ศาสนาพุทธในสายตาของฉันนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสนา แต่ยังเป็นปรัชญาชีวิต เราไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อทุกสิ่ง ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้เป็นไป แต่ชีวิตเป็นของเรา เราสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีได้ หรือไม่ดีก็ได้
อยู่ที่การทำตัวของเราเอง เราเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตัวเรา พระพุทธเจ้า ไม่เคยทรงตรัสว่าให้เชื่อ แต่ท่านสอนให้เราหาความจริงด้วยการปฎิบัติเอง พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัสไว้ ด้วยการปฎิบัติให้รู้จริง ด้วยตัวเอง คำนี้เองที่ทำให้ฉันสนใจพุทธศาสนา ที่ฉันไม่ต้องทำตัวเหมือนเป็นลูกแกะ ที่เอาแต่เดินตามคนเลี้ยง
ด้วยคำสอนของครูบาอาจารย์เราก็สามารถนำมาเป็นวิถีทางแห่งการปฎิบัติ แต่ทุกคนก็ยังคงต้องปฎิบัติ ด้วยตนเอง ไม่มีใครมาทำแทนให้ได้ เราควรดีใจที่วันนี้ยังมีครูบาอาจารย์ที่พอจะมีความรู้จากประสบการณ์มาถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง สอนในวิถีทางที่ถูกต้องซึ่งสำคัญมาก เราไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าเราฟังธรรมะแต่เพียงอย่างเดียว เราจะได้ความรู้จากการอ่าน แต่ถ้าเราต้องการจะรู้จริงให้ลึกซึ้ง ต้องปฎิบัติด้วยตนเอง เป็นทาง เดียวที่จะรู้ได้ บางครั้งมีคนมาถามฉันเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่ ฉันก็ตอบว่า"พระเจ้ามีจริง แต่ ฉันเชื่อในแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างในโลกนี้ รู้ทั้งจักรวาล พระองค์ยังคงรู้เรื่อง พระเจ้าด้วย และท่านยังคงรู้ว่าใครสร้างเรา นั่นก็คือตัวเราสร้างตัวเราเอง"
วิบากกรรม
มีทุกข์และการดับทุกข์อยู่ที่ใจเรานี้เอง ไม่มีใครมาลงโทษเราเว้นตัวเราเองที่จะได้รับผลแห่งการกระทำของเรา ไม่มีใครให้รางวัลเราโดยที่เราไม่ได้ทำความดีอะไร ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั่นคือสิ่งทั้งหมดที่เป็นไป ไม่มีพระเจ้าสร้าง เราสร้างทุกอย่างเอง
เราเห็นวิบากกรรมอย่างนี้ เราจะระมัดระวังการกระทำของเรา บาปที่ เราทำมันจะย้อนกลับมามีผลกับตัวเราเอง จากการที่เข้าใจอย่างนี้ ความกลัวในการทำบาป ความละอายต่อบาป จะเกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ เราเข้าใจในบาปที่เราทำไปว่ามันจะมามีผลกับเราอยู่ในใจเรา ตลอดเวลา เมื่อมากๆขึ้น ผลมันก็ก่อให้เกิดทุกข์ให้กับเรา และทุกอย่างที่เราทำดีมันก็จะเป็นวิบากกรรมที่ก่อให้ เกิดความสุข ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือก ทุกข์หรือสุขเราเลือกเอง
ความดับทุกข์
สิ่งหนึ่งที่สำคัญในคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ความดับทุกข์ ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย มันมีผล ทำให้เราไม่ติดสุขไม่ติดทุกข์ มีอุเบกขา ที่เรียกว่านิพพาน
ไม่มีคำสอนในศาสนาอื่นใด สอนทางออก ทางแก้ทุกข์ ในเรื่องของการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ที่เรียกว่า " สังสารวัฎ" แน่นอนว่าทุกศาสนานั้นดี อยากให้ทุกคนเป็นคนดี เค้าสอนเรื่องศีลจะได้ไม่มีบาป ไม่ไปเกิดในนรก หรือไปเกิดเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน สอนให้คนทำดี เกิดมาอีกที อย่างน้อยก็ขอให้ได้เป็นคน
ที่ไหนมีการสอนทางออกจากสังสารวัฎ เป็นไม่มี และด้วยพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนศิษย์ ที่เรียกว่า มรรคมีองค์แปด ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไว้ ให้เราดูทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และทางดับทุกข์ โดยดับสมุทัย เราสามารถทำได้โดยปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และนี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว จนทุกวันนี้มีลูกศิษย์สำเร็จมรรคผลเป็นล้านคนได้ เราโชคดีที่เรายังมีพระอริยเจ้าคอยสั่งสอน เราจึงไม่ควรจะเสียเวลา มาดับทุกข์ของตัวเราเองเลย และมาสำรวจดูความสงบสุขและการหลุดพ้นกัน
ความกรุณา
บางครั้งคนเรามักจะพูดถึงพระและแม่ชี รวมถึงผู้ปฎิบัติธรรมอื่นๆ ตามแนวทางการปฎิบัติพุทธศาสนา แบบเถรวาท ว่าเป็นการปฎิบัติเพื่อตัวเองเท่านั้น พวกเค้าต้องการหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์และสังสารวัฎ โดยไม่เอาใจใส่ต่อผู้อื่น แต่สำหรับฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นกับแนวทางการปฎิบัติเพื่อพัฒนาสติปัญญา แต่ถ้า ปราศจากความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น พวกเค้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะบรรลุถึงปัญญาได้
ฉันเห็นว่าบางเวลา ฉันก็สามารถทำให้บางคนมีความสุขได้ และฉันก็มีความสุขใจยิ่งกว่า และ ความสุขใจนั้นทำให้การปฎิบัตินั้นง่ายขึ้น ถ้าใจเราไม่มีความสุขก็ยากที่จะปฎิบัติให้ได้ผลดี ดังนั้นการที่ฉันช่วยให้ผู้คนมีความสุขนั้นก็เท่ากับช่วยตัวฉันเองด้วย ถ้าเราพบว่าเรายังมีความความทุกข์อยู่ ซึ่งเป็นธรรมดา ของมนุษย์ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด เราก็จะรู้ได้ว่าไม่ใช่แต่เราเท่านั้นที่ยังมีความทุกข์แต่มนุษย์ทุกคนที่ยัง เวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่างก็เผชิญกับความทุกข์ทั้งนั้น
การที่ได้พบกับอาจารย์ที่สามารถชี้ทางออกจากทุกข์ให้กับเราได้นั้นนับว่าโชคดีที่สุดแล้ว เราจะสามารถปฎิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยตัวของเราเองหรือ สำหรับฉันแล้วมันไม่เพียงพอ การมีครูบาอาจารย์นั้นสำคัญมาก ถ้าเรายังคงเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฎ ดังนั้นจะดูเหมือนว่าเป็นเหตุเป็นผลกันกับที่เราทำกรรมไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่าเราจะจำไม่ได้แล้วก็ตามว่าทำอะไรไปบ้าง กรรมดี กรรมชั่ว ถ้าเราสามารถระลึกได่ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรานี้เคยเป็นแม่ของเราเมื่ออดีตชาติใดชาติหนึ่ง และเขากำลังเผชิญความทุกข์อยู่ เขาอาจจะไม่เชื่อว่าทำอย่างไรจะพ้นทุกข์ได้ แต่ทำไมเราจะไม่ช่วยเค้าคนนั้นหรือ
นี้เป็นสิ่งที่สำคัญส่วนหนึ่งในการปฎิบัติ เพื่อนนักปฎิบัติธรรมในคอร์สเข้มข้นของฉันบางคน ยังคงไม่ลืมสิ่งต่างๆ บางครั้งที่ปฎิบัติเสร็จแล้วพวกเขาก็ได้แผ่เมตตาให้กับครูบาอาจารย์ พ่อแม่ บุคคลอันเป็นที่รักและ สรรพสัตว์ทั้งหลาย และบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านจิตใจและจิตวิทยา การให้ความช่วยเหลือกับ บุคคลที่แตกต่างกันก็ต้องใช้ความสามารถที่แตกต่างกันไป และทางใดที่พวกเค้าสามารถจะช่วยเหลือให้กับผู้อื่น มีความสุขได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นวิถีทางที่แตกต่างออกไปก็จะทำ สิ่งนี้คือธรรม บางครั้งอาจจะมาก บางครั้งอาจจะน้อยแต่ถ้าปราศจากความเมตตากรุณา ปัญญาก็จะไม่เกิด
ฉันเองก็ต้องการที่จะแผ่เมตตาของฉันที่มีให้กับผู้อื่นและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้บังเกิดความสุขทั้ง ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และสิ่งใดก็ตามที่จะพัฒนาการการให้และสติปัญญาอันจะนำไปสู่นิพพาน
(บริจิต สล็อตเทนเบเชอร์)
ที่มา-http://www.budpage.com/forum/view.php?id=3978
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: kuna
เกี่ยวกับฉัน
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 780
- ดูโปรไฟล์ 22265
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ชาย
กระทู้ที่ฉันเริ่ม
" พุทธศาสนาในสายตาแม่ชีฝรั่ง "
17 September 2008 - 05:46 PM
สู้โว้ย!! มะเร็งไม่ร้ายอย่างที่คิด
31 August 2008 - 03:57 PM
มะเร็งอาจเป็นเพชฌฆาตร้ายอันดับหนึ่ง ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างไม่มีเยื่อใย แต่ใช่ว่าคนเป็นมะเร็งจะต้องนอนรอความตายสถานเดียว ยังมีคนอีกไม่น้อยที่โชคดีรอดจากการเป็นเหยื่อมัจจุราชได้อย่างอัศจรรย์ พวกเขามีคาถาอะไรดีในการพิชิตมะเร็ง และมะเร็งทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ทีมข่าวสตรีไทยรัฐตามค้นหาคำตอบ เพื่อจุดประกายความหวังให้ผู้ป่วยมะเร็งได้มีกำลังใจต่อสู้ กับโรคร้ายต่อไป
“อ.เผ่าทอง ทองเจือ” อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นที่ 4 เมื่อ 14 ปีก่อน และจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 3 เดือน วินาทีแรกที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง โลกทั้งโลกแทบดับลงตรงหน้า เขานอนซมหมดกำลังใจอยู่หลายวัน จนกระทั่งนึกถึงคำพูดของแม่ ทำให้มีสติฮึดสู้อีกครั้ง
“เมื่อ 14 ปีก่อน ผมคลำเจอก้อนเนื้อขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสง ที่ราวนมด้านขวา ตอนนั้นไปทำวิจัยด้านโบราณคดีที่ประเทศอังกฤษ 3 เดือน เป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะปกติชอบอาบน้ำจาก ตุ่ม ไม่ใช้ฝักบัวเลย แต่พอไปอยู่อังกฤษต้องอาบฝักบัว ทำให้คลำพบความผิดปกติ ตอนนั้นคิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ เพียงแต่สังเกตว่าขนาดก้อนเนื้อโตขึ้นเรื่อยๆจนใหญ่เท่าไข่เป็ด!! พอกลับเมืองไทยต้องขึ้นเหนือไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เลยแวะไปหาเพื่อนที่ เป็นหมอประจำโรงพยาบาลสวนดอก เล่าอาการให้ฟัง และวินิจฉัยตัวเองว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ!! ปรากฏว่าเพื่อนหน้าเสียเลย รีบเรียกหมอเฉพาะทางมาตรวจ ถ้าถึงขั้นกดแรงๆยังไม่เจ็บ แสดงว่าอาการหนัก!! ตอนนั้นคุณหมอ (พญ. บุญสม ชัยมงคล) สั่งให้เข้าห้องผ่าตัดทันที เพื่อตัดก้อนเนื้อออกมาตรวจ เข้าไปตั้งแต่บ่ายโมง จนถึง 6 โมงเย็น
...คุณหมอ บอกว่า คุณต้องทำใจนะ เพราะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ขั้นที่ 4 คงมีชีวิตอยู่ได้แค่ 3 เดือน!! ตอนนั้นปล่อยโฮเลย เหมือนถูกพิพากษา ไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัว คิดแต่ว่า ยังไม่อยากตาย และไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราอายุแค่ 37 กำลังมีหน้าที่การงานรุ่งโรจน์ จะมาตายตอนนี้ไม่ได้ แล้วแม่จะอยู่ ยังไง มีลูกแค่คนเดียว แม่เคยพูดตลอดว่า ความทุกข์ที่สุดของแม่ คือเห็นลูกตายก่อนแม่ นึกถึงคำพูดนี้แล้ว ทำให้ฮึดสู้ คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อแม่ เราจะตายก่อนแม่ไม่ได้!!
...ถ้าไม่อยากตายก็ต้องมารักษากัน คุณหมอกระตุ้นให้สู้!! แล้วบอกให้ลองรักษาด้วยการให้คีโมดับเบิลโดส โดยหมอจะอัดเข้าไปที่เส้นเลือดโดยตรง ถ้ารอดก็รอดไปเลย เราอยากรอดเพื่อแม่ เลยตอบตกลง แต่ยังไม่กล้าบอกแม่ว่าเป็นมะเร็ง เพราะยังทำใจไม่ได้!! ปรากฏว่าพอหมอฉีดยาดับเบิลโดส ร่างกายเราทนไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นและไม่รู้สึกตัว ปั๊มหัวใจยังไงก็ไม่ขึ้น จนทางโรงพยาบาลเข็นร่างไปไว้ที่ห้องซีซียู มีคนไข้นอนตายอยู่แล้ว 1 คน ตอนนั้นสลบไป 7 วัน จนวันสุดท้ายคุณหมอลองใช้ไฟฟ้าช็อต ทำให้ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ แต่ยังลืมตาไม่ขึ้น จำได้แม่นเลยว่า มีนักศึกษาแพทย์เข้ามาดู และได้ยินเสียงพูดว่าศพนี้ซวยมากเลย เป็นทั้งโรคหัวใจและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผมตะโกนเถียงสุดแรงว่า ไม่ซวยๆๆ
...หลังรอดจากการให้คีโมดับเบิลโดสมาได้ หมอก็เริ่มให้คีโมปกติ ให้ไปทั้งหมด 40 เข็ม ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ 40 อาทิตย์ ทรมานมาก ทั้งอาเจียน, ไข้ขึ้น เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันทุก 3 ชม. หมอบอกว่า ให้คีโมแล้วผมจะร่วง พอเข็มแรกผ่านไป ก็ร่วงจริงๆ เรียกว่าไม่มีขนเหลือสักเส้นบนร่างกาย ช่วงนั้นเริ่มมีข่าวลือว่า “เผ่าทอง” เป็นเอดส์!! แต่คุณแม่ก็ให้กำลังใจ บอกว่า ขอให้ลูกหายเร็วๆนะ ตั้งใจรักษาตามหมอ แม่อยู่ กรุงเทพฯคนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง ระหว่างที่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล วันไหนที่ทนไม่ไหว รู้สึกท้อแท้ ก็จะโทรศัพท์หาแม่ แต่จะพยายามทำเสียงเข้มแข็ง บอกแม่ว่าลูกสบายดี”
แม้การรักษาในช่วงปีแรกจะได้ผลเกินคาด แต่มะเร็งร้ายกลับลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่รักแร้, ต้นคอทั้งสองข้าง, ตับ, ขาหนีบ และต่อมลูกหมาก ทำให้ “อ.เผ่าทอง” ต้องทนทุกข์ทรมานกับการให้คีโมอย่าง ต่อเนื่องถึง 6 ปีเต็ม พร้อมกับการผ่าตัด 9 ครั้ง!! กว่าจะมายืนยิ้มได้ อย่างทุกวันนี้ นอกจากกำลังใจที่ดีแล้ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ก็เป็นกุญแจสำคัญในการพิชิตมะเร็ง
“กูตายมึงก็ตาย!! จะตะโกนขู่มะเร็งทุกเช้า เพื่อปลุกใจตัวเอง และคิดตลอดว่า เราต้องอยู่เพื่อแม่!! ถึงแม้ท่านจะเสียชีวิตไปได้ หลายปีแล้ว ตั้งแต่เป็นมะเร็งได้ปรับเปลี่ยนชีวิตการกินอยู่ทุกอย่าง เพราะค้นพบว่า การกินมีผลต่อโรคภัยไข้เจ็บมาก เวลาเป็นอะไรต้องแก้ด้วยอาหาร อย่าไปพึ่งยา คุณหมอแนะนำให้ทานอาหารย่อยง่ายๆ ไม่เผ็ดไม่มัน เลิกทานไก่และหมู เพราะมีฮอร์โมนกระตุ้นมะเร็ง ควรทานเนื้อวัวเสริมโปรตีน แต่เราไม่ทานตั้งแต่เด็ก เลยเปลี่ยนมาทานปลาย่างปลาลวกแทน และเน้นทานผักผลไม้เยอะๆ หลังจากเป็น มะเร็งยังค้นพบสัจธรรมหลายอย่าง รู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน เริ่มมีความพอเพียงมากขึ้น ไม่โลภมากอยากมีอยากได้แบบสมัยก่อน ทุกวันนี้คิดแต่ว่า เราโชคดีได้เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม”
อีกหนึ่งคนดังที่เป็นตัวอย่างของคนสู้มะเร็ง ยังรวมถึง “คุณหญิงพญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์” ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งถูกคุกคามด้วยมะเร็งถึง 2 ครั้ง เริ่มจากมะเร็งที่ไทรอยด์ ลามไปถึงลำไส้ใหญ่
“หมอเจอมะเร็งที่แรกบริเวณไทรอยด์ ในปี 2542 ตอนอายุ 41 ย่าง 42 ปี จู่ๆยืนแล้วเหมือนโลกหมุนติ้ว เลยกังวลว่า ตัวเองจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า เพราะคุณแม่ก็เป็นมะเร็งที่ไทรอยด์และปอด เลยไปตรวจเช็กแต่ไม่พบอะไร จนกระทั่งขอตรวจที่ต่อมน้ำเหลือง แล้วใช้เครื่องมือตรวจเผื่อไปที่ ไทรอยด์ เจอติ่งเนื้อขนาด 0.6 ซม. ที่ส่อเค้าเป็นเนื้อร้าย แต่ยังเป็นอาการเริ่มต้น เลยผ่าตัดออก ไม่ถึงขั้นต้องให้คีโม
...ช่วงปลายปีเดียวกันก็เกิดอาการปวดท้องอย่างแรง มีอาการหน่วงๆ ปวดท้องแต่ไม่ถ่าย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราเป็นหมออยู่แล้ว เลยตรวจตัวเองซะเลย โดยคลำทางทวารหนักจนเจอติ่งเนื้อ ซึ่งถ้าเป็นเนื้อลำไส้จะเป็นพื้นเรียบ แต่ตรวจคลำแล้วมีลักษณะคล้ายพรม จึงไปหาหมอตรวจอย่างละเอียด ทีแรกคุณหมอตรวจไม่เห็น แต่ก็ยืนยันกับคุณหมอว่าเป็นมะเร็ง!! จึงตรวจซ้ำจนพบว่า ตอนแรกที่ไม่เจอเพราะมันลอยสูง บริเวณลำไส้ที่เจอ ก้อนเนื้อมีขนาดถึง 7 ซม. ต้องตัดลำไส้ทิ้งไปฟุตกว่า แต่มะเร็งลำไส้ของเราต่าง จากคนอื่น เพราะเราเป็นนักกินผักตัวยง และเป็นคนดูแลตัวเองมาก เลยสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ ผ่าตัดมะเร็งทั้ง 2 ที่ห่างกันแค่ปีเดียว”
ถึงแม้จะเป็นหมอมีความรู้มาก แต่เมื่อป่วยเป็นมะเร็ง ก็ต้องอาศัยธรรมะเข้าช่วยเพื่อต่อสู้กับโรคร้าย และเตือนสติตัวเอง
“ตอนนั้นใจเสียเหมือนกัน แต่พยายามใช้ธรรมะเข้าข่ม บอกตัวเองว่า มะเร็งอยู่กับตัวเรา ต้องมองไปข้างหน้า พยายามคิดมุมบวก บอกตัวเองว่า เราต้องใช้ชีวิตที่เหลือสร้างความดีให้มากขึ้น ใครทำร้ายมาก็พยายามไม่พยาบาท โชคดีที่เป็นหมอผ่าศพ ได้เห็นได้ปลงมนุษย์มาเยอะ หมอเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพราะยังไม่หมดกรรม จะหลุดจากวงจรเวียนว่ายตายเกิดได้ ก็ต้องรักษาความดี หลีกเลี่ยงการทำชั่ว เรื่องมะเร็งอยู่ที่ใจอย่างเดียว หมอยึดถือคุณแม่เป็นตัวอย่าง ตอนนั้นท่านเป็นมะเร็งปอด แล้วลุกลามไปที่สมองด้วย ซึ่งทรมานสุดๆ แต่ท่านก็ดูแลตัวเองดีมาก หมออยากเป็นคนไข้แบบคุณแม่ ท่านไม่ยอมให้ใครเดือดร้อนเพราะท่าน
...การดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้มะเร็งกลับมาเยือนอีก ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างมะเร็งไทรอยด์ ผ่าตัดแล้วหายเลย เพราะหมอเป็นในช่วงอายุยังไม่มาก แต่มะเร็งลำไส้ ทิ้งไม่ได้เลย หลังจากผ่าตัดแล้ว เว้นไป 4 ปี หมอกลับไปตรวจซ้ำก็พบว่ามะเร็งกลับมาอีก ทำให้ต้องผ่าตัดครั้งที่ 2 คนที่เคยเป็นมะเร็งต้องคอยตรวจร่างกายประจำทุกปี ขณะเดียวกัน ก็ควรระวังเรื่อง อาหารการกินให้มาก หมอใช้ชีวิตแบบชีวจิต หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งเนื้อวัว, หมู และไก่ เน้นทานปลา หันมาออกกำลังกาย และตัดปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง โดยเฉพาะการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า ส่วนเรื่องจิตใจ ต้องพยายามไม่เครียด เพราะถ้าเครียดมะเร็งจะกลับมาง่าย”
สำหรับ “นงค์พงา เวียงสมุทร์” อดีตแอร์โฮสเตส สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก ต้องต่อสู้กับมะเร็งในเม็ดเลือด หรือลูคีเมีย ระยะสุดท้าย เป็นเวลา 3 ปี แม้จะต้องขายทรัพย์สมบัติแทบหมดตัว แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้สักวินาทีเดียว!!
“รู้ว่าเป็นมะเร็งตอนปี 2540 คือมีอาการอาเจียน นอนไม่หลับ ทานข้าวไม่ได้ มีเลือดออกทางจมูก ออกๆหยุดๆ น้ำหนักลดฮวบ เลยไปหาหมอหลายโรงพยาบาลมาก กว่าจะเจอว่าเป็นมะเร็ง กินเวลาเป็นปี!! ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมะเร็ง เพราะตรวจร่างกายทุก 6 เดือน และครอบครัวไม่มีประวัติเป็นมะเร็งเลย จนกระทั่งได้ดูรายการทีวี ที่พูดถึงโรคลูคีเมีย อาการเหมือนเราเลย จึงขอให้คุณหมอตรวจดูความหนาแน่นของเลือด ปรากฏว่ามีแต่เม็ดเลือดขาว แทบไม่มีเม็ดเลือดแดงเลย พอคุณหมอบอกว่า คุณเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดระยะสุดท้าย มีเวลาอยู่ไม่ถึง 1 ปี ก็ช็อกเลย!! ตอนนั้นกำลังมีปัญหาครอบครัวด้วย เหลือลูกอยู่คนเดียว คุณพ่อก็ป่วย ปัญหารุมเร้าทำให้เราสติแตก จู่ๆก็หมดสติไปเลย จำใครไม่ได้ แม้แต่ลูกก็จำไม่ได้ ต้องนอนโรงพยาบาลนาน 3 เดือน สติถึงฟื้น จากนั้นก็เริ่มให้คีโมรักษามะเร็งอยู่เป็นปี
...ตอนหลังอาการยังไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจเดินทางไปผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกไขสันหลังที่อเมริกา โดยพักรักษาตัวอยู่นาน 3 เดือน เมื่อกลับมาก็มีปัญหาอีก เพราะยีนไม่เข้ากัน เลยต้องกลับมารักษาด้วยคีโม ซึ่งทรมานมาก โชคดีที่ได้สเต็มเซลล์จากหลานแท้ๆ มาใช้ผ่าตัดปรับเปลี่ยนไขกระดูกสันหลังอีกครั้งที่เมืองไทย ครั้งนี้ได้ผลดีทำให้หายจากโรคร้าย หลังจากเข้าๆออกๆโรงพยาบาลกว่า 3 ปี และต้องหมดเงินไปถึง 10 ล้านบาท”
แม้จะหายจากมะเร็งในเม็ดเลือด แต่ “นงค์พงา” ก็ยังเคร่งครัดกับการดูแลสุขภาพร่างกายมาก ไม่แตกต่างจากเมื่อครั้งถูกคุมคามด้วยมะเร็ง เพราะไม่อยากกลับไปเผชิญกับฝันร้ายอีกแล้ว
“ทุกวันนี้ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง อาศัยใจสู้ และดูแลตัวเองดีๆ อย่างเรื่องอาหาร จะทานผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษจริงๆ ไม่ซื้อของสดที่ตลาด ถ้าไม่มีจริงๆ ต้องกินผักในตลาดก็จะแช่น้ำเกลือ หรือด่างทับทิม แล้วนำไปลวกก่อนปรุง ส่วนเนื้อหมู, ไก่, ปลาน้ำจืด ตัดทิ้งหมด จะไม่กินเลย เพราะมีสารเร่งโต แต่จะกินเนื้อวัวแทน เพื่อให้โปรตีนกับร่างกาย เนื้อวัวที่กินก็ต้องคัดแบบโคขุน โดยนำมาปรุงง่ายๆ เอาไปย่างในกระทะพอให้สุก และจิ้มน้ำปลามะนาว อาหารหลักของตัวเองคือมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็น จะเน้นผักผลไม้ หรือนมถั่วเหลืองเท่านั้น การออกกำลังกายก็ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว ทุกวันนี้จะตื่นตี 4 ครึ่ง ทำบุญใส่บาตร แล้วออกไปวิ่ง จนสายๆค่อยกลับบ้านเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่น ส่วนเรื่องทางใจ ต้องไม่เครียด ถ้าเราสู้ซะอย่าง ก็ต้องผ่านพ้นไปได้ เคยคิดในใจพูดกับโรคมะเร็งว่าอยากอยู่กับฉันใช่ไหม อยากอยู่ก็อยู่ไป เราแบ่งๆกันอยู่ แต่อย่าเบียดเบียนกัน แบ่งที่ให้ฉันบ้างแล้วกัน สุดท้ายก็อยู่ได้มาถึงปัจจุบัน”
“อ.เผ่าทอง ทองเจือ” อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นที่ 4 เมื่อ 14 ปีก่อน และจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 3 เดือน วินาทีแรกที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง โลกทั้งโลกแทบดับลงตรงหน้า เขานอนซมหมดกำลังใจอยู่หลายวัน จนกระทั่งนึกถึงคำพูดของแม่ ทำให้มีสติฮึดสู้อีกครั้ง
“เมื่อ 14 ปีก่อน ผมคลำเจอก้อนเนื้อขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสง ที่ราวนมด้านขวา ตอนนั้นไปทำวิจัยด้านโบราณคดีที่ประเทศอังกฤษ 3 เดือน เป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะปกติชอบอาบน้ำจาก ตุ่ม ไม่ใช้ฝักบัวเลย แต่พอไปอยู่อังกฤษต้องอาบฝักบัว ทำให้คลำพบความผิดปกติ ตอนนั้นคิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ เพียงแต่สังเกตว่าขนาดก้อนเนื้อโตขึ้นเรื่อยๆจนใหญ่เท่าไข่เป็ด!! พอกลับเมืองไทยต้องขึ้นเหนือไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เลยแวะไปหาเพื่อนที่ เป็นหมอประจำโรงพยาบาลสวนดอก เล่าอาการให้ฟัง และวินิจฉัยตัวเองว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ!! ปรากฏว่าเพื่อนหน้าเสียเลย รีบเรียกหมอเฉพาะทางมาตรวจ ถ้าถึงขั้นกดแรงๆยังไม่เจ็บ แสดงว่าอาการหนัก!! ตอนนั้นคุณหมอ (พญ. บุญสม ชัยมงคล) สั่งให้เข้าห้องผ่าตัดทันที เพื่อตัดก้อนเนื้อออกมาตรวจ เข้าไปตั้งแต่บ่ายโมง จนถึง 6 โมงเย็น
...คุณหมอ บอกว่า คุณต้องทำใจนะ เพราะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ขั้นที่ 4 คงมีชีวิตอยู่ได้แค่ 3 เดือน!! ตอนนั้นปล่อยโฮเลย เหมือนถูกพิพากษา ไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัว คิดแต่ว่า ยังไม่อยากตาย และไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราอายุแค่ 37 กำลังมีหน้าที่การงานรุ่งโรจน์ จะมาตายตอนนี้ไม่ได้ แล้วแม่จะอยู่ ยังไง มีลูกแค่คนเดียว แม่เคยพูดตลอดว่า ความทุกข์ที่สุดของแม่ คือเห็นลูกตายก่อนแม่ นึกถึงคำพูดนี้แล้ว ทำให้ฮึดสู้ คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อแม่ เราจะตายก่อนแม่ไม่ได้!!
...ถ้าไม่อยากตายก็ต้องมารักษากัน คุณหมอกระตุ้นให้สู้!! แล้วบอกให้ลองรักษาด้วยการให้คีโมดับเบิลโดส โดยหมอจะอัดเข้าไปที่เส้นเลือดโดยตรง ถ้ารอดก็รอดไปเลย เราอยากรอดเพื่อแม่ เลยตอบตกลง แต่ยังไม่กล้าบอกแม่ว่าเป็นมะเร็ง เพราะยังทำใจไม่ได้!! ปรากฏว่าพอหมอฉีดยาดับเบิลโดส ร่างกายเราทนไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นและไม่รู้สึกตัว ปั๊มหัวใจยังไงก็ไม่ขึ้น จนทางโรงพยาบาลเข็นร่างไปไว้ที่ห้องซีซียู มีคนไข้นอนตายอยู่แล้ว 1 คน ตอนนั้นสลบไป 7 วัน จนวันสุดท้ายคุณหมอลองใช้ไฟฟ้าช็อต ทำให้ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ แต่ยังลืมตาไม่ขึ้น จำได้แม่นเลยว่า มีนักศึกษาแพทย์เข้ามาดู และได้ยินเสียงพูดว่าศพนี้ซวยมากเลย เป็นทั้งโรคหัวใจและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผมตะโกนเถียงสุดแรงว่า ไม่ซวยๆๆ
...หลังรอดจากการให้คีโมดับเบิลโดสมาได้ หมอก็เริ่มให้คีโมปกติ ให้ไปทั้งหมด 40 เข็ม ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ 40 อาทิตย์ ทรมานมาก ทั้งอาเจียน, ไข้ขึ้น เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันทุก 3 ชม. หมอบอกว่า ให้คีโมแล้วผมจะร่วง พอเข็มแรกผ่านไป ก็ร่วงจริงๆ เรียกว่าไม่มีขนเหลือสักเส้นบนร่างกาย ช่วงนั้นเริ่มมีข่าวลือว่า “เผ่าทอง” เป็นเอดส์!! แต่คุณแม่ก็ให้กำลังใจ บอกว่า ขอให้ลูกหายเร็วๆนะ ตั้งใจรักษาตามหมอ แม่อยู่ กรุงเทพฯคนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง ระหว่างที่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล วันไหนที่ทนไม่ไหว รู้สึกท้อแท้ ก็จะโทรศัพท์หาแม่ แต่จะพยายามทำเสียงเข้มแข็ง บอกแม่ว่าลูกสบายดี”
แม้การรักษาในช่วงปีแรกจะได้ผลเกินคาด แต่มะเร็งร้ายกลับลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่รักแร้, ต้นคอทั้งสองข้าง, ตับ, ขาหนีบ และต่อมลูกหมาก ทำให้ “อ.เผ่าทอง” ต้องทนทุกข์ทรมานกับการให้คีโมอย่าง ต่อเนื่องถึง 6 ปีเต็ม พร้อมกับการผ่าตัด 9 ครั้ง!! กว่าจะมายืนยิ้มได้ อย่างทุกวันนี้ นอกจากกำลังใจที่ดีแล้ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ก็เป็นกุญแจสำคัญในการพิชิตมะเร็ง
“กูตายมึงก็ตาย!! จะตะโกนขู่มะเร็งทุกเช้า เพื่อปลุกใจตัวเอง และคิดตลอดว่า เราต้องอยู่เพื่อแม่!! ถึงแม้ท่านจะเสียชีวิตไปได้ หลายปีแล้ว ตั้งแต่เป็นมะเร็งได้ปรับเปลี่ยนชีวิตการกินอยู่ทุกอย่าง เพราะค้นพบว่า การกินมีผลต่อโรคภัยไข้เจ็บมาก เวลาเป็นอะไรต้องแก้ด้วยอาหาร อย่าไปพึ่งยา คุณหมอแนะนำให้ทานอาหารย่อยง่ายๆ ไม่เผ็ดไม่มัน เลิกทานไก่และหมู เพราะมีฮอร์โมนกระตุ้นมะเร็ง ควรทานเนื้อวัวเสริมโปรตีน แต่เราไม่ทานตั้งแต่เด็ก เลยเปลี่ยนมาทานปลาย่างปลาลวกแทน และเน้นทานผักผลไม้เยอะๆ หลังจากเป็น มะเร็งยังค้นพบสัจธรรมหลายอย่าง รู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน เริ่มมีความพอเพียงมากขึ้น ไม่โลภมากอยากมีอยากได้แบบสมัยก่อน ทุกวันนี้คิดแต่ว่า เราโชคดีได้เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม”
อีกหนึ่งคนดังที่เป็นตัวอย่างของคนสู้มะเร็ง ยังรวมถึง “คุณหญิงพญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์” ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งถูกคุกคามด้วยมะเร็งถึง 2 ครั้ง เริ่มจากมะเร็งที่ไทรอยด์ ลามไปถึงลำไส้ใหญ่
“หมอเจอมะเร็งที่แรกบริเวณไทรอยด์ ในปี 2542 ตอนอายุ 41 ย่าง 42 ปี จู่ๆยืนแล้วเหมือนโลกหมุนติ้ว เลยกังวลว่า ตัวเองจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า เพราะคุณแม่ก็เป็นมะเร็งที่ไทรอยด์และปอด เลยไปตรวจเช็กแต่ไม่พบอะไร จนกระทั่งขอตรวจที่ต่อมน้ำเหลือง แล้วใช้เครื่องมือตรวจเผื่อไปที่ ไทรอยด์ เจอติ่งเนื้อขนาด 0.6 ซม. ที่ส่อเค้าเป็นเนื้อร้าย แต่ยังเป็นอาการเริ่มต้น เลยผ่าตัดออก ไม่ถึงขั้นต้องให้คีโม
...ช่วงปลายปีเดียวกันก็เกิดอาการปวดท้องอย่างแรง มีอาการหน่วงๆ ปวดท้องแต่ไม่ถ่าย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราเป็นหมออยู่แล้ว เลยตรวจตัวเองซะเลย โดยคลำทางทวารหนักจนเจอติ่งเนื้อ ซึ่งถ้าเป็นเนื้อลำไส้จะเป็นพื้นเรียบ แต่ตรวจคลำแล้วมีลักษณะคล้ายพรม จึงไปหาหมอตรวจอย่างละเอียด ทีแรกคุณหมอตรวจไม่เห็น แต่ก็ยืนยันกับคุณหมอว่าเป็นมะเร็ง!! จึงตรวจซ้ำจนพบว่า ตอนแรกที่ไม่เจอเพราะมันลอยสูง บริเวณลำไส้ที่เจอ ก้อนเนื้อมีขนาดถึง 7 ซม. ต้องตัดลำไส้ทิ้งไปฟุตกว่า แต่มะเร็งลำไส้ของเราต่าง จากคนอื่น เพราะเราเป็นนักกินผักตัวยง และเป็นคนดูแลตัวเองมาก เลยสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ ผ่าตัดมะเร็งทั้ง 2 ที่ห่างกันแค่ปีเดียว”
ถึงแม้จะเป็นหมอมีความรู้มาก แต่เมื่อป่วยเป็นมะเร็ง ก็ต้องอาศัยธรรมะเข้าช่วยเพื่อต่อสู้กับโรคร้าย และเตือนสติตัวเอง
“ตอนนั้นใจเสียเหมือนกัน แต่พยายามใช้ธรรมะเข้าข่ม บอกตัวเองว่า มะเร็งอยู่กับตัวเรา ต้องมองไปข้างหน้า พยายามคิดมุมบวก บอกตัวเองว่า เราต้องใช้ชีวิตที่เหลือสร้างความดีให้มากขึ้น ใครทำร้ายมาก็พยายามไม่พยาบาท โชคดีที่เป็นหมอผ่าศพ ได้เห็นได้ปลงมนุษย์มาเยอะ หมอเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพราะยังไม่หมดกรรม จะหลุดจากวงจรเวียนว่ายตายเกิดได้ ก็ต้องรักษาความดี หลีกเลี่ยงการทำชั่ว เรื่องมะเร็งอยู่ที่ใจอย่างเดียว หมอยึดถือคุณแม่เป็นตัวอย่าง ตอนนั้นท่านเป็นมะเร็งปอด แล้วลุกลามไปที่สมองด้วย ซึ่งทรมานสุดๆ แต่ท่านก็ดูแลตัวเองดีมาก หมออยากเป็นคนไข้แบบคุณแม่ ท่านไม่ยอมให้ใครเดือดร้อนเพราะท่าน
...การดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้มะเร็งกลับมาเยือนอีก ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างมะเร็งไทรอยด์ ผ่าตัดแล้วหายเลย เพราะหมอเป็นในช่วงอายุยังไม่มาก แต่มะเร็งลำไส้ ทิ้งไม่ได้เลย หลังจากผ่าตัดแล้ว เว้นไป 4 ปี หมอกลับไปตรวจซ้ำก็พบว่ามะเร็งกลับมาอีก ทำให้ต้องผ่าตัดครั้งที่ 2 คนที่เคยเป็นมะเร็งต้องคอยตรวจร่างกายประจำทุกปี ขณะเดียวกัน ก็ควรระวังเรื่อง อาหารการกินให้มาก หมอใช้ชีวิตแบบชีวจิต หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งเนื้อวัว, หมู และไก่ เน้นทานปลา หันมาออกกำลังกาย และตัดปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง โดยเฉพาะการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า ส่วนเรื่องจิตใจ ต้องพยายามไม่เครียด เพราะถ้าเครียดมะเร็งจะกลับมาง่าย”
สำหรับ “นงค์พงา เวียงสมุทร์” อดีตแอร์โฮสเตส สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก ต้องต่อสู้กับมะเร็งในเม็ดเลือด หรือลูคีเมีย ระยะสุดท้าย เป็นเวลา 3 ปี แม้จะต้องขายทรัพย์สมบัติแทบหมดตัว แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้สักวินาทีเดียว!!
“รู้ว่าเป็นมะเร็งตอนปี 2540 คือมีอาการอาเจียน นอนไม่หลับ ทานข้าวไม่ได้ มีเลือดออกทางจมูก ออกๆหยุดๆ น้ำหนักลดฮวบ เลยไปหาหมอหลายโรงพยาบาลมาก กว่าจะเจอว่าเป็นมะเร็ง กินเวลาเป็นปี!! ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมะเร็ง เพราะตรวจร่างกายทุก 6 เดือน และครอบครัวไม่มีประวัติเป็นมะเร็งเลย จนกระทั่งได้ดูรายการทีวี ที่พูดถึงโรคลูคีเมีย อาการเหมือนเราเลย จึงขอให้คุณหมอตรวจดูความหนาแน่นของเลือด ปรากฏว่ามีแต่เม็ดเลือดขาว แทบไม่มีเม็ดเลือดแดงเลย พอคุณหมอบอกว่า คุณเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดระยะสุดท้าย มีเวลาอยู่ไม่ถึง 1 ปี ก็ช็อกเลย!! ตอนนั้นกำลังมีปัญหาครอบครัวด้วย เหลือลูกอยู่คนเดียว คุณพ่อก็ป่วย ปัญหารุมเร้าทำให้เราสติแตก จู่ๆก็หมดสติไปเลย จำใครไม่ได้ แม้แต่ลูกก็จำไม่ได้ ต้องนอนโรงพยาบาลนาน 3 เดือน สติถึงฟื้น จากนั้นก็เริ่มให้คีโมรักษามะเร็งอยู่เป็นปี
...ตอนหลังอาการยังไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจเดินทางไปผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกไขสันหลังที่อเมริกา โดยพักรักษาตัวอยู่นาน 3 เดือน เมื่อกลับมาก็มีปัญหาอีก เพราะยีนไม่เข้ากัน เลยต้องกลับมารักษาด้วยคีโม ซึ่งทรมานมาก โชคดีที่ได้สเต็มเซลล์จากหลานแท้ๆ มาใช้ผ่าตัดปรับเปลี่ยนไขกระดูกสันหลังอีกครั้งที่เมืองไทย ครั้งนี้ได้ผลดีทำให้หายจากโรคร้าย หลังจากเข้าๆออกๆโรงพยาบาลกว่า 3 ปี และต้องหมดเงินไปถึง 10 ล้านบาท”
แม้จะหายจากมะเร็งในเม็ดเลือด แต่ “นงค์พงา” ก็ยังเคร่งครัดกับการดูแลสุขภาพร่างกายมาก ไม่แตกต่างจากเมื่อครั้งถูกคุมคามด้วยมะเร็ง เพราะไม่อยากกลับไปเผชิญกับฝันร้ายอีกแล้ว
“ทุกวันนี้ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง อาศัยใจสู้ และดูแลตัวเองดีๆ อย่างเรื่องอาหาร จะทานผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษจริงๆ ไม่ซื้อของสดที่ตลาด ถ้าไม่มีจริงๆ ต้องกินผักในตลาดก็จะแช่น้ำเกลือ หรือด่างทับทิม แล้วนำไปลวกก่อนปรุง ส่วนเนื้อหมู, ไก่, ปลาน้ำจืด ตัดทิ้งหมด จะไม่กินเลย เพราะมีสารเร่งโต แต่จะกินเนื้อวัวแทน เพื่อให้โปรตีนกับร่างกาย เนื้อวัวที่กินก็ต้องคัดแบบโคขุน โดยนำมาปรุงง่ายๆ เอาไปย่างในกระทะพอให้สุก และจิ้มน้ำปลามะนาว อาหารหลักของตัวเองคือมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็น จะเน้นผักผลไม้ หรือนมถั่วเหลืองเท่านั้น การออกกำลังกายก็ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว ทุกวันนี้จะตื่นตี 4 ครึ่ง ทำบุญใส่บาตร แล้วออกไปวิ่ง จนสายๆค่อยกลับบ้านเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่น ส่วนเรื่องทางใจ ต้องไม่เครียด ถ้าเราสู้ซะอย่าง ก็ต้องผ่านพ้นไปได้ เคยคิดในใจพูดกับโรคมะเร็งว่าอยากอยู่กับฉันใช่ไหม อยากอยู่ก็อยู่ไป เราแบ่งๆกันอยู่ แต่อย่าเบียดเบียนกัน แบ่งที่ให้ฉันบ้างแล้วกัน สุดท้ายก็อยู่ได้มาถึงปัจจุบัน”
คนสำคัญที่สุดในชีวิต... คือใคร
26 August 2008 - 05:08 PM
จอห์น ดอนเน นักเขียนชาวอังกฤษกล่าวไว้ว่า “ไม่มีมนุษย์หน้าไหน อยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว”
.. ชีวิตคุณจะได้สักกี่น้ำ ขึ้นอยู่กับความเอ็นดูที่คุณมีต่อผู้อ่อนเยาว์ ขึ้นกับน้ำจิตที่เผื่อแผ่แด่ผู้สูงอายุ
ขึ้นกับความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ทุกข์ร้อน
รวมถึงใจเสมอภาคระหว่างบุคคลที่อ่อนแอและแข็งแรง
เพราะชีวิตในวันหนึ่งของคุณ
จักต้องกลายเป็นบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด ... จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์
ในอาชีพการทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ผมได้มีโอกาสสังเกตเห็นบุคคลสองประเภท กลุ่มแรกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในอาชีพการงาน ชีวิตส่วนตัว และสัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง
กลุ่มที่สอง มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากสุขภาพร่างกายที่เจ็บป่วยเกินธรรมดา การทำงานและสัมพันธภาพที่มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มีความสามารถในการทำงานและมีประสบการณ์มานานชนิดหาตัวจับยาก แต่ยิ่งทำยิ่งไม่ประสบความสำเร็จ
สาเหตุสำคัญ คือ ทัศนคติและมุมมองที่คนเหล่านี้มีต่อตนเองและโลกนี้ เท่านั้นเองจริงๆ!
บุคคลที่ไม่สามารถให้ความรัก ความเมตตา ให้ความชื่นชมในตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเข้าออก อวัยวะน้อยใหญ่ รวมทั้งเซลล์ทั้งหลายในร่างกาย บุคคลนั้นจะไม่สามารถหยิบยื่นความรัก และให้ความชื่นชมต่อคนรอบข้างได้เป็นอันขาด การเริ่มต้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี คือ การรู้จักรักและเมตตาตนเอง รู้จักใส่ใจ ทะนุถนอมและดูแลอวัยวะต่างๆ ของร่างกายและจิตใจด้วยความอ่อนโยน ละมุนละม่อม
ให้หมั่นขอบคุณลมหายใจของเรา ทั้งหายใจเข้า หายใจออก ให้รู้สึกขอบคุณที่เรายังมีลมหายใจ เป็นลมหายใจที่ทำให้เรายังคงสภาพเป็นมนุษย์ สามารถประกอบกรรมดี ทั้งกาย วาจา ใจ ได้ต่อไป
จากมุมมองที่รัก เมตตา และชื่นชมตัวเองได้อย่างจริงใจแล้ว เราจึงสามารถรัก เมตตา และชื่นชมคนรอบข้างได้อย่างจริงใจ จุดนี้จะทำให้เราเริ่มประสบความ
สำเร็จมากขึ้นในทุกสิ่งทุกอย่างที่ก้าวเดินไป
การใช้ชีวิตของคนเราจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากมาย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่เมื่อใดที่เราได้พบปะเจอะเจอผู้คน คนเหล่านั้นผู้ซึ่งอยู่เฉพาะหน้าเรา ในรัศมี 1-5 เมตร คนเหล่านั้นคือ บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ว่าเขาจะเป็นคนกวาดถนน พนักงานทำความสะอาด เด็กปั๊ม เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง ตำรวจจราจร หรือใครก็ตาม
เราเคยได้ส่งรอยยิ้ม ได้ทักทาย ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับคนเหล่านี้ที่ได้ผ่านพานพบในชีวิตประจำวันบ้างรึเปล่า ลองทำดูสิครับ แล้วจะพบว่า ชีวิตนี้ช่างมีความหมายมากมายกว่าที่เราเคยรู้จัก
ธีโอดอร์ รูสต์เวลต์ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า “ส่วนผสมสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในสูตรแห่งความสำเร็จของชีวิต คือ การรู้ว่าจะทำตัวกลมกลืนกับ
ผู้คนได้อย่างไร” ตรงนี้เป็นมุมมองของฝรั่งที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทักษะเรื่องคน
แต่มุมมองทางพระพุทธศาสนามีความละเอียดลึกซึ้งมากกว่าหลายเท่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรามีความเมตตาโดยเสมอภาคกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งแยก ไม่มีอคติ ไม่มีญาติพี่น้องพวกพ้อง เพราะเรามักจะให้ความสำคัญและความเมตตากับคนที่เป็น “พ่อแม่พี่น้อง” เรา “เพื่อน” เรา เมื่อใดที่มีคำว่า “เรา” เข้ามากำกับ ความเมตตาจะมากขึ้นมาโดยธรรมชาติ เท่ากับการปล่อยให้ใจติดสินบน ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียม
ลองฝึกดูสิครับ ฝึกให้ใจมีความเป็นธรรม ให้ความสำคัญและความเมตตาต่อบุคคลที่อยู่ข้างหน้าเราในขณะนี้ ให้ตระหนักรู้ว่า เขาคือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา หากทำได้เช่นนี้ นอกจากเราจะได้เดินตามรอยบาทพระศาสดาแล้ว เรายังจะเป็นผู้ที่มีความสุข ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและที่ทำงาน
เลิกปล่อยใจให้ติดสินบน ตกจากทำนองคลองธรรม โดยการเลือกที่รักมักที่ชังกันได้แล้วครับ!
รายงานโดย :เรื่อง : ดนัย จันทร์เจ้าฉาย:
.. ชีวิตคุณจะได้สักกี่น้ำ ขึ้นอยู่กับความเอ็นดูที่คุณมีต่อผู้อ่อนเยาว์ ขึ้นกับน้ำจิตที่เผื่อแผ่แด่ผู้สูงอายุ
ขึ้นกับความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ทุกข์ร้อน
รวมถึงใจเสมอภาคระหว่างบุคคลที่อ่อนแอและแข็งแรง
เพราะชีวิตในวันหนึ่งของคุณ
จักต้องกลายเป็นบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด ... จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์
ในอาชีพการทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ผมได้มีโอกาสสังเกตเห็นบุคคลสองประเภท กลุ่มแรกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในอาชีพการงาน ชีวิตส่วนตัว และสัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง
กลุ่มที่สอง มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากสุขภาพร่างกายที่เจ็บป่วยเกินธรรมดา การทำงานและสัมพันธภาพที่มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มีความสามารถในการทำงานและมีประสบการณ์มานานชนิดหาตัวจับยาก แต่ยิ่งทำยิ่งไม่ประสบความสำเร็จ
สาเหตุสำคัญ คือ ทัศนคติและมุมมองที่คนเหล่านี้มีต่อตนเองและโลกนี้ เท่านั้นเองจริงๆ!
บุคคลที่ไม่สามารถให้ความรัก ความเมตตา ให้ความชื่นชมในตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเข้าออก อวัยวะน้อยใหญ่ รวมทั้งเซลล์ทั้งหลายในร่างกาย บุคคลนั้นจะไม่สามารถหยิบยื่นความรัก และให้ความชื่นชมต่อคนรอบข้างได้เป็นอันขาด การเริ่มต้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี คือ การรู้จักรักและเมตตาตนเอง รู้จักใส่ใจ ทะนุถนอมและดูแลอวัยวะต่างๆ ของร่างกายและจิตใจด้วยความอ่อนโยน ละมุนละม่อม
ให้หมั่นขอบคุณลมหายใจของเรา ทั้งหายใจเข้า หายใจออก ให้รู้สึกขอบคุณที่เรายังมีลมหายใจ เป็นลมหายใจที่ทำให้เรายังคงสภาพเป็นมนุษย์ สามารถประกอบกรรมดี ทั้งกาย วาจา ใจ ได้ต่อไป
จากมุมมองที่รัก เมตตา และชื่นชมตัวเองได้อย่างจริงใจแล้ว เราจึงสามารถรัก เมตตา และชื่นชมคนรอบข้างได้อย่างจริงใจ จุดนี้จะทำให้เราเริ่มประสบความ
สำเร็จมากขึ้นในทุกสิ่งทุกอย่างที่ก้าวเดินไป
การใช้ชีวิตของคนเราจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากมาย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่เมื่อใดที่เราได้พบปะเจอะเจอผู้คน คนเหล่านั้นผู้ซึ่งอยู่เฉพาะหน้าเรา ในรัศมี 1-5 เมตร คนเหล่านั้นคือ บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ว่าเขาจะเป็นคนกวาดถนน พนักงานทำความสะอาด เด็กปั๊ม เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง ตำรวจจราจร หรือใครก็ตาม
เราเคยได้ส่งรอยยิ้ม ได้ทักทาย ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับคนเหล่านี้ที่ได้ผ่านพานพบในชีวิตประจำวันบ้างรึเปล่า ลองทำดูสิครับ แล้วจะพบว่า ชีวิตนี้ช่างมีความหมายมากมายกว่าที่เราเคยรู้จัก
ธีโอดอร์ รูสต์เวลต์ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า “ส่วนผสมสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในสูตรแห่งความสำเร็จของชีวิต คือ การรู้ว่าจะทำตัวกลมกลืนกับ
ผู้คนได้อย่างไร” ตรงนี้เป็นมุมมองของฝรั่งที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทักษะเรื่องคน
แต่มุมมองทางพระพุทธศาสนามีความละเอียดลึกซึ้งมากกว่าหลายเท่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรามีความเมตตาโดยเสมอภาคกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งแยก ไม่มีอคติ ไม่มีญาติพี่น้องพวกพ้อง เพราะเรามักจะให้ความสำคัญและความเมตตากับคนที่เป็น “พ่อแม่พี่น้อง” เรา “เพื่อน” เรา เมื่อใดที่มีคำว่า “เรา” เข้ามากำกับ ความเมตตาจะมากขึ้นมาโดยธรรมชาติ เท่ากับการปล่อยให้ใจติดสินบน ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียม
ลองฝึกดูสิครับ ฝึกให้ใจมีความเป็นธรรม ให้ความสำคัญและความเมตตาต่อบุคคลที่อยู่ข้างหน้าเราในขณะนี้ ให้ตระหนักรู้ว่า เขาคือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา หากทำได้เช่นนี้ นอกจากเราจะได้เดินตามรอยบาทพระศาสดาแล้ว เรายังจะเป็นผู้ที่มีความสุข ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและที่ทำงาน
เลิกปล่อยใจให้ติดสินบน ตกจากทำนองคลองธรรม โดยการเลือกที่รักมักที่ชังกันได้แล้วครับ!
รายงานโดย :เรื่อง : ดนัย จันทร์เจ้าฉาย:
โสดสนุก สุขถึงบั้นปลาย
25 August 2008 - 05:47 PM
ใครที่ใช้ชีวิต “โสด” สนุกเพลิดเพลินจนรู้ตัวอีกทีอายุก็ขึ้นต้นด้วยเลข 3 เล่นเอาตกใจเหมือนกันนะนั่น แต่ก็แค่ประเดี๋ยวแล้วกลับมาสราญใจกับการใช้ชีวิตโสดกันต่อไป จนเลข 4 กำลังจะทักทายนั่นล่ะ ถึงสะดุ้งโหยงกันอีกครั้ง
แต่แหม! การใช้ชีวิตเป็นโสด ใช่ว่าจะเป็นเรื่องน่ากลัว หรือเสียหายประการใด ตรงกันข้าม หากรู้จักและเข้าใจกับชีวิต มีการจัดการบริหารชีวิตที่ดี บางที “คานทองนิเวศน์” ก็ไม่ใช่เคหสถานที่น่ากลัวอีกต่อไป ในมุมกลับอาจจะน่าพิสมัยของบรรดาคนโสดทั้งหลายเสียด้วยซ้ำ ถึงขั้นจะเปลี่ยนเป็นคานเพชร คานแพลทินัมกันเลยเชียว
** รัก-ดูแลตัวเอง และต้องมีความสุข
เป็นเจ้าของบ้านสาวโสดมาได้ 2 เดือนกว่าๆ สำหรับ เสาวรส ศรีชาติ หรือที่รู้จักกันดีในฐานะนักร้องเสียงดี โอ๋ ลำดวน เธอประกาศตัวเป็นโสดสนิทพร้อมกับการเปิดตัว http://www.baansaosoad.com ล่าสุดมีลูกบ้านสาวโสดประมาณ 3,000 คน และเพื่อนบ้านที่ไม่จำกัดสถานภาพอีกประมาณ 4,000 คน
“ตอนนี้โสดสนิท ไหนๆ เป็นแล้ว เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ทำไมต้องเสียใจกับมัน แทนที่จะรู้สึกอย่างนั้นก็ลุกขึ้นมาทำงาน เปิดเว็บไซต์ดีกว่า ในความรู้สึกเราถ้าเลือกได้ ไม่โสดก็ได้นะ แต่ถ้าต้องโสดไปตลอดก็ไม่เป็นไร เพราะเข้าใจตัวเองดีว่าเวลาคบใครเราค่อนข้างซีเรียส คบเล่นๆ ทำไม่เป็น กว่าจะเลือกใครสักคนเรื่องเยอะพอสมควร
สำหรับโอ๋การจะมีคู่คิดต้องมากับความไม่ยุ่งยากไม่เดือดร้อน คู่คิดบางคนไม่ตรงกับเรา ขัดแย้งกัน ต้องอยู่กันแบบทนๆ โอ๋ก็ไม่เอา เพราะเราดูแลตัวเองได้ มีงานที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง จะต้องมาเจียดเวลาให้ใครอีก ถ้าเขาไม่คู่ควรก็ไม่อยากเสียเวลาให้”
ด้วยหน้าที่การงาน ยิ่งตอนนี้มีร้องเพลงกลางคืนทุกวันจันทร์-เสาร์ ทำให้ได้พบผู้คนมากหน้าหลายตาที่เทียวมาแจกขนมจีบ แต่เธอก็เซย์โนไปทุกราย
“ถึงเราจะบอกไปว่า อยากอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีใครเข้ามาแล้วถูกใจ โอ๋ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ต้องใจอ่อน ผู้หญิงถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากอยู่เป็นโสดหรอก แต่ถ้าคนที่เข้ามาไม่ดีพอ การอยู่เป็นโสดน่าจะดีกว่า คนที่จะเข้ามาต้องเพอร์เฟกต์ คุ้มค่ากับ
ความรักของเราหน่อย เราต้องเลือกสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นต้องง้อผู้ชาย แต่ไม่ได้หมายถึงเราเกลียดผู้ชายนะ สมัยนี้ผู้หญิงทำงานหาเงิน ดูแลตัวเอง ไม่ต้องเป็นช้างเท้าหลัง พอสังคมเราเปลี่ยนไป วิถีชีวิตคนเปลี่ยนไป คนหันมารักตัวเองมากขึ้น ตอนนี้ผู้หญิงลุกขึ้นมาดูแลตัวเองได้ มีสิทธิเลือกมากขึ้น”
ใครเคยพบตัวจริงเสียงจริงของเสาวรส น่าจะลงความเห็นว่า เธอเป็นสาวสวยรวยเสน่ห์ ยิ่งไม่น่าเชื่อว่า เธอโสดสนิทและมีแววว่าอยากโสดไปอีกนาน สาวโสดยังฝากถึงเพื่อนๆ ที่รักษาสถานภาพเดียวกันว่า
“ถ้าเราจะใช้ชีวิตโสดควรมีความสุขกับมันที่สุด อย่างน้อยถือเสียว่าเราได้มีเวลาทำอะไรให้กับตัวเองได้มากที่สุด ดูแลพ่อแม่ อย่างโอ๋การทำบ้านสาวโสดขึ้นมาก็เป็นการคลายเหงาได้ เราได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ในกลุ่มก็โสดกันทั้งนั้นอายุมากกว่าเราอีก โอ๋มีกิจกรรมทำมากมายแทบไม่มีเวลาเหงาด้วยซ้ำ
ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธ เรื่องธรรมะก็ช่วยได้นะ ช่วยให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง ไม่ยึดติดกับอะไร วันนี้เรามีแฟนวันต่อไปไม่มีก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หากต้องใช้ชีวิตในแบบที่เป็นโสด ผู้หญิงก็จะต้องเรียนรู้การเป็นโสดของตัวเองให้ได้ ควรที่จะมีความสุข มีเวลาให้กับตัวเอง ในแต่ละวันสามารถที่จะนอนได้มากกว่า 8-10 ชั่วโมง ตรงนี้คือโอกาสที่จะทำได้เพื่อตัวเอง”
** ถามตัวเองว่า...อยู่คนเดียวได้ (จริง) ไหม
ใครเลยจะคิดว่าผู้ชายมาดดี หน้าที่การงานก็เด่น แถมยังร่ำรวยอารมณ์ขัน และเพิ่งอายุ 37 ปีเอง อย่าง วิญญลักษณ์ โสรัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส อินสโตร์ มีเดีย จะมองอนาคตไกลถึงขนาดจะลงขันกับเพื่อนๆ ทำธุรกิจเกี่ยวกับ รีไทร์ แอท โฮม เจาะกลุ่มเป้าหมายคนใช้ชีวิตโสดหลังเกษียณ
“ผมคิดว่าบั้นปลายชีวิตก็คงเข้าไปอยู่ในที่มีคนกลุ่มเดียวกันถ้าเรายังเป็นโสด อนาคตเป็นไปได้อยากทำธุรกิจเกี่ยวกับตรงนี้ เป็นคอมเพล็กซ์ คิดกับเพื่อนๆ ที่มีวิชันเหมือนกัน ทำเองแล้วเข้าไปอยู่ด้วย มีกิจกรรมสำหรับคนกลุ่มนี้ ปัจจุบันมีหลายๆ คนเทรนด์เดียวกับเรา มองการใช้ชีวิตเหมือนกันกับเรา คนไม่แต่งงานเยอะมาก สังคมต่างคนต่างอยู่มากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะโหยหาสิ่งเหล่านี้ เพราะในอนาคตเราอยู่คนเดียวเป็นอะไรไปไม่มีใครรู้”
วิญญลักษณ์ ยังคิดจะครองตัวอยู่เป็นโสด เล่นเอาสาวๆ อกเดาะกันระนาว “ผมยังสนุกกับการทำงาน มีใครเข้ามาไม่มีเวลาให้เขา ก็คงจะเกิดปัญหา ถ้าไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเลยผมก็ไม่กังวล เป็นความเคยชินที่เราอยู่คนเดียวมานานแล้ว ในสังคมเพื่อนๆ ที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ ยังเกาะกลุ่มกันอยู่เป็นโสดก็เยอะ แต่ก็ไม่ได้ตั้งกฎว่าเราต้องโสด มันไม่พร้อมด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง คิดว่าอยู่คนเดียวน่าจะเหมาะในปัจจุบัน
จริงๆ ผมมีมุมมองค่อนข้างแปลกในเรื่องครอบครัว เพราะผมโตมากับเพื่อนตลอด เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก ไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลย มีแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีคู่หรือไม่มีไม่ใช่ประเด็น ไม่มีอิเมจินถึงตรงนั้น ไม่ใช่แพตเทิร์นของชีวิตเรา พ่อแม่ไม่คาดหวัง แล้วแต่เราให้คิดเอง แต่ลึกๆ เขาคงแอบคาดหวังให้เราเป็นฝั่งเป็นฝา
ที่ผ่านมาทุกอย่างคิดเองทำเองมาตลอด ซึ่งผมอาจคิดผิดก็ได้ ปัจจุบันผมอยู่ได้ด้วยตัวเอง กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยว สนุกกับงานและกับชีวิต พอไม่มีภาระเราอยากทำอะไรก็ทำ มันเคยชินกับตรงนี้ แล้วมีความสุข แต่ถ้ามีคู่เข้ามาผมถือว่านั้นเป็นโบนัส”
การใช้ชีวิตโสดสนุกกว่าการมีคู่ครองเป็นไหนๆ ทว่าวิญญลักษณ์ก็ไม่ได้ประมาทต่อการใช้ชีวิต เพราะตระหนักดีว่าคนเราไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพไหนก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน ดังนั้นควรมีการบริหารจัดการชีวิตที่ดี
“ผมว่าเป็นประเด็นสำคัญมาก คนแต่งงานมีครอบครัวมักคิดว่าแก่มาลูกหลานจะเลี้ยง เราสร้างความคาดหวัง ถ้าเขาไม่เลี้ยงเราก็ผิดหวัง ไม่มีการวางแผน ผมคิดว่าในชีวิตเราไม่อยากพึ่งใคร เราสร้างฐานะให้เรามั่นคง ถ้ามีครอบครัวเรื่องเงินเราต้องมีเยอะกว่า ส่วนคนโสดในวันนี้เราอยากใช้ไปหมดก็เรื่องของเรา แต่ว่าโดยหลักๆ ต้องมีการวางแผน อย่างอายุ 20-30 ก็ใช้ได้ แต่ถ้าใกล้ 40 แล้ว ไปเสี่ยงมากก็ไม่ได้ เราอยู่คนเดียวก็จริงแต่ไม่ใช่ต้องเผาพลาญทุอย่าง ต้องมีการวางแผนไว้พอสมควร เวลาเราเจ็บไข้ใครไม่มีใครต้องมีเงินสำรอง”
โสดมีข้อดีอีกตั้งหลายอย่าง หากเราจะเลือกมองในมุมบวก “คนจะอยู่เป็นโสดต้องถามตัวเองก่อนว่าอยู่ได้ไหม เพราะเพื่อนจะอยู่กับเราตลอดไม่ได้ หลักๆ ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง รักตัวเอง ใช้ชีวิตได้ มีความสุข คนโสดต้องหาอะไรทำ แรกๆ เราอาจจะมีเพื่อนฝูงเฮไหนเฮกัน แต่สักระยะเราจะสนใจในกิจกรรมที่เราอยากทำมากกว่า ซึ่งผมเองทุกวันนี้รู้สึกว่ามีความสุข สนุกกับงาน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดถูกหรือผิด วันหนึ่งอาจเสียดายที่ไม่หาคู่ครองหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ ณ วันนี้ผมมีความสุข”
** เศรษฐกิจ-สังคมบีบให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ศ.ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยตัวเลขของคนที่ครองตัวเป็นโสดเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 40 ปีก่อน จากผู้หญิงกลุ่มคนอายุ 15-54 ปี เป็นโสด 21-22 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปี 2551 กลุ่มคนในวัยเดียวกันอยู่เป็นโสด 35 เปอร์เซ็นต์ และในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก เพราะจำนวนนี้น่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ส่วนผู้ชายในวัยเดียวกัน เมื่อปี 2503 เป็นโสดอยู่ 30 เปอร์เซ็นต์ ปี 2543 เพิ่มเป็น 36-37 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์
ศ.ดร.ปราโมทย์ ยังบอกอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโสดเพิ่มขึ้น เพราะสถานภาพสตรีสูงขึ้น มีการศึกษาสูงขึ้น โดยวัดจากตัวเลขผู้หญิงในวัย 20-24 ปี ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา เมื่อปี 2503 มีอยู่แค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์ ปี 2523 ขึ้นมาถึง 7 เปอร์เซ็นต์ และปี 2543 มีมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์
“อีกปัจจัยที่คนเป็นโสดทั้งหญิงและชาย คือ การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การครองชีพ ทำให้ทุกคนมุ่งสนใจการหารายได้ เพื่อยกฐานะทางเศรษฐกิจตัวเองให้สูงขึ้น ทำให้ความสนใจที่จะมีคู่แต่งงานลดน้อยลง ทั้งผู้ชายผู้หญิงเอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาคิดเรื่องสร้างครอบครัว
ทัศนคติต่อการครองคู่ลดน้อยลง สมัยก่อนคนอยากแต่งงานมีครอบครัว แต่สมัยนี้อาจจะมองว่าไม่สำคัญ ทำงานดีกว่า การเป็นอิสระอยู่ด้วยตัวของตัวเองน่าจะดีกว่า น่าจะสบายกว่า ซึ่งแนวโน้มตรงนี้ในอนาคตผู้สูงอายุเป็นภาระของตัวเอง ของครอบครัว ของชุมชนจะมีมากขึ้น ดังนั้นคนที่คิดจะอยู่เป็นโสดจะต้องมีระบบที่จะเก็บออม มีหลักประกันของตัวเองไว้”
*** ออมเงินไว้ใช้ยาม (แก่) ลำพัง
นวพร เรืองสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และเจ้าของหนังสือ ออมก่อนรวยกว่า ได้ให้ข้อคิดเรื่องการใช้ชีวิตและเงินของคนในวัย 35 ปีขึ้นไปว่า “ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ต้องคิดเรื่องพึ่งตัวเอง แต่งงานแล้วแน่ใจหรือว่าจะอยู่กันไปตลอดรอดฝั่ง เขาจะไม่ล้มหายตายจากไปก่อน
สถิติทั่วโลกมีว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและต้องดูแลตัวเอง มักจะอยู่ในฐานะทางการเงินที่ยากลำบากกว่าคนที่ไม่ได้แต่ง ยิ่งสังคมตะวันตกคนที่แต่งงานไปแล้วมักเลิกทำงานมาดูแลบ้าน โอกาสที่จะพัฒนาตัวเองทำให้ก้าวหน้าหยุดชะงักไป ดังนั้นเป็นผู้หญิงไม่ว่าจะอยู่วัยใด แต่งงานหรือไม่ ต้องนึกว่าเราต้องพึ่งตัวเองต้องรู้จักวางแผนเอาไว้ ระยะเวลาที่เราทำงานสั้นกว่าที่เราจะต้องใช้เงิน เราจะเก็บเงินไว้ใช้ในช่วงนั้นอย่างไร”
การใช้ชีวิตเป็นโสดไม่ต้องมีภาระใดๆ มากเท่ากับคนที่แต่งงานแล้ว แต่ในบั้นปลายชีวิตต้องระมัดระวังเหมือนกัน “โสดเบื้องต้นอาจจะสะดวกสบาย ไม่มีภาระดูแลลูก แต่ต้องเก็บเงินเพื่อตัวเอง เป้าหมายหลัก คือ ไม่เป็นภาระกับใคร ต้องเรียนรู้เรื่องลงทุน สิ่งเหล่านี้เรียนรู้ได้ไม่ยาก ธนาคารเองก็มีบริการแนะนำเรื่องพวกนี้ ลองศึกษาดูระหว่างที่ยังมีแรงทำงาน มองโครงการต่างๆ สำหรับการเกษียณอายุ เช่น กองทุนเลี้ยงชีพ เงินบำนาญ ประกันชีวิต การซื้อก็เป็นการลงทุนโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่การซื้อต้องเป็นการซื้อของที่ให้รายได้ในอนาคตได้
“การออมไม่มีสูตรสำเร็จควรจะเก็บอย่างไร สไตล์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อนาคตต้องการอะไร ช่วงอายุ 30 ขึ้นไปต้องใช้เงินเพื่อการใดบ้าง แต่ทุกคนต้องมีสูตรสำเร็จเหมือนกันคือ ตอนที่หาเงินไม่ได้แล้วก็ยังต้องใช้เงิน ดังนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามคุณต้องเก็บเงิน
ที่สำคัญอย่าก่อหนี้ เพราะไม่อย่างนั้นบั้นปลายแทนที่จะสบายได้ใช้เงินที่เก็บออมมา กลายเป็นว่าต้องหาเงินใช้หนี้ตอนแก่ การจัดการเงินเป็นเรื่องสำคัญมาก”
นอกจากการออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ การช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นการออมเพื่อนฝูงอีกแบบหนึ่ง
“คนโสดคิดว่า เราสบายไม่มีภาระ บางคนไม่คาดหวังอะไร แต่เราควรมีเพื่อน เอื้อเฟื้อดูแลใครต่อใครไว้บ้าง พอบั้นปลายจะได้ดูแลกันเองได้ ถ้าเราเอื้อเฟื้อเราก็จะมีสังคมที่อบอุ่น เพราะคนเราเกิดมาต้องมีสังคม ไม่ใช่มุ่งทำงานจนลืมส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตไป
คนที่คิดว่าจะอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต ลองไปทำงานอาสากับผู้สูงอายุสัก 1 เดือน จะทำให้เราเข้าใจและรู้ว่าเราต้องเตรียมตัวยังไงก่อนถึงอนาคต และสุขภาพเราก็ต้องออมเหมือนกัน ถ้าเรายังใช้ชีวิตหักโหม พอแก่มาป่วยต้องใช้เงินของเรานี่ล่ะรักษา ต้องดูแลสุขภาพไม่อย่างนั้นแก่มาต้องซ่อมบำรุงมันอย่างเดียว”
การจะ “เป็นโสด” ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะใช้ “ชีวิตโสด” ให้มีความสุข ไม่เดือดร้อนผู้อื่นนั่นต่างหาก คือ “ศิลปะของการใช้ชีวิต (โสด)” อย่างแท้จริง
//////////////
แต่แหม! การใช้ชีวิตเป็นโสด ใช่ว่าจะเป็นเรื่องน่ากลัว หรือเสียหายประการใด ตรงกันข้าม หากรู้จักและเข้าใจกับชีวิต มีการจัดการบริหารชีวิตที่ดี บางที “คานทองนิเวศน์” ก็ไม่ใช่เคหสถานที่น่ากลัวอีกต่อไป ในมุมกลับอาจจะน่าพิสมัยของบรรดาคนโสดทั้งหลายเสียด้วยซ้ำ ถึงขั้นจะเปลี่ยนเป็นคานเพชร คานแพลทินัมกันเลยเชียว
** รัก-ดูแลตัวเอง และต้องมีความสุข
เป็นเจ้าของบ้านสาวโสดมาได้ 2 เดือนกว่าๆ สำหรับ เสาวรส ศรีชาติ หรือที่รู้จักกันดีในฐานะนักร้องเสียงดี โอ๋ ลำดวน เธอประกาศตัวเป็นโสดสนิทพร้อมกับการเปิดตัว http://www.baansaosoad.com ล่าสุดมีลูกบ้านสาวโสดประมาณ 3,000 คน และเพื่อนบ้านที่ไม่จำกัดสถานภาพอีกประมาณ 4,000 คน
“ตอนนี้โสดสนิท ไหนๆ เป็นแล้ว เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ทำไมต้องเสียใจกับมัน แทนที่จะรู้สึกอย่างนั้นก็ลุกขึ้นมาทำงาน เปิดเว็บไซต์ดีกว่า ในความรู้สึกเราถ้าเลือกได้ ไม่โสดก็ได้นะ แต่ถ้าต้องโสดไปตลอดก็ไม่เป็นไร เพราะเข้าใจตัวเองดีว่าเวลาคบใครเราค่อนข้างซีเรียส คบเล่นๆ ทำไม่เป็น กว่าจะเลือกใครสักคนเรื่องเยอะพอสมควร
สำหรับโอ๋การจะมีคู่คิดต้องมากับความไม่ยุ่งยากไม่เดือดร้อน คู่คิดบางคนไม่ตรงกับเรา ขัดแย้งกัน ต้องอยู่กันแบบทนๆ โอ๋ก็ไม่เอา เพราะเราดูแลตัวเองได้ มีงานที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง จะต้องมาเจียดเวลาให้ใครอีก ถ้าเขาไม่คู่ควรก็ไม่อยากเสียเวลาให้”
ด้วยหน้าที่การงาน ยิ่งตอนนี้มีร้องเพลงกลางคืนทุกวันจันทร์-เสาร์ ทำให้ได้พบผู้คนมากหน้าหลายตาที่เทียวมาแจกขนมจีบ แต่เธอก็เซย์โนไปทุกราย
“ถึงเราจะบอกไปว่า อยากอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีใครเข้ามาแล้วถูกใจ โอ๋ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ต้องใจอ่อน ผู้หญิงถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากอยู่เป็นโสดหรอก แต่ถ้าคนที่เข้ามาไม่ดีพอ การอยู่เป็นโสดน่าจะดีกว่า คนที่จะเข้ามาต้องเพอร์เฟกต์ คุ้มค่ากับ
ความรักของเราหน่อย เราต้องเลือกสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นต้องง้อผู้ชาย แต่ไม่ได้หมายถึงเราเกลียดผู้ชายนะ สมัยนี้ผู้หญิงทำงานหาเงิน ดูแลตัวเอง ไม่ต้องเป็นช้างเท้าหลัง พอสังคมเราเปลี่ยนไป วิถีชีวิตคนเปลี่ยนไป คนหันมารักตัวเองมากขึ้น ตอนนี้ผู้หญิงลุกขึ้นมาดูแลตัวเองได้ มีสิทธิเลือกมากขึ้น”
ใครเคยพบตัวจริงเสียงจริงของเสาวรส น่าจะลงความเห็นว่า เธอเป็นสาวสวยรวยเสน่ห์ ยิ่งไม่น่าเชื่อว่า เธอโสดสนิทและมีแววว่าอยากโสดไปอีกนาน สาวโสดยังฝากถึงเพื่อนๆ ที่รักษาสถานภาพเดียวกันว่า
“ถ้าเราจะใช้ชีวิตโสดควรมีความสุขกับมันที่สุด อย่างน้อยถือเสียว่าเราได้มีเวลาทำอะไรให้กับตัวเองได้มากที่สุด ดูแลพ่อแม่ อย่างโอ๋การทำบ้านสาวโสดขึ้นมาก็เป็นการคลายเหงาได้ เราได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ในกลุ่มก็โสดกันทั้งนั้นอายุมากกว่าเราอีก โอ๋มีกิจกรรมทำมากมายแทบไม่มีเวลาเหงาด้วยซ้ำ
ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธ เรื่องธรรมะก็ช่วยได้นะ ช่วยให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง ไม่ยึดติดกับอะไร วันนี้เรามีแฟนวันต่อไปไม่มีก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หากต้องใช้ชีวิตในแบบที่เป็นโสด ผู้หญิงก็จะต้องเรียนรู้การเป็นโสดของตัวเองให้ได้ ควรที่จะมีความสุข มีเวลาให้กับตัวเอง ในแต่ละวันสามารถที่จะนอนได้มากกว่า 8-10 ชั่วโมง ตรงนี้คือโอกาสที่จะทำได้เพื่อตัวเอง”
** ถามตัวเองว่า...อยู่คนเดียวได้ (จริง) ไหม
ใครเลยจะคิดว่าผู้ชายมาดดี หน้าที่การงานก็เด่น แถมยังร่ำรวยอารมณ์ขัน และเพิ่งอายุ 37 ปีเอง อย่าง วิญญลักษณ์ โสรัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส อินสโตร์ มีเดีย จะมองอนาคตไกลถึงขนาดจะลงขันกับเพื่อนๆ ทำธุรกิจเกี่ยวกับ รีไทร์ แอท โฮม เจาะกลุ่มเป้าหมายคนใช้ชีวิตโสดหลังเกษียณ
“ผมคิดว่าบั้นปลายชีวิตก็คงเข้าไปอยู่ในที่มีคนกลุ่มเดียวกันถ้าเรายังเป็นโสด อนาคตเป็นไปได้อยากทำธุรกิจเกี่ยวกับตรงนี้ เป็นคอมเพล็กซ์ คิดกับเพื่อนๆ ที่มีวิชันเหมือนกัน ทำเองแล้วเข้าไปอยู่ด้วย มีกิจกรรมสำหรับคนกลุ่มนี้ ปัจจุบันมีหลายๆ คนเทรนด์เดียวกับเรา มองการใช้ชีวิตเหมือนกันกับเรา คนไม่แต่งงานเยอะมาก สังคมต่างคนต่างอยู่มากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะโหยหาสิ่งเหล่านี้ เพราะในอนาคตเราอยู่คนเดียวเป็นอะไรไปไม่มีใครรู้”
วิญญลักษณ์ ยังคิดจะครองตัวอยู่เป็นโสด เล่นเอาสาวๆ อกเดาะกันระนาว “ผมยังสนุกกับการทำงาน มีใครเข้ามาไม่มีเวลาให้เขา ก็คงจะเกิดปัญหา ถ้าไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเลยผมก็ไม่กังวล เป็นความเคยชินที่เราอยู่คนเดียวมานานแล้ว ในสังคมเพื่อนๆ ที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ ยังเกาะกลุ่มกันอยู่เป็นโสดก็เยอะ แต่ก็ไม่ได้ตั้งกฎว่าเราต้องโสด มันไม่พร้อมด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง คิดว่าอยู่คนเดียวน่าจะเหมาะในปัจจุบัน
จริงๆ ผมมีมุมมองค่อนข้างแปลกในเรื่องครอบครัว เพราะผมโตมากับเพื่อนตลอด เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก ไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลย มีแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีคู่หรือไม่มีไม่ใช่ประเด็น ไม่มีอิเมจินถึงตรงนั้น ไม่ใช่แพตเทิร์นของชีวิตเรา พ่อแม่ไม่คาดหวัง แล้วแต่เราให้คิดเอง แต่ลึกๆ เขาคงแอบคาดหวังให้เราเป็นฝั่งเป็นฝา
ที่ผ่านมาทุกอย่างคิดเองทำเองมาตลอด ซึ่งผมอาจคิดผิดก็ได้ ปัจจุบันผมอยู่ได้ด้วยตัวเอง กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยว สนุกกับงานและกับชีวิต พอไม่มีภาระเราอยากทำอะไรก็ทำ มันเคยชินกับตรงนี้ แล้วมีความสุข แต่ถ้ามีคู่เข้ามาผมถือว่านั้นเป็นโบนัส”
การใช้ชีวิตโสดสนุกกว่าการมีคู่ครองเป็นไหนๆ ทว่าวิญญลักษณ์ก็ไม่ได้ประมาทต่อการใช้ชีวิต เพราะตระหนักดีว่าคนเราไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพไหนก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน ดังนั้นควรมีการบริหารจัดการชีวิตที่ดี
“ผมว่าเป็นประเด็นสำคัญมาก คนแต่งงานมีครอบครัวมักคิดว่าแก่มาลูกหลานจะเลี้ยง เราสร้างความคาดหวัง ถ้าเขาไม่เลี้ยงเราก็ผิดหวัง ไม่มีการวางแผน ผมคิดว่าในชีวิตเราไม่อยากพึ่งใคร เราสร้างฐานะให้เรามั่นคง ถ้ามีครอบครัวเรื่องเงินเราต้องมีเยอะกว่า ส่วนคนโสดในวันนี้เราอยากใช้ไปหมดก็เรื่องของเรา แต่ว่าโดยหลักๆ ต้องมีการวางแผน อย่างอายุ 20-30 ก็ใช้ได้ แต่ถ้าใกล้ 40 แล้ว ไปเสี่ยงมากก็ไม่ได้ เราอยู่คนเดียวก็จริงแต่ไม่ใช่ต้องเผาพลาญทุอย่าง ต้องมีการวางแผนไว้พอสมควร เวลาเราเจ็บไข้ใครไม่มีใครต้องมีเงินสำรอง”
โสดมีข้อดีอีกตั้งหลายอย่าง หากเราจะเลือกมองในมุมบวก “คนจะอยู่เป็นโสดต้องถามตัวเองก่อนว่าอยู่ได้ไหม เพราะเพื่อนจะอยู่กับเราตลอดไม่ได้ หลักๆ ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง รักตัวเอง ใช้ชีวิตได้ มีความสุข คนโสดต้องหาอะไรทำ แรกๆ เราอาจจะมีเพื่อนฝูงเฮไหนเฮกัน แต่สักระยะเราจะสนใจในกิจกรรมที่เราอยากทำมากกว่า ซึ่งผมเองทุกวันนี้รู้สึกว่ามีความสุข สนุกกับงาน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดถูกหรือผิด วันหนึ่งอาจเสียดายที่ไม่หาคู่ครองหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ ณ วันนี้ผมมีความสุข”
** เศรษฐกิจ-สังคมบีบให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ศ.ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยตัวเลขของคนที่ครองตัวเป็นโสดเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 40 ปีก่อน จากผู้หญิงกลุ่มคนอายุ 15-54 ปี เป็นโสด 21-22 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปี 2551 กลุ่มคนในวัยเดียวกันอยู่เป็นโสด 35 เปอร์เซ็นต์ และในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก เพราะจำนวนนี้น่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ส่วนผู้ชายในวัยเดียวกัน เมื่อปี 2503 เป็นโสดอยู่ 30 เปอร์เซ็นต์ ปี 2543 เพิ่มเป็น 36-37 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์
ศ.ดร.ปราโมทย์ ยังบอกอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโสดเพิ่มขึ้น เพราะสถานภาพสตรีสูงขึ้น มีการศึกษาสูงขึ้น โดยวัดจากตัวเลขผู้หญิงในวัย 20-24 ปี ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา เมื่อปี 2503 มีอยู่แค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์ ปี 2523 ขึ้นมาถึง 7 เปอร์เซ็นต์ และปี 2543 มีมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์
“อีกปัจจัยที่คนเป็นโสดทั้งหญิงและชาย คือ การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การครองชีพ ทำให้ทุกคนมุ่งสนใจการหารายได้ เพื่อยกฐานะทางเศรษฐกิจตัวเองให้สูงขึ้น ทำให้ความสนใจที่จะมีคู่แต่งงานลดน้อยลง ทั้งผู้ชายผู้หญิงเอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาคิดเรื่องสร้างครอบครัว
ทัศนคติต่อการครองคู่ลดน้อยลง สมัยก่อนคนอยากแต่งงานมีครอบครัว แต่สมัยนี้อาจจะมองว่าไม่สำคัญ ทำงานดีกว่า การเป็นอิสระอยู่ด้วยตัวของตัวเองน่าจะดีกว่า น่าจะสบายกว่า ซึ่งแนวโน้มตรงนี้ในอนาคตผู้สูงอายุเป็นภาระของตัวเอง ของครอบครัว ของชุมชนจะมีมากขึ้น ดังนั้นคนที่คิดจะอยู่เป็นโสดจะต้องมีระบบที่จะเก็บออม มีหลักประกันของตัวเองไว้”
*** ออมเงินไว้ใช้ยาม (แก่) ลำพัง
นวพร เรืองสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และเจ้าของหนังสือ ออมก่อนรวยกว่า ได้ให้ข้อคิดเรื่องการใช้ชีวิตและเงินของคนในวัย 35 ปีขึ้นไปว่า “ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ต้องคิดเรื่องพึ่งตัวเอง แต่งงานแล้วแน่ใจหรือว่าจะอยู่กันไปตลอดรอดฝั่ง เขาจะไม่ล้มหายตายจากไปก่อน
สถิติทั่วโลกมีว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและต้องดูแลตัวเอง มักจะอยู่ในฐานะทางการเงินที่ยากลำบากกว่าคนที่ไม่ได้แต่ง ยิ่งสังคมตะวันตกคนที่แต่งงานไปแล้วมักเลิกทำงานมาดูแลบ้าน โอกาสที่จะพัฒนาตัวเองทำให้ก้าวหน้าหยุดชะงักไป ดังนั้นเป็นผู้หญิงไม่ว่าจะอยู่วัยใด แต่งงานหรือไม่ ต้องนึกว่าเราต้องพึ่งตัวเองต้องรู้จักวางแผนเอาไว้ ระยะเวลาที่เราทำงานสั้นกว่าที่เราจะต้องใช้เงิน เราจะเก็บเงินไว้ใช้ในช่วงนั้นอย่างไร”
การใช้ชีวิตเป็นโสดไม่ต้องมีภาระใดๆ มากเท่ากับคนที่แต่งงานแล้ว แต่ในบั้นปลายชีวิตต้องระมัดระวังเหมือนกัน “โสดเบื้องต้นอาจจะสะดวกสบาย ไม่มีภาระดูแลลูก แต่ต้องเก็บเงินเพื่อตัวเอง เป้าหมายหลัก คือ ไม่เป็นภาระกับใคร ต้องเรียนรู้เรื่องลงทุน สิ่งเหล่านี้เรียนรู้ได้ไม่ยาก ธนาคารเองก็มีบริการแนะนำเรื่องพวกนี้ ลองศึกษาดูระหว่างที่ยังมีแรงทำงาน มองโครงการต่างๆ สำหรับการเกษียณอายุ เช่น กองทุนเลี้ยงชีพ เงินบำนาญ ประกันชีวิต การซื้อก็เป็นการลงทุนโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่การซื้อต้องเป็นการซื้อของที่ให้รายได้ในอนาคตได้
“การออมไม่มีสูตรสำเร็จควรจะเก็บอย่างไร สไตล์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อนาคตต้องการอะไร ช่วงอายุ 30 ขึ้นไปต้องใช้เงินเพื่อการใดบ้าง แต่ทุกคนต้องมีสูตรสำเร็จเหมือนกันคือ ตอนที่หาเงินไม่ได้แล้วก็ยังต้องใช้เงิน ดังนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามคุณต้องเก็บเงิน
ที่สำคัญอย่าก่อหนี้ เพราะไม่อย่างนั้นบั้นปลายแทนที่จะสบายได้ใช้เงินที่เก็บออมมา กลายเป็นว่าต้องหาเงินใช้หนี้ตอนแก่ การจัดการเงินเป็นเรื่องสำคัญมาก”
นอกจากการออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ การช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นการออมเพื่อนฝูงอีกแบบหนึ่ง
“คนโสดคิดว่า เราสบายไม่มีภาระ บางคนไม่คาดหวังอะไร แต่เราควรมีเพื่อน เอื้อเฟื้อดูแลใครต่อใครไว้บ้าง พอบั้นปลายจะได้ดูแลกันเองได้ ถ้าเราเอื้อเฟื้อเราก็จะมีสังคมที่อบอุ่น เพราะคนเราเกิดมาต้องมีสังคม ไม่ใช่มุ่งทำงานจนลืมส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตไป
คนที่คิดว่าจะอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต ลองไปทำงานอาสากับผู้สูงอายุสัก 1 เดือน จะทำให้เราเข้าใจและรู้ว่าเราต้องเตรียมตัวยังไงก่อนถึงอนาคต และสุขภาพเราก็ต้องออมเหมือนกัน ถ้าเรายังใช้ชีวิตหักโหม พอแก่มาป่วยต้องใช้เงินของเรานี่ล่ะรักษา ต้องดูแลสุขภาพไม่อย่างนั้นแก่มาต้องซ่อมบำรุงมันอย่างเดียว”
การจะ “เป็นโสด” ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะใช้ “ชีวิตโสด” ให้มีความสุข ไม่เดือดร้อนผู้อื่นนั่นต่างหาก คือ “ศิลปะของการใช้ชีวิต (โสด)” อย่างแท้จริง
//////////////
สังเกต, สังเกต และสังเกต 'Observe, observe and observe'
03 August 2008 - 06:02 PM
คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ [email protected]
สมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ผมจะชอบวิชาวิทยาศาสตร์มากเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณครูประกอบ นวลละออง ซึ่งท่านเป็นครูวิชาวิทยาศาสตร์ของผมในสมัยนั้นชอบเล่าเรื่อง คุณครูประกอบจะเล่าเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ดังๆ หลายท่าน ที่ผมจำได้อย่างแม่นยำที่สุดก็คือคุณครูเล่าเรื่องของโทมัส อัลวา เอดิสัน การคิดค้นการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ของเขากว่าจะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าสำเร็จ เอดิสันก็ต้องทดลองอะไรต่างๆ มากมายแสนสาหัส
ฟังดูเหมือนแสนสาหัส แต่ถ้าเอดิสันรู้สึกว่า "สาหัส" เขาก็คงไม่ทำ การที่เขายังสนุกสนานอยู่กับการค้นคว้าสิ่งต่างๆ นั้น แสดงว่า "เขาน่าจะไม่ได้รู้สึกว่าหนักหนาสาหัส" กับการกระทำของเขากระมัง
และสิ่งที่ผมฝังใจมากสำหรับการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คุณประกอบสอนไว้ก็คือ "ต้องช่างสังเกต" แต่ในทางปฏิบัติ ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่ทราบ ผมกลับไม่สามารถนำพาให้ชีวิตจริงๆ มี "การสังเกต" อย่างจริงๆ จังๆ ได้ เพียงคิดและรู้และก็เข้าใจว่า "นักวิทยาศาสตร์ต้องเป็นคนช่างสังเกต" และผมเพิ่งกลับมานึกถึงคำว่า "สังเกต" ของคุณครูประกอบได้อีกครั้งหนึ่งเมื่อสามสี่ปีนี้เอง
ในครั้งนั้นท่าน อ.หมอประเวศ วะสี ได้พูดถึง "ทฤษฎีตัวยู" (อักษร U ในภาษาอังกฤษ) ในการประชุมจิตวิวัฒน์ครั้งหนึ่ง เป็น "ทฤษฎี U" ที่เขียนอยู่ในหนังสือที่ชื่อ "Presence" ซึ่งเขียนโดยนักปรัชญาทางสังคมดังๆ หลายท่าน เช่น ปีเตอร์ เซ็งเก, โจเซฟ จาวอสกี้, ออตโต ชาร์มเมอร์ และเบตตี้ ชูว์
ในหนังสือเล่มนี้พูดถึง "ทฤษฎี U" ว่าเป็นกลไกการเรียนรู้ที่สำคัญของมนุษย์ในการที่จะ "ไม่เลือกใช้" สิ่งที่รู้อยู่เดิมๆ เก่าๆ แบบปฏิกิริยา เช่น ถ้าเราได้รับรู้อะไรบางอย่างเข้ามามนุษย์ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกสิ่งเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ ในการมีปฏิกิริยาต่อสิ่งนั้น สมมุติว่าเห็นคนแต่งตัวโทรมๆ ไว้หนวดเครารุงรังและหน้าดุร้ายเดินเข้ามาหาเรา เราก็มักจะต้องกลัวว่าเขาจะมาทำร้ายไว้ก่อน เป็นต้น
ในทฤษฎียูนั้นบอกว่า ถ้าเราไม่ตัดสินเรื่องราวแบบรวดเร็วเกินไปนัก เฝ้ารอและลองดำดิ่งลงไปที่ "ก้นตัวยู" เราอาจจะได้ "ทางเลือก" อะไร "ใหม่" ที่ก่อเกิดขึ้นมาในความคิดของเราได้
ที่ "ก้นตัวยู" นั้นจะมี "การก่อเกิด" ของสิ่งใหม่ที่ อ.หมอประเวศใช้คำว่า "ผุดบังเกิด" หรือ "โผล่ปรากฏ" เกิดขึ้นมาเหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์อย่างเอดิสันเกิดปิ๊งแว้บในงานทดลองของเขาอยู่เนืองๆ เหมือนอย่างที่อาคิมิดิสร้องคำว่ายูเรก้า เมื่อล้มตัวลงไปในอ่างน้ำ หรืออื่นๆ
และขั้นตอนสำคัญที่สุดที่จะเดินลงไปสู่ "ก้นตัว U" ได้ก็คือ ต้องไต่ไปตาม "ขาลงของตัว U" และขาลงของตัวยูนั้น จะต้องเริ่มต้นด้วย "การสังเกต สังเกต และสังเกต" ซึ่งออตโต ชาร์มเมอร์ ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎียูได้เขียนไว้ที่ขาลงตัวยูด้วยคำว่า "observe, observe and observe" ย้ำสามครั้งตามสไตล์เยอรมันของแท้
ตรงนี้เองที่คำว่า "สังเกต" ได้กลับเข้ามาในชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่งว่า "การสังเกต" นั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตของมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างผมและท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านด้วย อาจจะไม่ต้องรอให้เป็น "นักวิทยาศาสตร์" เท่านั้นที่จะต้องมีทักษะของการสังเกต
ถึงตรงนี้ก็อาจจะมีคำถามนะครับว่า "สังเกตอะไรหรือ?" ก็คงจะตอบว่า "สังเกตทุกสิ่งทุกอย่าง" ที่เกิดขึ้นจริงๆ ณ เวลานี้เดี๋ยวนี้ว่ามีอะไรบ้าง
สังเกตเพื่อการรับรู้เต็มร้อยกับสถานการณ์หนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นในตัวเราและรอบๆ ตัวเรา เช่น
สังเกตว่าขณะนี้ร่างกายของเราเป็นอย่างไร ส่วนไหนตึง ส่วนไหนปวดเมื่อย ส่วนไหนสบายๆ ลมหายใจของเราเป็นอย่างไร ช้าหรือเร็ว ลึกหรือตื้น เรากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เรากำลังรู้สึกอย่างไร อารมณ์ของเราเป็นอย่างไร
จากนั้นก็อาจจะสังเกตสิ่งรอบๆ ตัว อากาศเป็นอย่างไร ร้อนหรือหนาวหรือพอดีๆ มีลมพัดหรือไม่อย่างไร มองเห็นอะไรอยู่ ได้ยินเสียงอะไรอยู่ กำลังได้กลิ่นอะไรอยู่ รับรู้สิ่งที่เห็นพร้อมๆ กับสังเกตปฏิกิริยาที่ร่างกายของเราที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที
ลองสังเกตทุกอย่างในทุกกิจกรรมของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง การกินอาหาร การขับรถ การประชุม หรืออื่นๆ เพราะ "การสังเกต" จะช่วยให้เรา "มองเห็น" สิ่งที่ "เราเคยมองไม่เห็น" มาก่อน ทำให้เราได้ "รับรู้" สิ่งที่เราไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ช่วยทำให้ "จุดบอด" ในชีวิตของเราหายไป ผมมีสมมติฐานอยู่ว่า ปัญหาต่างๆ ของพวกเราแต่ละคนก็มักจะอยู่ใน "จุดบอด" ที่เรามองไม่เห็นนั่นเอง
"การสังเกต" ยังจะช่วยทำให้เราได้ "รับรู้ถึงความสดใหม่เสมอ" ของการมีชีวิตเพราะแต่ละวินาทีแต่ละนาที ร่างกายของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ต่อเมื่อเราสังเกตเราจึงจะมองเห็น
ในเบื้องต้นนั้น เราเพียงฝึกสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นตามที่เป็นไปเท่านั้น ยังไม่ต้องพยายามที่จะไปทำอะไร เพราะการสังเกตเป็นเหมือนประตูเข้าไปสู่ก้นตัวยู เราจะสามารถคิดอะไรดีๆ ออก ต่อเมื่อเราสามารถดำดิ่งลงไปถึงก้นตัวยูได้เท่านั้น นอกจากนั้นที่ก้นตัวยู เราจะยังได้พบกับ "ความหมายที่แท้จริงของชีวิต" ของเราอีกด้วย
ทิม กัลเวย์ ผู้เขียนหนังสือที่เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญอีกท่านหนึ่งพูดถึง "การตื่นรู้เมื่อเราสังเกต" ไว้ว่า เหมือนกับการที่เราฉายแสงส่องไฟไปยังส่วนที่มืดของชีวิตของเรา
และเมื่อเรามองเห็นเราจึงจะสามารถเกิดความสนุก ความสุข และความเบาสบาย อย่างที่ควรจะเป็น อย่างที่มนุษย์ทุกคนจะสามารถสัมผัสได้
ต่อเมื่อเรา "สังเกตเป็น" เท่านั้นเราจึงจะสามารถ "ใช้ชีวิตได้เต็มร้อยจริงๆ"
ก่อนที่สิ่งต่างๆ รอบตัวของยุคสมัยใหม่จะทำให้เรากลายไปเป็นหุ่นยนต์ "ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร" กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในตัวและรอบๆ ตัวเรา
ซึ่งจะค่อยๆ ทำให้เรากลายไปเป็น "สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีชีวิต" ไปได้อย่างน่าเสียดาย
***ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11103 , หน้า 6
สมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ผมจะชอบวิชาวิทยาศาสตร์มากเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณครูประกอบ นวลละออง ซึ่งท่านเป็นครูวิชาวิทยาศาสตร์ของผมในสมัยนั้นชอบเล่าเรื่อง คุณครูประกอบจะเล่าเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ดังๆ หลายท่าน ที่ผมจำได้อย่างแม่นยำที่สุดก็คือคุณครูเล่าเรื่องของโทมัส อัลวา เอดิสัน การคิดค้นการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ของเขากว่าจะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าสำเร็จ เอดิสันก็ต้องทดลองอะไรต่างๆ มากมายแสนสาหัส
ฟังดูเหมือนแสนสาหัส แต่ถ้าเอดิสันรู้สึกว่า "สาหัส" เขาก็คงไม่ทำ การที่เขายังสนุกสนานอยู่กับการค้นคว้าสิ่งต่างๆ นั้น แสดงว่า "เขาน่าจะไม่ได้รู้สึกว่าหนักหนาสาหัส" กับการกระทำของเขากระมัง
และสิ่งที่ผมฝังใจมากสำหรับการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คุณประกอบสอนไว้ก็คือ "ต้องช่างสังเกต" แต่ในทางปฏิบัติ ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่ทราบ ผมกลับไม่สามารถนำพาให้ชีวิตจริงๆ มี "การสังเกต" อย่างจริงๆ จังๆ ได้ เพียงคิดและรู้และก็เข้าใจว่า "นักวิทยาศาสตร์ต้องเป็นคนช่างสังเกต" และผมเพิ่งกลับมานึกถึงคำว่า "สังเกต" ของคุณครูประกอบได้อีกครั้งหนึ่งเมื่อสามสี่ปีนี้เอง
ในครั้งนั้นท่าน อ.หมอประเวศ วะสี ได้พูดถึง "ทฤษฎีตัวยู" (อักษร U ในภาษาอังกฤษ) ในการประชุมจิตวิวัฒน์ครั้งหนึ่ง เป็น "ทฤษฎี U" ที่เขียนอยู่ในหนังสือที่ชื่อ "Presence" ซึ่งเขียนโดยนักปรัชญาทางสังคมดังๆ หลายท่าน เช่น ปีเตอร์ เซ็งเก, โจเซฟ จาวอสกี้, ออตโต ชาร์มเมอร์ และเบตตี้ ชูว์
ในหนังสือเล่มนี้พูดถึง "ทฤษฎี U" ว่าเป็นกลไกการเรียนรู้ที่สำคัญของมนุษย์ในการที่จะ "ไม่เลือกใช้" สิ่งที่รู้อยู่เดิมๆ เก่าๆ แบบปฏิกิริยา เช่น ถ้าเราได้รับรู้อะไรบางอย่างเข้ามามนุษย์ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกสิ่งเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ ในการมีปฏิกิริยาต่อสิ่งนั้น สมมุติว่าเห็นคนแต่งตัวโทรมๆ ไว้หนวดเครารุงรังและหน้าดุร้ายเดินเข้ามาหาเรา เราก็มักจะต้องกลัวว่าเขาจะมาทำร้ายไว้ก่อน เป็นต้น
ในทฤษฎียูนั้นบอกว่า ถ้าเราไม่ตัดสินเรื่องราวแบบรวดเร็วเกินไปนัก เฝ้ารอและลองดำดิ่งลงไปที่ "ก้นตัวยู" เราอาจจะได้ "ทางเลือก" อะไร "ใหม่" ที่ก่อเกิดขึ้นมาในความคิดของเราได้
ที่ "ก้นตัวยู" นั้นจะมี "การก่อเกิด" ของสิ่งใหม่ที่ อ.หมอประเวศใช้คำว่า "ผุดบังเกิด" หรือ "โผล่ปรากฏ" เกิดขึ้นมาเหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์อย่างเอดิสันเกิดปิ๊งแว้บในงานทดลองของเขาอยู่เนืองๆ เหมือนอย่างที่อาคิมิดิสร้องคำว่ายูเรก้า เมื่อล้มตัวลงไปในอ่างน้ำ หรืออื่นๆ
และขั้นตอนสำคัญที่สุดที่จะเดินลงไปสู่ "ก้นตัว U" ได้ก็คือ ต้องไต่ไปตาม "ขาลงของตัว U" และขาลงของตัวยูนั้น จะต้องเริ่มต้นด้วย "การสังเกต สังเกต และสังเกต" ซึ่งออตโต ชาร์มเมอร์ ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎียูได้เขียนไว้ที่ขาลงตัวยูด้วยคำว่า "observe, observe and observe" ย้ำสามครั้งตามสไตล์เยอรมันของแท้
ตรงนี้เองที่คำว่า "สังเกต" ได้กลับเข้ามาในชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่งว่า "การสังเกต" นั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตของมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างผมและท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านด้วย อาจจะไม่ต้องรอให้เป็น "นักวิทยาศาสตร์" เท่านั้นที่จะต้องมีทักษะของการสังเกต
ถึงตรงนี้ก็อาจจะมีคำถามนะครับว่า "สังเกตอะไรหรือ?" ก็คงจะตอบว่า "สังเกตทุกสิ่งทุกอย่าง" ที่เกิดขึ้นจริงๆ ณ เวลานี้เดี๋ยวนี้ว่ามีอะไรบ้าง
สังเกตเพื่อการรับรู้เต็มร้อยกับสถานการณ์หนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นในตัวเราและรอบๆ ตัวเรา เช่น
สังเกตว่าขณะนี้ร่างกายของเราเป็นอย่างไร ส่วนไหนตึง ส่วนไหนปวดเมื่อย ส่วนไหนสบายๆ ลมหายใจของเราเป็นอย่างไร ช้าหรือเร็ว ลึกหรือตื้น เรากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เรากำลังรู้สึกอย่างไร อารมณ์ของเราเป็นอย่างไร
จากนั้นก็อาจจะสังเกตสิ่งรอบๆ ตัว อากาศเป็นอย่างไร ร้อนหรือหนาวหรือพอดีๆ มีลมพัดหรือไม่อย่างไร มองเห็นอะไรอยู่ ได้ยินเสียงอะไรอยู่ กำลังได้กลิ่นอะไรอยู่ รับรู้สิ่งที่เห็นพร้อมๆ กับสังเกตปฏิกิริยาที่ร่างกายของเราที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที
ลองสังเกตทุกอย่างในทุกกิจกรรมของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง การกินอาหาร การขับรถ การประชุม หรืออื่นๆ เพราะ "การสังเกต" จะช่วยให้เรา "มองเห็น" สิ่งที่ "เราเคยมองไม่เห็น" มาก่อน ทำให้เราได้ "รับรู้" สิ่งที่เราไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ช่วยทำให้ "จุดบอด" ในชีวิตของเราหายไป ผมมีสมมติฐานอยู่ว่า ปัญหาต่างๆ ของพวกเราแต่ละคนก็มักจะอยู่ใน "จุดบอด" ที่เรามองไม่เห็นนั่นเอง
"การสังเกต" ยังจะช่วยทำให้เราได้ "รับรู้ถึงความสดใหม่เสมอ" ของการมีชีวิตเพราะแต่ละวินาทีแต่ละนาที ร่างกายของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ต่อเมื่อเราสังเกตเราจึงจะมองเห็น
ในเบื้องต้นนั้น เราเพียงฝึกสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นตามที่เป็นไปเท่านั้น ยังไม่ต้องพยายามที่จะไปทำอะไร เพราะการสังเกตเป็นเหมือนประตูเข้าไปสู่ก้นตัวยู เราจะสามารถคิดอะไรดีๆ ออก ต่อเมื่อเราสามารถดำดิ่งลงไปถึงก้นตัวยูได้เท่านั้น นอกจากนั้นที่ก้นตัวยู เราจะยังได้พบกับ "ความหมายที่แท้จริงของชีวิต" ของเราอีกด้วย
ทิม กัลเวย์ ผู้เขียนหนังสือที่เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญอีกท่านหนึ่งพูดถึง "การตื่นรู้เมื่อเราสังเกต" ไว้ว่า เหมือนกับการที่เราฉายแสงส่องไฟไปยังส่วนที่มืดของชีวิตของเรา
และเมื่อเรามองเห็นเราจึงจะสามารถเกิดความสนุก ความสุข และความเบาสบาย อย่างที่ควรจะเป็น อย่างที่มนุษย์ทุกคนจะสามารถสัมผัสได้
ต่อเมื่อเรา "สังเกตเป็น" เท่านั้นเราจึงจะสามารถ "ใช้ชีวิตได้เต็มร้อยจริงๆ"
ก่อนที่สิ่งต่างๆ รอบตัวของยุคสมัยใหม่จะทำให้เรากลายไปเป็นหุ่นยนต์ "ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร" กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในตัวและรอบๆ ตัวเรา
ซึ่งจะค่อยๆ ทำให้เรากลายไปเป็น "สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีชีวิต" ไปได้อย่างน่าเสียดาย
***ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11103 , หน้า 6
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: kuna
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·