การจับพุทธคุณพระเครื่องมีจริงมั้ยครับ
#1
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 08:30 PM
#2
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 09:03 PM
ผมว่า พุทธคุณที่แท้จริง คือการปฏิบัติตาม พระธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนปรากฏผลตามพระองค์มากกว่า นั่นล่ะ ถึงจะรู้ถึงพุทธคุณ คือ คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ว่าพระองค์มีคุณยิ่งใหญ่เพียงใด สามารถทำให้เราหมดกิเลส ไปนิพพานได้ ผมว่าเรามาจับพุทธคุณแบบนี้กันดีกว่า ที่จะมานั่งจับพระเครื่องนะครับ
Someday I'm gonna be free.
#3 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 09:44 PM
อย่ากระเทือนอะไรกับขาป่วนเน้อข้างบนเน้อ สัพเพ สัตตา
#4
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 11:19 PM
#5
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 01:26 AM
เพราะอำนาจพระพุทธเจ้านั้นเกินกว่าที่มนุษย์ปุถุชนจะไปวัดเทียบหรือหยั่งรู้วิสัยพุทธะได้ครับ
เรื่องการจับพลังพระเครื่องนั้นมีจริงครับ แม้แต่คนในครอบครัวผมก็จับกันได้หลายคนเหมือนกันเรื่องนี้ผมเคยพิสูจน์มากับตัวแล้ว โดยการให้ผู้ที่จับพลังงานพระเครื่องได้ให้ทดลองจับพระเครื่องไว้ 2 องค์ มือซ้ายองค์ หนึ่งมือขวาองค์หนึ่งก็ปรากฎว่าท่าทางของ 2 มือนั้นเป็นไปในทิศทางที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากอยู่มากในทางวิทยาศาสตร์ครับ ถ้าใครอยากทราบว่าการวัดพลังพระด้วยสองมือนั้นจะหลอกกันได้หรือไม่ให้ลองใช้มือขวาเขียนวงกลม และมือซ้ายเขียนรูปสี่เหลี่ยมดูจะทราบเองว่าการวัดพลังพระเครื่องนั้นอยู่ในวิสัยการคิดหรือเป็นวิสัยเกินกว่านั้นที่เรียกว่าสัมผัสพิเศษก็สุดแท้แต่ครับ
ดังนั้น การจับคลื่นพลังงานก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระเครื่องเสมอไป ผมเคยทดลองจับไม้ปิงปองที่มีการหยิบจับใช้งานบ่อยๆ จิตที่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานที่แฝงอยู่ในวัตถุก็จะทำให้เกิดท่าทางไปได้เองอัตโนมัติเหมือนกันครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#6
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 09:44 AM
#7
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 10:58 AM
ของคุณก้องเป็นรุ่น1ใช่มั้ย ของผมมีชายจีวรหลวงปู่ด้วยล่ะครับ คุณ.....ลูกหลานหลวงปู่ ใน จ.สุพรรณที่ผมอยู่ ท่านแบ่งให้ครับ
#8
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 11:13 AM
ผมว่าการจับพระก็อาจจะพยายามขอความศักดิ์สิทธิ์ในตัวพระเครื่องโดยมีจักรพรรดิกายสิทธิ์ข้างในมาช่วยอีกที แต่ต้องระวังอีกนะครับ เพราะเห็นว่าพระเครื่องทุกองค์มีกายสิทธิ์อยู่ แต่บางองค์กายสิทธิ์ข้างในขาวใส บางองค์สีดำ หรือสีอื่นๆ บ่งบอกถึงว่าเป็นพระเครื่องให้คุณหรือให้โทษ ให้โทษก็คือข้างในมีกายสิทธิ์สีดำเห็นคนเป็นธรรมกายวัดปากน้ำท่านชอบตรวจดูกายสิทธิ์ในพระเครื่องว่าเป็นธาตุธรรมภาคไหน อันนี้ก็แปลกอีกแบบนึงครับ
#9
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 11:17 AM
#10
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 11:27 AM
ถูกต้องนะครับ
พี่ใสแจ๋วช่วยบอกเกียรติก้องได้ไหมว่า ผู้ที่ชอบตรวจดูกายสิทธิ์ท่านชื่ออะไร? เพราะคนรุ่นเก่าๆ สมัยยุคของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ผมรู้จักแทบทุกคนครับ
#11
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 02:23 PM
#12
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 04:42 PM
ดังนั้น ท่านใดจะไปยืนที่ต้นโพธิ์ ถือเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า แล้วระลึกถึงพระพุทธคุณ ด้วยจิตเลื่อมใสจริงๆ ย่อมได้อานิสงส์ เหมือนกับตอนที่พระพุทธเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ครับ
นี่เองเป็นเหตุให้หลวงพ่อท่านกล่าวเชิญชวนให้พวกเราทุกคนมาบูชาเจดีย์กันทุกๆ วัน โดยมีทีมงานของชมรมปล่อยปลาบูชาเจดีย์ เป็นผู้นำกล่าว (หรือถ้าไม่สะดวก ก็บูชาผ่าน DMC)
เพราะการบูชาพระพุทธเจ้าแม้ปรินิพพานแล้ว ด้วยจิตเลื่อมใส ก็มีผลเท่ากับตอนที่พระองค์ยังมีชีวิต ซึ่งมหาธรรมกายเจดีย์ คือ ตัวแทนของพระพุทธเจ้านับพระองค์ไม่ถ้วนในอดีต ดังนั้น ใครที่บูชาด้วยจิตเลื่อมใสจริงๆ ก็เท่ากับบูชาพระพุทธเจ้านับพระองค์ไม่ถ้วนตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แล้วพุทธคุณ จะมีมากมายขนาดไหน (สุดที่คาดคิดได้จริงๆ)
ผมปลื้มใจมาก ที่มีส่วนในการสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ขึ้นมา
#13
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 04:44 PM
#14
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 06:48 PM
#15
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 07:24 PM
#16
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 07:31 PM
#17
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 10:08 PM
ที่ไม่จริงก็มากมาย
เข้าถึงพระธรรมกายภายในกันดีกว่าครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#18
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 10:15 PM
ก็รู้อีกตามเคยน่ะสิครับว่า พี่ไปเอาข้อมูลดังกล่าวนี้มาจากหนังสือเล่มใด? และใครเป็นผู้แต่ง ไม่มีใครรู้จักตัวพี่ดีไปกว่าตัวของพี่เองนะครับ พี่ใสแจ๋ว
#19
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 08:47 AM
ผมรู้จักตัวผมดี และไม่สำคัญว่าใครจะรู้จักผมหรือไม่ เพราะผมก็กำลังพยายามรู้จักคนอื่นๆ อยู่ ตอนนี้คุณรู้จักผม ผมก็พยามรู้จักคุณครับ ผมดีใจที่คุณรู้จักผมนะครับ ถ้าการรู้จักเป็นการผูกมิตรผมก็ยินดี อย่ามาถือสาหาความกับผมเลย ถึงเวลาเราก็ต้องเจอกันอย่างนี้แหละครับ มันเป็นวิถีทางครับ
เรื่องดูจักรพรรดิในพระเครื่องหรือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจ เพราะสิ่งที่เรานำมาบูชาท่านมีธาตุธรรมเป็นอยู้ข้างในคือมีชีวิตจิตใจ เราควรบูชาหรือไม่ควร ต้องเข้าไปตรวจสอบจักรพรรดิกายสิทธิ์ข้างในดู เรื่องนี้ผมได้พิสูจน์มาแล้ว และก็ไม่ได้เชื่อตามตำราอย่างเดียว พิสูจน์กันมาแล้วครับ เพียงแต่ว่าคนไม่เป็นธรรมกายเขาก็คงจะไม่เชื่อเพราะเขาไม่เห็น คนเห็นด้วยกันจึงจะเชื่อได้...ครับ
#20
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 12:08 PM
พูดกันตรงๆ มาเลยก็ได้ครับว่าข้อมูลนี้มาจากหนังสือ "ปราบมาร" ส่วนใครเป็นผู้แต่งไม่ต้องแล่งกันล่ะนิ ทำไมต้องใช้คำว่าอาจจะด้วยล่ะครับ แสดงว่าตัวพี่เองก็ยังไม่ชัวร์เหมือนกันใช่ไหมครับ? (จริงใจหน่อยสิพี่ชาย) อีกอย่างบทสนทนาระหว่างคุณยายอาจารย์ถนอมกับคุณยายอาจารย์ฉลวยนั้น ผมขอยืนยันว่าเรื่องนี้ตัวท่านมิได้เป็นผู้เล่าเอง แต่บุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้แต่งตำรานั่นต่างหากที่เป็นผู้เล่า แล้วผมขอบอกกับพี่เลยนะครับว่า คุณยายอาจารย์ฉลวยนั้น โดยปกติแล้วท่านจะเป็นคนที่ไม่พูดอะไรแบบมั่วๆ สุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวิชชาชั้นสูงนี่ ท่านแทบจะไม่พูดเลย ซึ่งท่านได้ให้เหตุผลกับผมว่า "หลวงพ่อฯ ท่านห้ามไม่ให้พูด (กับคนนอก)" และโดยปกติแล้วท่านจะเป็นคนนิ่งๆ พูดน้อย แต่ปฏิบัติหนักนะครับ
#21
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 01:24 PM
แต่ขอจับพลังพระพุทธคุณที่ไหลผ่านศูนย์กลางกายเราอยู่ตลอดเวลาดีกว่าค่ะ
สาธุ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#22
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 08:18 PM
#23
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 02:59 AM
เราควรตรึกระลึกถึงบ่อยๆค่ะ
#24
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 03:17 AM
#25
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 04:19 AM
"ช่างเถิดเขาติเตียนเรา ดีกว่าเราติเตียนเขา การที่เราถูกติเตียนนั้น เพราะทำงานก้าวหน้าไป"
จะสังเกตได้ว่า ตลอดชีวิตของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านไม่เคยกล่าวติเตืยนว่าร้ายใคร และเป็นที่น่าสังเกตว่า ครูบาอาจารย์ทุกๆ ท่าน ที่ท่านสอนวิชชาธรรมกายที่แท้จริงนั้น ก็มีลักษณะแบบเดียวกันกับพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ คือ ท่านไม่เคยติเตียนว่าร้ายใคร ดังนั้น ใครก็ตามที่ยังติเตียนว่าร้ายผู้อื่นอยู่ ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลสวยหรูอย่างไร ผมว่ายังไม่ใช่ของแท้ ยิ่งต่อหน้าทำเหมือนดูดี แต่ลับหลังแอบติเตียนว่าร้าย อย่างนี้ยิ่งใช้ไม่ได้ ก็ลองพิจารณาดูนะครับ ฝากคุณใสแจ๋ว (สมถะ) พิจารณาดูด้วยครับ
Someday I'm gonna be free.
#26
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 01:02 PM
ที่ผมไม่อยากจะกล่าวที่มาที่ไปชัดๆ ก็เพราะอย่างนี้แหละครับ เพราะเกรงว่าจะกระทบกระทั่งกันแล้วเอาเรื่องบุคคลอื่นมาอ้างแล้ววิจารณ์พาดพิงกันไป ผมมองว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในยุคนั้นๆ ยากที่เราจะไปเห็นคล้อยตามหรือคัดค้าน เพราะเราไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไร ผมเรียนวิชชาธรรมกายเพราะต้องการเข้าใจเนื้อวิชชา และพิสูจน์เกี่ยวกับเนื้อวิชชา ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เป็นเรื่องเล่าหรือการกระทบกระทั่งกันของคนในอดีตก็เป็นเรื่องของท่านเหล่านั้นกันไป เราแค่รู้ไว้ใช่ว่าครับ
ต้องบอกก่อนว่าผมเข้ามาที่นี่เพราะมีหลายท่านที่มาคุยกับผมอยากให้เข้ามา พอเข้ามาก็พยายามลองเชิงดูว่าจะคุยแบบไหนดี ครับผมใช้ชื่อสมถะในเว็ปบอร์ดอื่นๆ แต่ที่นี่ใช้ชื่อใสแจ๋ว และรับรองได้ว่ามีแค่ 2 ชื่อนะครับ ที่ต้องใช้ใสแจ๋วเพราะผมทราบว่าที่นี่รู้จักสมถะ เกรงว่าจะไม่สะดวกในช่วงเริ่มต้น แต่ผมก็โพสต์ข้อมูลและพยายามค่อยๆ ให้ทุกท่านรู้จักผม
เอาเถิดครับเรื่องความไม่เข้าใจกันหรืออาจจะเป็นอคติลึกๆ ต่อกันผมพอเข้าใจดี นะเวลานี้อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าใครผิดใครถูกเลย เราเป็นมิตรกันแล้วค่อยๆ หันหน้ามาจูนคลื่นเข้าหากันดีกว่าสร้างความแตกต่างจนแตกแยก มีอะไรที่ท่านไม่พอใจหรือไม่ชอบใจก็เปิดใจคุยกันได้นะครับ แต่ขอให้อยู่ในขอบข่ายของความรอมชอมกัน ค่อยๆ พูดคุยกันนะครับ
ช่วงนี้ผมค่อนข้างว่างเพราะเว็ปอื่นโดยเฉพาะที่พันธ์ทิพย์ ไม่ค่อยมีอะไรให้เป็นห่วง ผมเข้าไปทุกเว็ปที่มีการคุยเรื่องวิชชาธรรมกายนั่นแหละ แต่อีกหน่อยคงไม่ค่อยว่างสักเท่าไรแล้วล่ะ เพราะตอนนี้งานสอนวิชชาธรรมกายเข้ามามากเหลือเกิน ทั้งการฝึกวิปัสสนาจารย์และงานสอนตามสถาบันต่างๆ ก็เป็นการสร้างบารมีที่สนุกไปอีกแบบหนึ่งนะครับ ไปเหนือล่องใต้ บุกป่าฝ่าดง ข้ามน้ำข้ามทะเลไปสอนก็ทำมาหมดแล้ว แต่ก็สนุกดีครับ
อย่าคิดว่าผมชอบโม้เลย บางครั้งเราก็อยากเล่าในสิ่งที่เราได้มีประสบการณ์ผ่านมาเหมือนกัน อยากให้ช่วยกันอนุโมทนามากกว่า หวังว่าคงพอเข้าใจกันนะครับ
#27
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 02:23 PM
โมทนาสาธุในกุศลเจตนาด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายไหนล้วนมีเป้าหมายและอาจารย์เดียวกันคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ ที่สุดของการปฏิบัติธรรมก็คือการกำจัดกิเลสมารในตน และเผยแผ่คำสอนให้กับชาวโลก สนามรบที่แท้จริงอยู่ในจิตของพวกเราทุกคนครับ รบกับกิเลสในตัว รบกับอธรรมที่มีอยู่ในกายใจจิตวิญญาณ ดังนั้นคำสอนใดสอนให้ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ ถือว่าเป็นคำสอนจากศาสดาองค์เดียวกันคือพระพุทธเจ้าครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#28
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 03:18 PM
ดังที่นางอินทิรา คานธี ได้เคยบอกไว้ว่า การแลกเปลี่ยนความคิดนั้น ไม่เหมือนการแลกเปลี่ยนสิ่งของ สิ่งของนั้น เมื่อแลกเปลี่ยนกัน ได้สิ่งของใหม่มา ก็ต้องเสียสิ่งของเก่าในมือไป
แต่การแลกเปลี่ยนความคิดนั้น ความคิดเก่าของเราก็ยังคงอยู่ ในขณะที่จะได้ความคิดใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา ที่จะเป็นแนวทางให้เราดำเนินชีวตต่อไปในอนาคต ถ้าความคิดทั้ง 2 ถูกทั้งคู่ ปัญญาเราก็จะเพิ่มพูน ถ้าความคิดหนึ่งผิดหนึ่งถูก เราก็จะได้พิสูจน์ต่อไป สุดท้ายปัญญาก็เพิ่มพูน