กลางท้อง วิธีนี้ ผมนึกดวงแก้วยากครับเพราะมันเหมือนมองไปข้างหน้า แล้วให้จินตานาการสิ่งที่อยู่ข้างหลัง เพราะสิ่งที่นึก มันก็อยู่ข้างหน้า แล้วก็อีกวิธีคือ หลับตา แต่ตำแหน่งตาจะอยู่ในตำแหน่งมองไปที่ท้อง (ถ้าหน้าตรง ต้องขยับลูกตามองลงไปยังท้อง ถ้าก้มหัวก็ไม่ต้องขยับลูกตา) แบบนี้จะนึกแก้วง่ายครับ แต่วิธีที่ 2 ผมรู้สึกว่ามันเหมือนจะเป็นการเพ่งหรือเปล่า ท่านทั้งหลาย มีวิธีการอย่างไรบ้างครับ วิธีที่ผมทำทั้ง 2 แบบถูกต้องหรือไม่

  2. ตอนที่จิตตกศูนย์ เป็นตอนที่ผมไม่ได้นึกอะไรเลย ไม่ได้นึกกลางท้อง ไม่ได้นึกแก้ว ในหัวไม่มีอะไรเลย ผมทำแบบนี้ผิดหลักวิชาหรือเปล่าครับ แต่มันตกศูนย์เองทั้งๆที่ไม่ได้นึกอะไรเลย ผมเลยยังคงสับสนว่าควรจะทำอย่างไรแน่ กลัวว่าไม่ปฏิบัติตามหลักวิชา จะไม่เข้าถึงธรรม

  3. หากเรานึกแก้วยาก เราไม่นีกได้มั้ยครับ ปกติผมตั้งจิตไปที่ ศูนย์กลางกาย ก็จะรู้สึกว่ามันเป็นจุดอยู่แล้วครับ

  4. การที่เรานั่งแล้วไม่เกิดอาการใดๆเลย และจิตก็ว่าง ไม่มีเรื่องใดมาแทรก ไม่ได้นึกศูนย์กลางกาย เหมือนเป็นสิ่งของชิ้นนึง แบบนี้ถือว่าถูกทางเหมือนกันหรือเปล่าครับ

  5. อาการดูดที่เคยเจอและสังเกตุได้ คือ มันจะเริ่มรู้สึกซาบซ่านไปทั่วตัว ไหลมารวมกันตรงกลาง แล้วหมุนวนเหมือนน้ำวนน่ะครับ แล้วพอปลายมันลงไป นิมิตก็โผล่เลย หลังๆมาพอจะจับอาการได้ว่าทำอย่างไรจะเกิดอาการนี้ แต่พอทำแล้ว มันหมุนลงไป ยังไม่สุดมันก็จางหายไปก่อน เหมือนพายุสลายตัวอะครับ สงสัยผมคงตั้งใจมากเกินไป มีใครมีอาการแบบผมบ้างมั้ยครับ



#2 AparidoD

AparidoD
  • Members
  • 55 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 03 October 2014 - 08:46 AM

สงสัยไม่มีใครรู้ คำตอบ หรือไม่ก็งง คำถามแฮะ



#3 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 03 October 2014 - 09:40 AM

กำลังสงสัยว่าทำไมต้องถามเหมือนกันสองกระทู้  ก็เลยยังไม่ตอบครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#4 AparidoD

AparidoD
  • Members
  • 55 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 03 October 2014 - 01:26 PM

กำลังสงสัยว่าทำไมต้องถามเหมือนกันสองกระทู้  ก็เลยยังไม่ตอบครับ

 

พอดี

 

อันแรก post ไปแล้วกลับมาดู แล้วรู้สึกว่ามันผิดหัวข้อ

ผมเลยมา post ให้มันถูก ในหัวข้อเกี่ยวกับ สมาธิ

 

แต่ผมจะกลับมาลบอันแรกที่ลงออก

มันหาที่ลบไม่เจอครับ

 

ยังไงช่วยลบอันที่ไม่ได้อยู่ในหัวข้อ สมาธิ ออกให้ทีครับ

ขอบคุณครับ



#5 skynoi

skynoi
  • Admin
  • 603 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 03 October 2014 - 05:29 PM

 

1. ผมยังคงสงสัยเรื่องการนึก ดวงแก้วครับ คือผมมีลอง 2 วิธี คือ หลับตาปกติ แล้วนึกแค่กลางท้อง วิธีนี้ ผมนึกดวงแก้วยากครับเพราะมันเหมือนมองไปข้างหน้า แล้วให้จินตานาการสิ่งที่อยู่ข้างหลัง เพราะสิ่งที่นึก มันก็อยู่ข้างหน้า แล้วก็อีกวิธีคือ หลับตา แต่ตำแหน่งตาจะอยู่ในตำแหน่งมองไปที่ท้อง (ถ้าหน้าตรง ต้องขยับลูกตามองลงไปยังท้อง ถ้าก้มหัวก็ไม่ต้องขยับลูกตา) แบบนี้จะนึกแก้วง่ายครับ แต่วิธีที่ 2 ผมรู้สึกว่ามันเหมือนจะเป็นการเพ่งหรือเปล่า ท่านทั้งหลาย มีวิธีการอย่างไรบ้างครับ วิธีที่ผมทำทั้ง 2 แบบถูกต้องหรือไม่

 

หลวงพ่อเคยแนะนำว่าให้นึกในจุดที่เราสบายก่อน สติ สบาย แล้วจะเกิดสมาธิ 
การนึก หรือตรึกดวงแก้วที่กลางท้องนั้น เป็นการใช้ใจนึก ไม่ได้ใช้ตามอง แต่ด้วยความที่เราใช้ตาจนชิน บางครั้งพอหลับตา ก็จะเหมือนกดลูกตาลงไปมองที่กลางท้อง ซึ่งจะทำให้ตึงหรือเครียดได้

 

สมมติว่าเราลืมตาอยู่ตอนนี้ ก็จะเห็นกระทู้นี้ และนึกดวงแก้วไปด้วย ภาพดวงแก้วคือใจนึก กระทู้นี้บนจอคอมพิวเตอร์ของเราคือใช้ตามอง

ดังนั้น เมื่อเราหลับตา สิ่งที่ตามองเห็นคือความมืด จึงไม่แปลก เพราะเราปิดการรับรู้ทางตา แต่ดวงแก้วที่เรานึกได้ แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ที่กลางท้อง ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ มองอย่างสบาย ดวงแก้วจะเคลื่อนมาตามฐานของใจ และมาหยุดที่กลางท้อง ให้เรามีความสุขกับการตรึกดวงแก้วใสๆ สว่างๆ เบาๆ อย่างนุ่มนวล มีความสุข ให้มีสติต่อเนื่อง เราจะภาวนาสัมมาอะรหังไปด้วยก็ได้ พอใจจะอยู่เฉยๆ ก็หยุดท่อง เมื่อถูกส่วนก็จะสมปรารถนา

 

บางท่านหลับตาแล้วรู้สึกว่าภาพเกิดขึ้นข้างหน้า ก็ไม่แปลกเพราะเราชินกับการใช้ตามอง ซึ่งภาพที่ปรากฏนั้นก็ยังคงอยู่ที่ฐานที่ตั้งของใจฐานที่ 2 คือ เพลาตา ก็ไม่ต้องไปกด หรือดันให้ภาพมาอยู่ที่กลางท้องค่ะ ค่อยๆ มองอย่างมีความสุข แล้วภาพจะเคลื่อนมาตามฐานเองค่ะ

 

BaseOfMind.jpg

 

ฐานของใจ 7 ฐาน

 

 

2. ตอนที่จิตตกศูนย์ เป็นตอนที่ผมไม่ได้นึกอะไรเลย ไม่ได้นึกกลางท้อง ไม่ได้นึกแก้ว ในหัวไม่มีอะไรเลย ผมทำแบบนี้ผิดหลักวิชาหรือเปล่าครับ แต่มันตกศูนย์เองทั้งๆที่ไม่ได้นึกอะไรเลย ผมเลยยังคงสับสนว่าควรจะทำอย่างไรแน่ กลัวว่าไม่ปฏิบัติตามหลักวิชา จะไม่เข้าถึงธรรม

 

ไม่ผิด สติ สบาย สม่ำเสมอ ถูกส่วนเข้า ก็ตกศูนย์

 

 

3. หากเรานึกแก้วยาก เราไม่นีกได้มั้ยครับ ปกติผมตั้งจิตไปที่ ศูนย์กลางกาย ก็จะรู้สึกว่ามันเป็นจุดอยู่แล้วครับ

 

ได้ นึกสิ่งที่เราคุ้นก็ได้ ไม่นึกเลยก็ได้ ถ้าเราวางใจที่ฐาน 7 เลยได้ก็ดีเลยค่ะ

 

 

4. การที่เรานั่งแล้วไม่เกิดอาการใดๆเลย และจิตก็ว่าง ไม่มีเรื่องใดมาแทรก ไม่ได้นึกศูนย์กลางกาย เหมือนเป็นสิ่งของชิ้นนึง แบบนี้ถือว่าถูกทางเหมือนกันหรือเปล่าครับ

ทำต่อไปนะคะ ให้มีสติ สบาย มีความสุข อย่างต่อเนื่อง

 

 

5. อาการดูดที่เคยเจอและสังเกตุได้ คือ มันจะเริ่มรู้สึกซาบซ่านไปทั่วตัว ไหลมารวมกันตรงกลาง แล้วหมุนวนเหมือนน้ำวนน่ะครับ แล้วพอปลายมันลงไป นิมิตก็โผล่เลย หลังๆมาพอจะจับอาการได้ว่าทำอย่างไรจะเกิดอาการนี้ แต่พอทำแล้ว มันหมุนลงไป ยังไม่สุดมันก็จางหายไปก่อน เหมือนพายุสลายตัวอะครับ สงสัยผมคงตั้งใจมากเกินไป มีใครมีอาการแบบผมบ้างมั้ยครับ

 

นั่งได้ดีจังเลยค่ะ เก็บวิธีการที่เราทำไว้มาใช้ต่อ แต่อย่าติดในประสบการณ์ที่เราเจอนะคะ จะกลายเป็นเพ่งและลุ้น ให้เฉยๆ เป็นผู้ดูที่ดีค่ะ

อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ

 

:D



#6 AparidoD

AparidoD
  • Members
  • 55 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 03 October 2014 - 09:46 PM

สาธุครับ ละเอียดมากครับ คำตอบข้อแรกซึ่งสำคัญกับผมที่สุดนี่อธิบายได้ดีมากเลยครับ ตอบได้ครบทุกสิ่งที่สงสัยหมดเลยครับ

อนุโมทนาบุญสำหรับคำตอบและข้อมูลด้วยเช่นเดียวกันครับ



#7 skynoi

skynoi
  • Admin
  • 603 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 04 October 2014 - 10:02 AM

:D :lol: :P