ครุธรรม ๘ ประการนั้นมีรายละเอียดดังนี้ คือ
๑) พระภิกษุณีแม้จะบวชมาตั้ง ๑๐๐ พรรษา ก็ต้องแสดงความเคารพพระภิกษุแม้เพิ่งบวชในวันนั้น ด้วยการกราบไหว้ ลุกขึ้นต้อนรับ กระพุ่มมือไหว้ และทำการนอบน้อม
๒) พระภิกษุณีต้องไม่อยู่ในวัดที่ไม่มีพระภิกษุอยู่ร่วมด้วย
๓) พระภิกษุณีต้องถามวันอุโบสถ และเข้ารับฟังโอวาทจากพระภิกษุ ทุกกึ่งเดือน
๔) พระภิกษุณีจำพรรษาแล้วต้องปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ และฝ่ายพระภิกษุณีสงฆ์
๕) พระภิกษุณีทำผิดพระวินัยมีโทษเป็นสังฆาทิเสส ต้องประพฤติปักขมานัต (อยู่กรรม) ในสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ และฝ่ายพระภิกษุณีสงฆ์
๖) ก่อนจะบวชเป็นพระภิกษุณี สตรีจะต้องบวชเป็นสิกขมานา รักษาศีล ๖ ครบ ๒ ปีแล้วจึงบวชได้ แต่จะต้องบวชจากสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือ จากพระภิกษุสงฆ์ และจากพระภิกษุณีสงฆ์
๗) พระภิกษุณีจะต้องไม่ด่าหรือใส่ร้ายพระภิกษุ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
๘) ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พระภิกษุณีจะกล่าวสอนพระภิกษุไม่ได้ แต่พระภิกษุกล่าวสอนพระภิกษุณีได้
สำหรับความพิเศษของครุธรรม ๘ ประการ คือ การบัญญัติครุธรรม ๘ ประการนั้นพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติก่อนมีเรื่องเกิดขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการที่พระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติหลักปฏิบัติสิ่งใด จะต้องมีเหตุเกิดเรื่องขึ้นก่อน ถึงค่อยทำการบัญญัติ แต่สำหรับครุธรรม ๘ ประการนี้ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น
เป็นความจริงที่ว่า ครุธรรม ๘ ประการนั้นถูกบัญญัติก่อนมีเรื่องเกิดขึ้น ซึ่งพระอรรถกถาจารย์อย่างพระพุทธโฆสะได้ยืนยันว่า พระพุทธเจ้าเองทรงบัญญัติครุธรรม ๘ ประการก่อนมีเรื่องเกิดขึ้น ก็โดยทรงมีพระประสงค์จะกันมิให้พระภิกษุณีล่วงละเมิด ในพระไตรปิฎกมีกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบการบัญญัติครุธรรม ๘ ประการไว้ก่อนนั้นว่า เหมือนกับการกั้นขอบปากสระใหญ่มิให้น้ำไหลล้นออก พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะให้พระภิกษุเป็นหลักรับภาระในการรักษาคำสอนของพระองค์ โดยทรงให้เหตุผลเปรียบเทียบว่า ตระกูลที่มีสตรีมากและมีบุรุษน้อยย่อมถูกโจรรุกรานขจัดได้ง่าย พระสัทธรรมจะอยู่ได้เพียงแค่ ๕๐๐ ปี แต่หากสตรีไม่บวช พระสัทธรรมจะอยู่ได้ถึง ๑,๐๐๐ ปี พระพุทธโฆสะอธิบายว่า พระสัทธรรม คือ ปริยัติธรรม (การศึกษาพระธรรมวินัย) ปฏิบัติสัทธรรม (การปฏิบัติตามพระธรรมวินัย) และปฏิเวธสัทธรรม (การได้บรรลุมรรคผลนิพพาน) เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติครุธรรม ๘ ประการ สัทธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ จักดำรงอยู่ต่อได้อีก ๕๐๐ ปี รวมเป็น ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งก็หมายความว่า ครุธรรม ๘ ประการ ได้ช่วยประคับประคองคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดำรงอยู่ได้ถึง ๑,๐๐๐ ปี
(คำกล่าวที่ว่า พระพุทธศาสนาจักมีอายุ ๕,๐๐๐ ปีนั้น มีอธิบายไว้ว่า หมายถึงมีการเรียนพระธรรมวินัย มีการปฏิบัติจนกระทั่งได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ถึง ๕,๐๐๐ ปี โดยแบ่งออกเป็น
๑,๐๐๐ ปีแรก มีพระอรหันต์ผู้ได้บรรลุปฏิสัมภิทา
๑,๐๐๐ ปีที่ ๒ มีเพียงพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสกะ
๑,๐๐๐ ปีที่ ๓ มีเพียงพระอริยะขั้นพระอนาคามี
๑,๐๐๐ ปีที่ ๔ มีเพียงพระอริยะขั้นสกทาคามี
๑,๐๐๐ ปีที่ ๕ มีเพียงพระอริยะชั้นโสดาบัน
เลย ๕,๐๐๐ ปีนั้นไป พระภิกษุในพระพุทธศาสนาจะละทิ้งแม้กระทั่งการเล่าเรียนพระธรรมวินัย ได้ชื่อว่าเป็นพระเพียงแค่โกนศีรษะครองผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้น
อ้างอิงจาก วินย.อ. ๓/๔๐๓/๔๐๗ ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ)
สำหรับการบุรุษเพศนั้น ถ้าอายุยังไม่ครบอุปสมบท ให้บวชเป็นสามเณรก่อน ครั้นเมื่ออายุครบเกณฑ์อุปสมบทแล้ว ก็ให้ทำการอุปสมบทเพื่อยกฐานะขึ้นเป็นพระภิกษุต่อไป แต่สำหรับสตรีเพศนั้น ขั้นแรกให้บวชเป็นสามเณรี ครั้นพออายุครบ ๑๘ ปีให้สามเณรีนั้นทำการบวชเป็นนางสิกขมานา (แปลว่า นางผู้กำลังศึกษา) ก่อน ถ้าสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของนางสิกขมานาครบ ๒ ปี จึงค่อยได้รับการอนุญาตให้อุปสมบทเป็นภิกษุณีต่อไป จะเห็นได้ว่า การอุปสมบทเป็นนางภิกษุณีนั้นจะมีขั้นตอนมากกว่าการอุปสมบทของพระภิกษุ
ครุธรรม ๘ ประการสำหรับภิกษุณี
เริ่มโดย MiraclE...DrEaM, Feb 18 2006 03:20 PM
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 03:20 PM
#2
โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 05:37 PM
ดีจังค่ะที่นำมาให้ทราบกำลังอ่านเรื่องนี้พอดีเลย
"เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#3
โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 08:13 PM
แล้วทำไมปัจจุบันนี้ถึงไม่อนุญาติให้ผปู้หญิงบวชเป็นภิกษุณีล่ะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 08:23 PM
ปัจจุบันบวชไม่ได้ครับ อย่างที่ผมบอกเอาไว้ข้างบน เนื่องจากพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติเอาไว้ว่า การบวชภิกษุณีต้องบวชจากสงฆ์ 2 ฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์และฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ แต่ปัจจุบัน ไม่มีพระภิกษุณีแล้ว ดังนั้นจึงไม่ครบองค์แห่งการอุปสมบทของพระภิกษุณีครับ
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#5
โพสต์เมื่อ 18 February 2006 - 11:21 PM
แล้วถ้าสมัยพุทธกาลที่ยังไม่มีภิกษุณีองค์แรกล่ะครับ จะบวชได้อย่างไรครับ เพราะยังไม่ครบองค์ประกอบ
#6
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 12:16 PM
เดี๋ยวผมจะไปหาข้อมูลการวิธีการอุปสมบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้มาให้แล้วกันนะครับ ทั้งฝ่ายพระภิกษุและฝ่ายพระภิกษุณี คิดว่าน่าจะเป็นความรู้ เพราะ จะทำให้ทราบว่า เพราะเหตุไร ปัจจุบันจึงไม่สามารถบวชพระภิกษุณีได้ในฝ่ายเถรวาท และการอุปสมบทของฝ่ายชายในการเป็นพระภิกษุในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกับสมัยพุทธกาลอย่างไรละกันครับ
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#7
โพสต์เมื่อ 18 March 2007 - 03:26 PM
สาธุ