ใครมีวิธีการดีๆ ที่จะชวนชาวคริสต์นั่งสมาธิ หรือนำเขามาสู่เส้นทางบุญบ้างคะ
#1
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 05:49 PM
คือว่าฟ้าร้างมีเพื่อนหลายคน ที่เป็นคริสต์ (คริสตัง คริสเตียน) พอเริ่มคุยกันว่าสมาธิดีน๊า ยังงั้นยังงี้ เขาก็ตั้งท่าปฏิเสธท่าเดียว เราก็ยกตัวอย่างถึงชาวคริสต์ที่เขาได้รับความสุขจากสมาธิ เขาก็บอกว่า่ พวกนั้นไม่ใช่ชาวคริสต์แล้ว หลงทางแล้ว ยังงั้นยังงี้ จนสุดท้าย ก็เลิกคุยกันไปเลยเพราะเดี๋ยวพาลจะทะเลาะกัน (อันที่จริงก็ทะเลาะกันไปแล้วละ ) หลายคนแล้วอ่ะค่ะ
ใครมีวิธี หรือประสบการณ์ดีๆ กับการชวนชาวคริสต์มาฝึกสมาธิ ก็ขอแบ่งปันด้วยนะคะ
ปล.ส่วนใหญ่จะคุยกับเพื่อนชาวคริสต์ทาง msn ค่ะ อ้อ ชาวคริสต์ที่ว่านี้ เป็นคนไทยค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#2
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 07:46 PM
แต่ถ้าชวนเพื่อนจะอยากกว่า ด้วยมานะทิฐิที่เป็นเพื่อนระดับเดียวกัน
ผมเคยชวนน้องคนหนึ่งที่เขาเป็นคริสต์ที่เคร่งครัดมากเข้าปฏิบัติธรรม 5 วันกับชมรมพุทธศาสตร์ครับ เขาสนใจมากเลยนะครับ
โดยรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ดังกล่าว อาจเป็นคนที่เกี่ยวข้องหรือรู้จักกับเพื่อนของเราครับ
#3
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 07:46 PM
ทางจิตวิทยาบอกว่า เราจะรักผู้อื่นก็ต่อเมื่อเรารักตัวเอง
เมื่อเรานั่งสมาธิแล้ว นั่งถูกเมื่อไหร่ เราจะรักตัวเอง
รักมากๆ ยิ่งรักตัวเองมาก ก็ยิ่งรักผู้อื่นมากไปด้วย
ที่เป็นอย่างนี้ เพราะพระเจ้าอยู่ภายในตัวของเราเอง
เราจะเข้าถึงพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อเราส่งใจไปหาท่านอย่างเต็มที่ ไม่วอกแวก
มานั่งสมาธิกันดีไหม
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#4
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 09:04 PM
อ๋อ รู้สึกจะยากกว่าฝรั่งอีกค่ะ คนไทยชอบแยกว่าสมาธิผูกขาดกับศาสนาพุทธ
ลองอย่างนี้ไหมค่ะ ยังไม่ต้องเอ่ยอะไรเกี่ยวกับศาสนา ก็พูดถึงประโยชน์ของสมาธิโดยรวมของทางโลกก่อน เช่นทำให้เรียนดีขึ้น(ในกรณีที่เรียนอยู่) หรือช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นไม่หงุดหงิดง่าย หรือทำให้ใจสงบหาทางออกกับปัญหาต่างๆได้ บางคนอาจคิดว่าไร้สาระ เราก็อาจเอาตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเองมาเล่าสู่กันฟัง แต่อย่าเพิ่งอ้างถึงศาสนานะค่ะ เอาทางโลกไปก่อน ลองดูนะค่ะ
น้าจี้
#5
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 11:20 PM
2. และที่สำคัญคือ เคยอ่านใน New Testament พบใจความตอนหนึ่งว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากพระสิริของพระองค์และได้ให้ร่างกายนี้ดุจดังวิหารเพื่อรองรับพระผู้เป็นเจ้าที่มีอยู่ภายใน (กำลังหาว่าใจความตอนนี้อยู่ในธรรมบัญญัติข้อใดของคริสเตียน ถ้าว่างแล้วจะหามาบอกอีกที)
3. หรือมิเช่นนั้นก็ชวนเขาให้รู้จักกับ"ความสุขที่เป็นอิสระ โปร่งเบา สบาย หมดทุกข์ หมดกังวล (โดยเฉพาะในขณะทำสมาธิก็ตาม) เป็นความสุขที่ง่ายๆ ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายด้วย ที่สำคัญทำให้ใจเราเข้มแข็งขึ้นด้วย ฯลฯ"
#6
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 11:36 PM
ไม่โต้เถียงกันเรื่องความเชื่อ(ที่ต่างกัน)
#7
โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 09:49 AM
ท่าจะจริง แต่อดไม่ได้ที่จะบอกว่า พระเจ้าอยู่ในตัวคุณเนี่ยสิคะ เขาค้านทันทีเลยอ่ะ สงสัยต้องเน้นทางกายภาพก่อน อืมมม ชวนคนมานั่งสมาธิ มันยากยังงี้นี้เอง (แต่ครูบาอาจารย์ของเราทำได้ อย่างง่ายดาย)
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#8
โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 10:30 AM
ในไบเบิลก็บอกไว้ค่ะ
ว่าพระเจ้านั้นสถิตอยู่ในทุกคน
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#9
โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 11:17 AM
แล้วไปตีตั๋วกับผู้ประสานงาน ประจำภาค
แล้วนู้น พนาวัฒน์ ... (วิธีนี้อาจจะรุนแรงไปหน่อย)
วิธีแบบนุ่มๆก็มีนะ ด้วยใช้ข้อแท้จริงใจเย็นๆ(มากๆ)ค่อยๆอธิบายให้เค้าฟัง เด๋วก็จะดีเอง
#10
โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 12:16 PM
จะเหมาะกับการฝึกสมาธิแบบไหน ?
ลองยกเรื่องแปลก ๆ ให้เขาสนใจดูก่อนเช่นเรื่องบั้งไฟพญานาค บอกเขาเลยว่าพิสูจณ์ไม่ได้เพราะอะไร ?
ลองยกความรู้ในพระไตรปิฏกที่สามารถเทียบเคียงกับความรู้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ความรู้เกี่ยวกับการเกิดของมนุษย์
หรือต้องยกเรื่องที่อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ว่าจิตที่หยุดนิ่งนั้นเกิดพลังอย่างไร ?
ลอง ๆ หลาย ๆ วิธีดูครับ
#11
โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 12:22 PM
ถ้าเราไม่พอใจเขา หรือใช้วาจาพูดกระทบกัน เขายิ่งหนี เพราะเขาก็จะเห็นว่าถ้าเขามานั่งสมาธิกับเรา เขาก็คงเป็นอย่างเรา คือ ถ้าใครไม่ทำในสิ่งที่เราต้องการ เราก็จะไม่พอใจ. เข้าใจแล้วใช่ไหมค่ะ.
เหมือนกันถ้ามีคนศาสนาอื่น มาชวนเรา เราไม่สนใจ คุยไปคุยมา พูดกระทบกัน เราก็คงมองเขาและคิดว่า ไม่เอาด้วยหรอก ศาสนาเธอ สอนให้เธอพูดกระทบผู้อื่น
จะเปรียบเทียบให้ฟังว่า ถ้าเราไปเจอใครใส่เสื้อผ้า หรือ รองเท้าสวยๆ เราถูกใจสไตล์นั้น อยากมีกับเขาบ้าง เราก็คงอดไม่ได้ที่จะถามว่า เธอไปซื้อมาจากไหนน่ะ ฉันใด
เมื่อใจเราตกแต่งด้วยธรรมะ ประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา เดี๋ยวคนเขาก็จะเข้ามาหาเรา เพราะความสวยงามที่จิตใจของเรา ฉันนั้น.
เราชวนเขาได้ และก็ขอให้ชวนไปเรื่อยๆ เราทำความดี ต้องทำบ่อยๆ. เขามาเราก็ อนุโมทนา เขาไม่มาเราก็ไม่หวั่นไหว เราเคารพการตัดสินใจของแต่ละบุคคล.
ชาตินี้เขาไม่มา ชาติหน้าเขาอาจจะมา หรือไม่ก็คงมีสักชาติหนึ่ง ที่เขาจะได้เข้ามาพบกับความจริง เพราะ สัจธรรม ก็คือ สัจธรรม. ยังไงเขาก็ต้องมีโอกาสได้พบกับ สัจธรรม แน่นอน.
คนคริสต์ที่มีความเชื่อและศรัทธามาก จะไม่ค่อยสนใจเรา โอกาสมีได้กับผู้ที่เป็นคริสต์แค่ในกระดาษ เหมือนชาวพุทธที่มีศรัทธามากใน พระรัตนตรัย ย่อมมั่นคงในพระรัตนตรัย. แต่ก็หาได้ ชาวคริสต์ที่ศรัทธามาก แต่พอมาเจอพระพุทธศาสนาก็เปลี่ยนมาเป็น ชาวพุทธ เพราะศาสนาพุทธ เป็นสิ่งที่เห็นได้ รู้ได้ โดยไม่จำกัดกาล คือ ไม่ต้องรอตายแล้วจึงเห็น และผู้ใดปฎิบัติผู้นั้นก็จะรู้เอง เห็นเอง และได้รับผลของการปฎิบัติ. ศาสนาพุทธต้องใช้ปัญาระดับสูง คือ เราอยู่กับสมมุติกันจนมองไม่เห็นวิมุติ การที่จะเห็น วิมุติ ได้ต้องใช้ปัญญาขั้นสูง.
คนไทยส่วนใหญ่จึงเห็นว่า พระพุทธศาสนายาก และก็ยากจริงๆ บางคนมีปัญญาไม่ถึง เลยต้องเปลี่ยนทิศทางเข้าหาที่พึ่งที่ไม่ต้องใช้ปัญญาเท่าไหร่ เอาแบบง่ายๆและยังอยู่กับ สมมุติ กัน. สมมุติกันไป สมมุติกันมาก็เลยพากันหลงททาง.
สุดท้ายนี้ ขอให้อย่ากังวลเรื่องนี้มากนะคะ พยายามศึกษาและปฎิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม แล้วสักวันคนจะเข้ามาหาเราเอง พวกที่เป็นดอกบัวเกือบพ้นน้ำจะมาก่อน.
ขอให้ประสบความเจริญในธรรม ค่ะ
โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน
โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่
โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง
โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.
- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้
#12
โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 02:49 PM
ท้าให้เขานั่งสมาธิ
นั่งฟรี ไม่เสียตังค์
#13
โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 04:29 PM
ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า จาก ๑โครินธ์3;16
และพระวิญญานของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ๑โครินธ์3;17................. เพราะวิหารของพระเจ้า เป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น ๑โครินทร์7;19 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน
สำหรับชาวคริสเตียนที่นับถือตามพ่อแม่ตั้งแต่เกิดแล้ว จะคุ้นเคยกับการนมัสการโดยเสียงเพลงและการอธิษฐาน มากกว่านั่งสมาธิ เพราะเข้าใจว่านั่งอยู่เฉยๆแล้วเหมือนอาการ ซึมเซาเหงาหงอย แต่เมื่อได้รู้จักกัลยาณมิตรอธิบาย ให้เขาเข้าใจ ว่าใจที่แสวงหาความสุขที่อยู่นอกตัวแล้ว มันเหนื่อย เหมือนร่างกายที่ต้องการพักผ่อน ใจก็เหมือนกัน พอใจได้พัก คุ้นเคยกับการหยุดนิ่งของใจได้แล้ว ก็จะพบกับความมหัศจรรย์ของใจที่หยุดที่นิ่งได้แล้วว่า ที่แท้สันติสุขภายใน นั้นเกิดจากใจหยุดนิ่งดีแล้วนั่นเอง และประสพการณ์ภายในจะทำให้เราแปลกใจว่า โลกของเราไม่ซึม ไม่เซ็ง ไม่เบื่อ ไม่กลุ้ม มีแต่พลังแห่งสันติสุข ความเบิกบาน ผ่องใส
การนั่งก็ไม่บังคับว่าจะนึกแต่องค์พระพุทธรูป ชอบหรือนึกได้อย่างง่ายๆ อะไรก็ได้จะเป็นไม้กางเขน หรือ ดวงแก้วใส หรือสิ่งที่นึกได้ง่ายและทำให้เรามีอารมณ์สบายๆ และผมก็บอกให้เพื่อนผมนั่งสมาธิโดยใช้ไม้กางเขน นึกให้ใส สว่าง เขาก็เห็นได้ บอกให้เขาย่อ ขยาย เล็ก ใหญ่ เขาก็ทำได้ครับ
#14
โพสต์เมื่อ 22 July 2006 - 02:34 AM
เป็นจริงอย่างมาก ต้องค่อย ๆ แย็บ ใจเย็น ๆ
#15
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 04:16 PM
เค้าเอาจิตไปไว้ที่ไหน..ก็บอกเค้าว่า เอาจิตที่นึกถึงพระเยซูมาไว้กลางกาย ให้เค้านึกว่ากายเค้าโปร่งไม่มีอะไรเป็นแก้วใส...เหมือนหลวงพ่อนำนั่งนั่นแหละค่ะ
เพราะบางคนก็คิดว่า จะเอาไปอยู่ในร่างกายเราได้ มีแต่สิ่งสกปรกไม่ดี...เค้าจะคิดว่า พระเยซูเป็นของสูง ก็เหมือนเรานึกพระพุทธรูป ก็มีรายหลายที่ไม่กล้าคิดไว้ในกลางกาย เพราะเค้าคิดร่างกายมีแต่สิ่งสกปรก มีกิเลสราคะหุ้มอยู่เยอะไปหมด ไม่ดีเต็มตัวไปหมด จะเอามาไว้ได้ไง บาป สารพันคำถามล่ะค่ะ...
ต้องบอกสมทบด้วยว่า การนึกไว้ภายในดีกว่านึกไว้ภายนอก ให้ท่านอยู่ในใจเราไม่ดีกว่าเหรอ...
ต้องย้ำอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งว่า การนำท่านมาไว้กลางกายไม่บาป ให้นึกถึงพระเยซูที่ศูนย์กลางกายซิค่ะ...
พอหากเค้าเห็นได้เมื่อไร พระเยซูเค้าก็จะเปลี่ยนเองใช่เปล่าค่ะ...ขนาดลูกมะพร้าว เงาะ ยังเปลี่ยนได้เลย ใช้วิธีเดียวกับคนที่เค้านับถืออิสลามนั่นแหละค่ะ
แต่หากเค้ายังไม่กล้า ก็ต้องถามว่า ชอบนึกถึงอะไร ชอบอะไรมากที่สุด นึกง่ายที่สุด ระลึกง่ายที่สุด ให้เค้าเอามาไว้กลางกาย แล้วทำใจตามคำสอนของหลวงพ่อธัมมะไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีเองค่ะ...
#16
โพสต์เมื่อ 25 July 2006 - 03:22 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#17
โพสต์เมื่อ 26 July 2006 - 03:03 PM
เห็นด้วยค่ะ คนที่ยึดมั่นว่าเขามีของดีกว่าคนอื่น เมื่อเอาคนอื่นมาอ้าง เขาไม่ฟังหรอกค่ะ
เขาจึงว่าชาวคริสต์ที่นั่งสมาธิไม่ใช่พวกเขาซะแล้ว เปิดใจยากค่ะ
ลองพยายามหาประโยชน์ของสมาธิทางโลกบอกเขาก่อน โดยไม่เข้าลึกถึงเรื่องศาสนา
และควรชวนเป็นกลุ่มค่ะ ให้เป็นกลุ่มของชาวตริสต์ด้วยกัน เขาจะได้ไม่กลัวว่าเขาทำตัวแปลกหรือผิด
ส่วนรูปแบบสมาธิ ก็ปรับไปทางความเชื่อของเขาด้วยจะได้ลดทิฐฐิ
ลองให้นึกพระเจ้า หรือไม้กางเขนก็ได้ค่ะ หรือไม่นึกอะไรก็ได้
...ลองดูค่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ และอนุโมทนาบุญค่ะ
#18
โพสต์เมื่อ 26 July 2006 - 09:32 PM
แต่อย่าให้ดูตอนกราบพระนะคะ
เพราะคุณแกรี่ก็เป็นคริสต์ไม่ใช่เหรอคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#19
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 12:10 PM
#20
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 02:28 PM
แต่ตอนนี้นับถือพุทธแล้วค่ะ
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#21
โพสต์เมื่อ 12 September 2006 - 07:56 PM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#22
โพสต์เมื่อ 10 May 2007 - 01:00 AM
I'm sorry, which I had no thai version in my computer. The real story of Jesus Crist, he was sudied in buddhist in India when he was 14 years and return back to Jerusalem when he was 30 years and when he was 33 years the roman kill him for close the mouth, because Jesus talk the true story while Roman attact Jerusalem. After the Roman destroy Jerusalem and took the jews became a slave in Roma Imperial. So Basic of religion came from business and power.
want to know some thing els try www.fiorediloto.org and then you will understand more and will understand why and who.
I living in Italy (the root of Cristian) but I'm still buddhist.
satu
Cristina
#23
โพสต์เมื่อ 30 July 2007 - 07:23 AM