ในมุมมองของผม
1.คนรับศีล5 กับคนที่ไม่มีศีล กระทำผิดในศีลข้อเดียวกัน บาปจะเท่ากันไหมครับ
- ที่ว่ารับศีลนี่ คือตั้งใจจะรักษาศีลหรือเปล่า ปกติคนรับศีลก็ต้องตั้งใจว่าจะไม่ทำผิด ถ้าไม่ได้ตั้งใจเลย เอาแต่ฟังพระสวดผ่าน ๆ ไป ส่วนใจก็ไม่คิดจะรักษา อย่างนี้ก็เรียกว่าพระให้ศีลแต่ตัวเองไม่ได้รับ ซึ่งถ้าตั้งใจจะไม่ทำผิด แต่ก็พลาดจนได้ อย่างน้อยบุญก็เกิดจากความตั้งใจ และจะมีความละอายมากกว่าคนที่ไม่ตั้งใจเลย แต่ถ้ารับแล้วก็ยังผิดบ่อย ๆ ไม่ค่อยจะสำนึก ประมาณว่าช่างมันเดี๋ยวค่อยรับศีลใหม่ อย่างนี้คงเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิได้ล่ะ
2.ถวายภัตตาหารกับพระรูปเดียว แต่ตั้งใจเป็นสังฆทาน จะถือว่าเป็น สังฆทานได้หรือไม่ครับ
ถ้าจำไม่ผิด อยู่ที่ว่าพระรูปนั้น สงฆ์ได้ตั้งไว้เพื่อรับสังฆทานให้แก่สงฆ์หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นรับแล้วก็จะนำเข้าเป็นของสงฆ์ ไม่ใช่ของส่วนตัว หากอาศัยใจอย่างเดียวก็คงทำกันได้ไม่ยาก เพราะแม้พระโสดาบันบางท่านก็ยังไม่ค่อยได้ทำสังฆทานเลย
3.อาราธนาศีล โดยไม่มีพระสงส์ ไม่มีพระพุทธรูป จะถือว่ารับศีล5โดยสมบูรณ์ ได้หรือไม่
อาราธนาศีลก็น่าจะต้องมีพระสงฆ์ เพราะเป็นการรับศีลต่อหน้าสงฆ์ แต่หากตั้งใจรักษาศีลด้วยตนเองไม่มีใครเป็นพยาน ก็เรียกว่าสมาทานศีล มีศีล 5 สมบูรณ์ได้เหมือนกัน หากตั้งใจจริง ซึ่งควรสมาทานศีลทุกวัน และควรหาโอกาสอาราธนาศีลตามกาล
4.เขาบอกว่า ห้ามเอากาแฟ ให้กับคนที่ตายแล้ว เพราะจะทำให้คนตาย ตายตาไม่หลับ จริงหรือไม่ครับ
ถ้าคนตายลุกขึ้นมากินได้ก็คงต้องตอบว่า "จริง"
5.จัดงานเผา ศพ พ่อแม่ ของตัวเอง อย่างใหญ่โตมีหนังมีลิเก เขาบอกว่า มันฉลองพ่อแม่มันตายกัน สรุปว่าได้บุญหรือได้บาปกันแน่ครับ
- จะได้บุญอีท่าไหนยังนึกไม่ออก
6. ถ้าเชื่อเรื่องของกรรม ทั้งหมด ลูกหนี้ที่ยืมเงินเรา แล้วไม่ให้ จะถือว่าเป็นกรรมเก่าของเรา และเราควรให้อภัยเขา แล้วดีกับเขา และพร้อมที่จะให้เขายืมเงินได้อีก เพื่อเป็นการ ชดใช้กรรม ใช่หรือไม่ครับ
- ถ้าให้เขายืมไปเรื่อย ๆ โดยเขาไม่เคยคืน นอกจากจะมีกรรมเรื่องหนี้แล้ว ยังมีกรรมเรื่องโง่ด้วย แน่นอนว่าควรให้อภัยเขา แต่ไม่ใช่ส่งเสริมให้เขามีนิสัยอย่างนี้ติดตัว เหมือนให้เงินลูกแต่ไม่เคยสอนวิธีใช้ ลูกก็เอาไปผลาญ บางทีอนาคตดับวูบ อย่างนี้มันไม่ใช่สงสาร แต่เขาเรียกสับสน สับสนระหว่างเรื่องกรรมกับเรื่องคุณธรรม เรื่องเขาไม่คืนก็เรื่องหนึ่ง เรื่องจะจัดการอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเรายอมรับกรรมทั้งหมดที่เคยทำมาแบบไหลตามน้ำ ป่านนี้คงยังไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นแน่
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: พักผ่อน
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 422
- ดูโปรไฟล์ 15051
- อายุ 49 ปี
- วันเกิด มกราคม 4, 1975
-
Gender
ชาย
โพสต์ที่ฉันโพสต์
ในกระทู้: ***หลายคำถาม คาใจ ***
03 May 2009 - 06:14 PM
ในกระทู้: ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด ควรทำอย่างไรบ้างค่ะ
03 April 2009 - 10:46 PM
อันที่จริงไม่มีใครตัดสินใจแทนใครได้ในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก
แต่จะทำอะไรคิดให้รอบคอบก่อนก็ดี หากเราไปบวชจนแก่แล้วเราก็ยังไม่บรรลุอะไรเลยจะรับได้ไหม
หากไปบวชแล้ว ทางบ้านเดือดร้อนจะทำให้จิตใจเรากังวลจนมีผลต่อการปฏิบัติธรรมหรือเปล่า
การบวชนั้นดีแน่ ๆ แต่ไม่แน่สำหรับทุกคนเสมอไป เพราะความเป็นมาของทุกคนไม่เหมือนกัน
อย่างน้อย ๆ ในสมัยพุทธกาลก็มีอุบาสก อุบาสิกา จำนวนมาก ที่บรรลุธรรมขั้นสูงในขณะครองเรือนเช่นกัน
โดยมากก็เป็นพระโสดาบันหรือเรียกว่าตัดวงจรการเกิดได้อย่างแน่นอนแล้ว ซึ่งหากเรายังต้องครองเรือนอยู่
ก็ลองศึกษาดูว่าท่านเหล่านั้นดำรงชีวิตอย่างไร แม้จะครองเรือนอยู่ก็ให้ปฎิบัติธรรมแบบคนครองเรือน
ไม่ให้เสียทั้งเรื่องตัวเองและคนรอบข้าง อย่าไปรอว่าบวชแล้วจึงจะตั้งใจปฏิบัติธรรม เอาตามพอเหมาะพอสม
การบรรลุธรรมเป็นเรื่องของใจที่พอเหมาะพอดี ถ้าอยากบวชจริง ๆ คงจะได้บวชแน่ ๆ
แต่้ถ้าไม่อยากเกิดอีก ก็ต้องหมั่นสั่งสมบุญและปฏิบัติธรรมโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน
แค่การปฏิบัติธรรมอาจจะไม่เพียงพอ เพราะเราทุกคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเก่าติดมามากมาย
เราต้องละบาปและสร้างบุญเพื่อให้กรรมเหล่านี้อ่อนกำลังลงไม่ให้เป็นอุปสรรคมาขัดขวางการปฏิบัติธรรม
ไม่อย่างนั้นก็จะมีเรื่องวุ่นวายมากวนใจอยู่ไม่รู้จบ แม้ไปบวชแล้วก็ใช่ว่าจะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง
อย่างที่ทุกท่านแนะนำ ลองซ้อม ๆ ก่อนก็ดี รักษาศีลแปดทุกวันพระ หมั่นไปวัดและชวนคนอื่น ๆ ไปวัดด้วย
สุดท้ายก็ใจเย็น ๆ เพราะความร้อนรนทนไม่ได้นั้นตรงข้ามกับความเยือกเย็นเป็นอุเบกขา
แต่จะทำอะไรคิดให้รอบคอบก่อนก็ดี หากเราไปบวชจนแก่แล้วเราก็ยังไม่บรรลุอะไรเลยจะรับได้ไหม
หากไปบวชแล้ว ทางบ้านเดือดร้อนจะทำให้จิตใจเรากังวลจนมีผลต่อการปฏิบัติธรรมหรือเปล่า
การบวชนั้นดีแน่ ๆ แต่ไม่แน่สำหรับทุกคนเสมอไป เพราะความเป็นมาของทุกคนไม่เหมือนกัน
อย่างน้อย ๆ ในสมัยพุทธกาลก็มีอุบาสก อุบาสิกา จำนวนมาก ที่บรรลุธรรมขั้นสูงในขณะครองเรือนเช่นกัน
โดยมากก็เป็นพระโสดาบันหรือเรียกว่าตัดวงจรการเกิดได้อย่างแน่นอนแล้ว ซึ่งหากเรายังต้องครองเรือนอยู่
ก็ลองศึกษาดูว่าท่านเหล่านั้นดำรงชีวิตอย่างไร แม้จะครองเรือนอยู่ก็ให้ปฎิบัติธรรมแบบคนครองเรือน
ไม่ให้เสียทั้งเรื่องตัวเองและคนรอบข้าง อย่าไปรอว่าบวชแล้วจึงจะตั้งใจปฏิบัติธรรม เอาตามพอเหมาะพอสม
การบรรลุธรรมเป็นเรื่องของใจที่พอเหมาะพอดี ถ้าอยากบวชจริง ๆ คงจะได้บวชแน่ ๆ
แต่้ถ้าไม่อยากเกิดอีก ก็ต้องหมั่นสั่งสมบุญและปฏิบัติธรรมโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน
แค่การปฏิบัติธรรมอาจจะไม่เพียงพอ เพราะเราทุกคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเก่าติดมามากมาย
เราต้องละบาปและสร้างบุญเพื่อให้กรรมเหล่านี้อ่อนกำลังลงไม่ให้เป็นอุปสรรคมาขัดขวางการปฏิบัติธรรม
ไม่อย่างนั้นก็จะมีเรื่องวุ่นวายมากวนใจอยู่ไม่รู้จบ แม้ไปบวชแล้วก็ใช่ว่าจะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง
อย่างที่ทุกท่านแนะนำ ลองซ้อม ๆ ก่อนก็ดี รักษาศีลแปดทุกวันพระ หมั่นไปวัดและชวนคนอื่น ๆ ไปวัดด้วย
สุดท้ายก็ใจเย็น ๆ เพราะความร้อนรนทนไม่ได้นั้นตรงข้ามกับความเยือกเย็นเป็นอุเบกขา
ในกระทู้: ผมทรมาณมากๆๆๆ
05 March 2009 - 12:28 AM
ผมก็เป็นแบบนี้จนบางทีก็แปลกใจว่าทำไม เพราะอะไร คำด่า คำหยาบ คำดูหมิ่น หรือจินตนาการพิเรนทร์ ๆ ในทางไม่ดีมันจึงออกมาอยู่เรื่อย ๆ และอัตโนมัติจนบางทีสงสัยว่ามันเป็นอะไรกันแน่ที่ทำให้เราเป็นแบบนี้
แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป เพราะผมได้พบกัลยาณมิตรมากมายที่ทำให้ผมรู้ว่า ไม่มีอะไรที่แย่จนแก้ไขไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราอยากแก้ไขจริงหรือเปล่า และพยายามที่จะแก้ไขมากน้อยแค่ไหน
หากเราไม่รู้ เราก็ต้องศึกษาให้มาก เมื่อรู้แล้วก็ต้องนำมาทำให้มาก ในเมื่อคิดไม่ดี ก็ต้องหมั่นคิดดีเอาไว้สู้ บางครั้งคิดไม่ดี ก็ต้องฝึกคิดจนกว่ามันจะดีจนได้ แล้วก็ไม่ต้องไปใส่ใจมัน คิดหลบหลู่ได้ เราก็คิดขอโทษในใจได้ คิดดีให้หนัก ๆ บ่อย ๆ และหมั่นเลิกคิดด้วยก็จะดีมาก มันหายก็ช่าง มันไม่หายก็ช่าง เราไม่ใส่ใจซะอย่าง เป็นทางเดียวที่มันจะทุเลาหรือหายได้
หากเราไปตอกย้ำ มันก็ยิ่งกลายเป็นแผลลึก เราใช้สติ ใช้ปัญญาทาถูเข้าไป แล้วผลมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันไม่หายทันทีก็ไม่เป็นไร ขอแค่มันดีขึ้นก็พอใช้ได้ สักวันมันก็คงหายไปเอง
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ปลง ๆ ซะบ้าง ปล่อยว่างซะบ้าง อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องดี อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี คิดแค่ว่ามันมาเองได้ มันก็ไปของมันเองได้ และไม่ว่ามันจะยังอยู่ ก็ใช่ว่าเราจะทำเรื่องดี ๆ อื่น ๆ ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยมันก็แค่เป็นในระดับความคิด อย่าให้มันหลุดออกมาจนเป็นคำพูดหรือการกระทำก็นับว่าใช้ได้
แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป เพราะผมได้พบกัลยาณมิตรมากมายที่ทำให้ผมรู้ว่า ไม่มีอะไรที่แย่จนแก้ไขไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราอยากแก้ไขจริงหรือเปล่า และพยายามที่จะแก้ไขมากน้อยแค่ไหน
หากเราไม่รู้ เราก็ต้องศึกษาให้มาก เมื่อรู้แล้วก็ต้องนำมาทำให้มาก ในเมื่อคิดไม่ดี ก็ต้องหมั่นคิดดีเอาไว้สู้ บางครั้งคิดไม่ดี ก็ต้องฝึกคิดจนกว่ามันจะดีจนได้ แล้วก็ไม่ต้องไปใส่ใจมัน คิดหลบหลู่ได้ เราก็คิดขอโทษในใจได้ คิดดีให้หนัก ๆ บ่อย ๆ และหมั่นเลิกคิดด้วยก็จะดีมาก มันหายก็ช่าง มันไม่หายก็ช่าง เราไม่ใส่ใจซะอย่าง เป็นทางเดียวที่มันจะทุเลาหรือหายได้
หากเราไปตอกย้ำ มันก็ยิ่งกลายเป็นแผลลึก เราใช้สติ ใช้ปัญญาทาถูเข้าไป แล้วผลมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันไม่หายทันทีก็ไม่เป็นไร ขอแค่มันดีขึ้นก็พอใช้ได้ สักวันมันก็คงหายไปเอง
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ปลง ๆ ซะบ้าง ปล่อยว่างซะบ้าง อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องดี อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี คิดแค่ว่ามันมาเองได้ มันก็ไปของมันเองได้ และไม่ว่ามันจะยังอยู่ ก็ใช่ว่าเราจะทำเรื่องดี ๆ อื่น ๆ ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยมันก็แค่เป็นในระดับความคิด อย่าให้มันหลุดออกมาจนเป็นคำพูดหรือการกระทำก็นับว่าใช้ได้
ในกระทู้: เอาของรางวัลมาวางล่อใจครับ
31 January 2009 - 12:05 AM
- DMC.tv วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่
- ชีวิตที่ถูกทาง ย่างก้าวที่มั่นคง DMC.tv
- ทุกคำถามของชีวิต หาคำตอบได้ใน DMC.tv
ป.ล. ไม่เอารางวัล (กลัวผิดหวัง )
- ชีวิตที่ถูกทาง ย่างก้าวที่มั่นคง DMC.tv
- ทุกคำถามของชีวิต หาคำตอบได้ใน DMC.tv
ป.ล. ไม่เอารางวัล (กลัวผิดหวัง )
ในกระทู้: เมื่อเข้า www.dmc.tv แล้ว คลิ๊กดูอะไรเป็นอันดับแรก
28 January 2009 - 01:49 PM
- คำสอนหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย
- กระทู้
- บทความ
- นาน ๆ ทีดูมิวสิควีดีโอ
- PM, Blog ไม่เคยดู
- กระทู้
- บทความ
- นาน ๆ ทีดูมิวสิควีดีโอ
- PM, Blog ไม่เคยดู
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: พักผ่อน
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·