เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2535
" ยายนึกถึงความตาย จึงได้ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า
ยายคิดว่า เวลามันไม่รอ เดี๋ยววัน เดี๋ยวคืน เดี๋ยวพรุ่ง
ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ ยายรีบๆ ทำไว้ เป็นบุญติดตัวไป
คนเราตายไปแล้ว เอาอะไรไปไม่ได้
เอาไปได้ ก็แต่บุญกับบาป
คนเราเหมือนหุ่น บุญบาปพาไป
ทำบุญ บุญก็เชิด
ทำบาป บาปก็เชิด "
Copy from http://www.dhammakay...g_detail_th.php
เหมือนหุ่นเชิด , คำสอนคุณยายอาจารย์
เริ่มโดย LiL' Faery, Jan 29 2006 05:52 AM
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 05:52 AM
#2 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 08:19 PM
อยากเป็นคนเชิดบ้าง
dangdee
dangdee
#3
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 09:32 PM
ไม่เหนื่อยหรือผู้กำกับเชิดจังเลย นักแสดงเหนื่อยแล้วนะขอบอก
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#4
โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 03:09 PM
เหนื่อยนัก ก็พักซักนิด
แล้วเดินต่อไป ด้วยใจสดใสและเป็นสุข
ดีกว่า ทุกข์ แล้วหายใจทิ้งเสียเปล่าๆนะจ๊ะ
คำว่า"เชิด" น่าจะหมายถึง การกำกับ เช่นกำกับการแสดง.... การทำดี ฝ่ายใจดี ก็กำกับการแสดงของเรา ถ้าเราแสดงแย่ ก็คงยอมหยวนๆๆ ให้
แต่ถ้าฝ่าย####ม มากำกับการแสดง(ชีวิต)เรา พอทำผิด... คงโดนชกโครม แล้ว กระทืบซ้ำ เป็นของแถม... (สุดโหด)
ทำดีไว้เถิด ประเสริฐนัก
แล้วเดินต่อไป ด้วยใจสดใสและเป็นสุข
ดีกว่า ทุกข์ แล้วหายใจทิ้งเสียเปล่าๆนะจ๊ะ
คำว่า"เชิด" น่าจะหมายถึง การกำกับ เช่นกำกับการแสดง.... การทำดี ฝ่ายใจดี ก็กำกับการแสดงของเรา ถ้าเราแสดงแย่ ก็คงยอมหยวนๆๆ ให้
แต่ถ้าฝ่าย####ม มากำกับการแสดง(ชีวิต)เรา พอทำผิด... คงโดนชกโครม แล้ว กระทืบซ้ำ เป็นของแถม... (สุดโหด)
ทำดีไว้เถิด ประเสริฐนัก
" เกิดมาเพื่อ ทำพระนิพพานให้แจ้ง + แสวงบุญ + สร้างบารมีค่ะ "
"รักษา อารมณ์ดี + อารมณ์เดียว + อารมณ์สบาย ทั้งวัน "
"รักษา อารมณ์ดี + อารมณ์เดียว + อารมณ์สบาย ทั้งวัน "
#5 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 02 February 2006 - 05:22 PM
*****จากการวิเคราะห์ของผมพบว่าภพภูมิต่างๆ นั้นมีช่วงเวลาหรือมิติของเวลาในระดับที่ต่างกัน ถ้าจะเปรียบเทียบก็น่าจะเหมือนกับการหมุนรอบตัวเองของดาวแต่ละดวง หรือการโคจรรอบดวงอาทิตย์ในดาวแต่ละดวงก็ยังมีความเร็วช้าที่ต่างกัน ทำให้เมื่อหันมามองนรก สวรรค์ พรหม หรือแม้แต่สัตว์เดียรฉาน จึงพบว่าช่วงเวลาหรืออายุขัยของสัตว์แต่ละชนิดย่อมไม่เท่ากันนั่นแสดงว่านาฬิกาชีวภาพในสัตว์ หรือคนแต่ละคนแตกต่างกันไม่เท่ากันครับ*****
*****มีหลายกรณีทีเดียวที่มีผู้ที่ตายแล้วฟื้นกลับมาเล่าว่าตนได้ไปเห็นภพภูมิต่างๆ มาแต่โดยมากเขาจะบอกว่าเขารู้สึกว่าไปเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้ได้พอดีมาสอดคล้องกับ ผู้ที่ฝึกสมาธิ พบว่าเมื่อนั่งสมาธิจิตหยุด นิ่ง สงบ ลึกพอสมควรเวลาจะผ่านไปเร็วกว่าช่วงขณะจิตที่ไม่สงบ และไม่เป็นสมาธิ *****
*****ดังนั้น จึงเกิดข้อสันนิฐานที่ว่า ผู้ที่ตายไปแล้วขึ้นสวรรค์สาเหตุที่กลับมาบอกพี่ น้อง หรือญาติบนโลกมนุษย์ไม่ได้น่าจะเป็นดังนี้ เช่น สมมุติ นาย A ตายเมื่ออายุ 50 ปี นาย B ตายเมื่ออายุ 100 ปี หลังจากนาย A ตายใหม่ๆ นาย B บอกว่าผีไม่มีเทวดาไม่มีไม่เห็นเข้าฝันเขาเลย หลังจากตายไปแล้วนาย B ไปพบนาย A ณ ภพๆ หนึ่งที่เป็นสุคติ เขาถามนาย A ว่าทำไมไม่ยอมเข้าฝันมาบอกว่าสวรรค์มีจริงหละ นาย A ตอบว่า เขาเองก็เพิ่งขึ้นมาบนสวรรค์ได้ไม่กี่นาทีเอง ยัง งง งง กับภพภูมิใหม่อยู่เลย ทำไมคุณ B ตามผมมาไวจังหละ!??
สรุปคือ มิติเวลาของภพมนุษย์กับสวรรค์มีความห่างกันมากนั่นเองครับ ถ้าเป็นคนสมัยก่อนคงจะใช้อธิบายบอกด้วยวิธีนี้ไม่ได้แน่ครับฟังไม่ขึ้น ดังนั้นคำตอบคุณหัดฝันใช้ตอบได้กับทุกคนที่ยังไม่ตายแต่ยังนั่งสมาธิไม่เห็นวิญญาณครับ*****
*****กรณีที่วิญญาณนั้นตกไปในอบายภูมิ เช่น สัตว์เดียรัจฉาน หรือเปตร อสุรกาย สัตว์ในนรกภูมิ ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยเพราะวิญญาณเหล่านั้นไม่มีเวลาว่างมาคุยแน่เพราะต้องรับบาปกรรมที่ทำไว้ เหมือนอย่างที่คุณ มองอย่างแมวได้บอกไว้ครับ*****
*****ข้อสันนิษฐานอีกข้อก็คือ อายตนะของมนุษย์ มีความหยาบ เมื่อเทียบกับอายตนะของ เทวดา นางฟ้า พรหม อรูปพรหม พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในอายตนะนิพพาน อุปมาเหมือนโทรทัศน์ที่ช่องรับกับช่องส่งไม่ตรงกันย่อมไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้ แต่จะติดต่อกันได้ก็ต่อเมื่อ มนุษย์คนนั้นได้ฝึกจิตให้หยุด ให้นิ่ง สงบ นิ่ง ลึก นานๆ จนอายตนะคือใจละเอียดเข้าไปตามภพภูมิดังกล่าว *****
*****คำถามที่ว่า เหตุใด เทวดา พรหม หรือพระพุทธเจ้าไม่มาปรากฎตัวให้เห็นด้วยตาเนื้อเลยหละ
คำตอบ คือ การมีกายต่างๆ นั้น กิเลสประจำกายย่อมไม่เท่ากันยังผลให้เกิดกายละเอียด หรือหยาบที่ต่างกัน ใจเทวดามีหิริ-โอตัปปะแล้วจะให้ละธรรมของเทวดามาทำกายให้หยาบจึงเป็นไปไม่ได้ที่เทวดาจะทิ้งคุณธรรมประจำใจเช่นนั้น จะมีกรณีที่ทำได้อยู่ก็คือ กายมนุษย์ละเอียด หรือวิญญาณที่บุญไม่มากพอจะขึ้นสวรรค์ และบาปไม่มากพอจะลงนรก พวกนี้ยังพอมีโอกาสเห็นได้ทั่วไปครับ เกิดช่วงเวลาที่ตาใจของมนุษย์หรืออายตนะภายใน กับภายนอกตรงกันพอดี ดังนั้นผู้ที่ต้องการเห็นสิ่งเหล่านี้ขอเพียงหยุดตาใจใน
*****มีหลายกรณีทีเดียวที่มีผู้ที่ตายแล้วฟื้นกลับมาเล่าว่าตนได้ไปเห็นภพภูมิต่างๆ มาแต่โดยมากเขาจะบอกว่าเขารู้สึกว่าไปเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้ได้พอดีมาสอดคล้องกับ ผู้ที่ฝึกสมาธิ พบว่าเมื่อนั่งสมาธิจิตหยุด นิ่ง สงบ ลึกพอสมควรเวลาจะผ่านไปเร็วกว่าช่วงขณะจิตที่ไม่สงบ และไม่เป็นสมาธิ *****
*****ดังนั้น จึงเกิดข้อสันนิฐานที่ว่า ผู้ที่ตายไปแล้วขึ้นสวรรค์สาเหตุที่กลับมาบอกพี่ น้อง หรือญาติบนโลกมนุษย์ไม่ได้น่าจะเป็นดังนี้ เช่น สมมุติ นาย A ตายเมื่ออายุ 50 ปี นาย B ตายเมื่ออายุ 100 ปี หลังจากนาย A ตายใหม่ๆ นาย B บอกว่าผีไม่มีเทวดาไม่มีไม่เห็นเข้าฝันเขาเลย หลังจากตายไปแล้วนาย B ไปพบนาย A ณ ภพๆ หนึ่งที่เป็นสุคติ เขาถามนาย A ว่าทำไมไม่ยอมเข้าฝันมาบอกว่าสวรรค์มีจริงหละ นาย A ตอบว่า เขาเองก็เพิ่งขึ้นมาบนสวรรค์ได้ไม่กี่นาทีเอง ยัง งง งง กับภพภูมิใหม่อยู่เลย ทำไมคุณ B ตามผมมาไวจังหละ!??
สรุปคือ มิติเวลาของภพมนุษย์กับสวรรค์มีความห่างกันมากนั่นเองครับ ถ้าเป็นคนสมัยก่อนคงจะใช้อธิบายบอกด้วยวิธีนี้ไม่ได้แน่ครับฟังไม่ขึ้น ดังนั้นคำตอบคุณหัดฝันใช้ตอบได้กับทุกคนที่ยังไม่ตายแต่ยังนั่งสมาธิไม่เห็นวิญญาณครับ*****
*****กรณีที่วิญญาณนั้นตกไปในอบายภูมิ เช่น สัตว์เดียรัจฉาน หรือเปตร อสุรกาย สัตว์ในนรกภูมิ ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยเพราะวิญญาณเหล่านั้นไม่มีเวลาว่างมาคุยแน่เพราะต้องรับบาปกรรมที่ทำไว้ เหมือนอย่างที่คุณ มองอย่างแมวได้บอกไว้ครับ*****
*****ข้อสันนิษฐานอีกข้อก็คือ อายตนะของมนุษย์ มีความหยาบ เมื่อเทียบกับอายตนะของ เทวดา นางฟ้า พรหม อรูปพรหม พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในอายตนะนิพพาน อุปมาเหมือนโทรทัศน์ที่ช่องรับกับช่องส่งไม่ตรงกันย่อมไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้ แต่จะติดต่อกันได้ก็ต่อเมื่อ มนุษย์คนนั้นได้ฝึกจิตให้หยุด ให้นิ่ง สงบ นิ่ง ลึก นานๆ จนอายตนะคือใจละเอียดเข้าไปตามภพภูมิดังกล่าว *****
*****คำถามที่ว่า เหตุใด เทวดา พรหม หรือพระพุทธเจ้าไม่มาปรากฎตัวให้เห็นด้วยตาเนื้อเลยหละ
คำตอบ คือ การมีกายต่างๆ นั้น กิเลสประจำกายย่อมไม่เท่ากันยังผลให้เกิดกายละเอียด หรือหยาบที่ต่างกัน ใจเทวดามีหิริ-โอตัปปะแล้วจะให้ละธรรมของเทวดามาทำกายให้หยาบจึงเป็นไปไม่ได้ที่เทวดาจะทิ้งคุณธรรมประจำใจเช่นนั้น จะมีกรณีที่ทำได้อยู่ก็คือ กายมนุษย์ละเอียด หรือวิญญาณที่บุญไม่มากพอจะขึ้นสวรรค์ และบาปไม่มากพอจะลงนรก พวกนี้ยังพอมีโอกาสเห็นได้ทั่วไปครับ เกิดช่วงเวลาที่ตาใจของมนุษย์หรืออายตนะภายใน กับภายนอกตรงกันพอดี ดังนั้นผู้ที่ต้องการเห็นสิ่งเหล่านี้ขอเพียงหยุดตาใจใน