ไปที่เนื้อหา


Heart Sutra

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 09 May 2010
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด May 17 2010 07:11 PM
-----

โพสต์ที่ฉันโพสต์

ในกระทู้: อนาคามี

11 May 2010 - 04:13 AM

สาธุครับ เรียกง่ายๆว่า ผู้ไปสู่ภพสุทธาวาส ครับ

ในกระทู้: ความรักที่มีอิสระต่อกัน

09 May 2010 - 08:49 AM

รักแบบโพธิสัตว์ไงครับ มองสรรพสิ่งเสมอด้วยความเมตตา รักทุกๆชีวิตเท่าๆกัน
รักที่ไม่ใช่เพื่อครอบครอง รักที่มีแต่ช่วยเหลือ รักที่มองเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ
รักที่มีแต่ความปรารถนาดี ความเห็นอกเห็นใจ ความร่วมยินดี วางใจเป็นกลาง
รักแบบนี้ครับ เป็นรักแท้ และเป็นรักที่บริสุทธิ์

แต่รักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือรักของพระพุทธองค์ พระองค์ทรงเมตตาต่อสรรพสัตว์อย่างเสมอภาค
แม้ผู้ที่อาฆาตมาดร้ายต่อพระองค์ ผู้ที่หมายจะทำร้ายพระองค์ พระองค์ก็ยังทรงเมตตา พระองค์มีแต่ให้อภัย
พระองค์มีแต่ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้น...

"ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิด จงนั่งลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ...มีใจสงบ เบิกบาน"

ในกระทู้: พระโพธิสัตว์

09 May 2010 - 08:33 AM

ที่ท่านทนได้เพราะ ขันติบารมี ที่สั่งสมมามากมาย
ที่ท่านไม่เกรงกลัว เพราะ อุเบกขาบารมี อันล้ำเลิศ
ที่ท่านพร้อมที่จะเป็นผู้ให้ เพราะ เมตตาบารมี อันเหลือล้น
จึงเป็นปัจจัยหนุนให้ท่านบำเพ็ญ ทานบารมี อันยิ่งใหญ่

แต่ผมว่าที่ท่านทำสิ่งต่างๆได้ เพราะอัตตานุปาทานของท่านเหลือน้อยหละครับ เพราะไม่ได้ยึดมั่นอะไร
จึงไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่มีอะไรต้องห่วง ช่วยเพื่อที่จะช่วย ในสายตาของท่านไม่ได้มองสรรพสัตว์ด้วยความแบ่งแยก
เป็นอวิกัลปญาณจิต เหตุที่ท่านไม่แบ่งเรา เขา ท่านจึงช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไม่มีข้อแม้ จิตใจของท่านประเสริฐนัก
ท่านมองสรรพชีวิตด้วยความเมตตา เป็นไปเพื่อเนกขัมม์ ปวิเวก ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง และเพื่อการสลัดออก

แรกๆท่านอาจจะต้องใช้กำลังใจ แต่เมื่อบารมีแก่กล้า การบำเพ็ญบารมีเป็นวิถีทางของท่านแล้ว
การบำเพ็ญบารมีเป็นเนื้อเดียวกับชีวิตของท่านแล้ว กายของท่านดำรงเพื่อบำเพ็ญบารมี ใจของท่านเป็นไปเพื่อการบำเพ็ญบารมี T_T

ในกระทู้: ข้อแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนา

09 May 2010 - 07:57 AM

สิ่งที่พระพุทธองค์สอนนั้น เป็นวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนที่สุดครับ
แม้แต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอจะตาย(อิอิ) ยังมีอธิบายในพระไตรปิฎกทั้งเถรวาทและมหายานเลย
ก็อิทัปปัจจยตา แถมอธิบายไว้อย่างลึกซึ้งกว่ามากๆๆๆๆ(เทียบกันไม่ได้) ในนิกายศูนยวาท ก็อธิบายไว้ในเชิงสุญญตา
ฝ่ายมหายานก็อธิบายในเชิงธรรม 3 ระดับ ไอ้สัมพัทธภาพเนี่ย มันจัดอยู่ในธรรมระดับที่ 2 คือ ปรตันตระ
ปรตันตระ ก็คือ ความเป็นเหตุปัจจัยกันของสรรพสิ่ง ก็คือ อิทัปปัจจยตา และ กฏแห่งกรรม นี่เอง

ในทฤษฎีสัมพัทธภาพกล่าวว่า ถ้าขาดสัมพัทธภาพ ระยะจะเป็น0 กาลเวลาจะเป็น0 ....
ในทางพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า
อิมัสมิง สติ, อิทัง โหติ; - เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี
อิมัสสะ อุปปาทา, อิทัง อุปปัชชติ; - เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด
อิมัสมิง อสติ, อิทัง นะ โหติ; - เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นจึงไม่มี
อิมัสสะ นิโรธา, อิทัง นิรุชฌติ; - เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นจึงดับ
แถมยังอธิบายไว้ลึกซึ้งกว่าเยอะมากๆๆๆๆ ถ้าวิเคราะห์ตามหลักปรัชญาก็ยิ่งลึกเขาไปใหญ่ ความมีและไม่มีเป็นเนื้อเดียวกัน โอ้ววว
แต่ถ้าจะเข้าใจได้อย่างสุดๆ ต้องวิปัสสนา คือเห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงแท้ไปเลย T_T

ในกระทู้: ใช้ผิวหนังมองแทนดวงตา พลังลี้ลับของคนป่าแห่งซามัว

09 May 2010 - 07:49 AM

ผมว่าเขาใช้ตาใจนะ ^^

แต่พวกเขากำหนดจิตไว้ตรงผิวหนังเนี่ยนะ???
มันถือเป็นการเข้านอกหนิครับ ...
ถ้าจะให้ปลอดภัยควรจะไว้ฐานเจ็ด หรือไม่ก็ฐานใดฐานหนึ่งในเจ็ดฐานครับ

อิอิ พวกซามูไรกับพวกนักรบแถวๆเอเชียตะวันออกก็มีหนิครับ
พวกนี้ปิดตาฟันดาบได้เลย(บางคน) ใช้หูบ้าง ใช้ตาใจบ้าง แต่ตาใจต้องฝึกสมถภาวนา

เราชาวพุทธ มีโอกาสเรียนรู้วิธีทำสมาธิที่ถูกต้อง
ถ้าจะทำก็ได้นะครับ แต่ถ้าเหตุปัจจัยไม่พร้อม มันก็ยากอะครับ ^^
แต่ถ้าฝึกวิชชาธรรมกายจนถึงระดับนึงแล้ว ผมว่าทำได้แน่นอนครับ