มองที่ปัญหา หรือ มองที่ทางออก
#1
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 12:54 PM
เรื่องแรก
อเมริกาส่งนักบินไปในอวกาศเจอปัญหาปากกาเขียนไม่ออก
นักวิทยาศาสตร์ระดมปัญญาเพื่อประดิษฐ์ปากกา
ที่สามารถเขียนในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงได้
ต้องทุ่มเงินหลายร้อยล้านเหรียญและใช้เวลาไปหลายปี
ในที่สุดได้ปากกาที่สามารถเขียนได้ทุกพื้นผิว
แม้ใต้น้ำก้อเขียนได้
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง
แต่นักบินอวกาศรัสเซีย ประสบปัญหาเดียวกัน
ใช้ดินสอเขียนแทนปากกา
*******************************
เรื่องที่สอง
โรงงานผลิตสบู่ในญี่ปุ่นประสบปัญหา
เมื่อส่งสินค้าไปแล้วลูกค้าบ่นเรื่องบางกล่องไม่มีสบู่ เป็นกล่องเปล่าๆ
ทางโรงงานติดตั้งเครื่อง X-Ray เพื่อตรวจสอบ
ใช้เงินลงทุนไปหลายล้านเยน กล่องไหนไม่มีสบู่ก้อตรวจจับได้
ทำให้สามารถส่งสบู่ที่ไม่มีกล่องเปล่าอีก
แต่โรงงานเล็กๆ อีกโรงประสบปัญหาเดียวกัน
ช่างคุมงานใช้พัดลมตัวใหญ่ๆ เป่าลมบนสายพาน
กล่องเปล่าก็ปลิวออกไป
******************************
คนเราเวลาประสบปัญหา ส่วนมากมักคิดแต่จะแก้ปัญหา
ทุ่มกำลังสติปัญญาและทุ่มเทเวลาเพื่อแก้ปัญหานั้น
ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นมองที่ทางออก
ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายดูจะกลายเป็นเรื่องจ้อยไปเลย
******************************
เมื่อคุณเจอปัญหา ลองเปลี่ยนวิธีคิด
แล้วคุณจะประหลาดใจ
ป.ล. เรื่องจาก forward mail
#2
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 01:36 PM
เป้าหมายชีวิต คือ ที่สุดแห่งธรรม
#3
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 02:26 PM
#4
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 03:17 PM
#5
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 03:18 PM
#6
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 05:50 PM
#7
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 11:43 PM
#8
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 01:03 AM
#9
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 08:42 AM
บริษัทแห่งหนึ่งประสบปัญหา พนักงานบ่นว่า ลิฟท์เดินได้ช้า ไม่ทันใจ บริษัทสั่งให้วิศวกรหาวิธีแก้ปัญหา วิศวรตรวจสอบแล้ว เห็นว่าลิฟต์นี้เก่าใช้มานาน ดังนั้นต้องเปลี่ยนลิฟท์ใช้เงินลงทุนหลายแสนบาท
และแล้วก็มีพนักงานธรรมดาคนหนึ่งเสนอไอเดียแก้ปัญหา ลงทุนไม่กี่พันบาท นั่นคือ ติดตั้งกระจกที่ผนังทั้งด้านหน้าลิฟต์ และภายในลิฟต์ เท่านั้นแหละ พนักงานก็ไม่รู้สึกว่า ลิฟต์เดินช้าอีกต่อไป เพราะเขาและเธอเหล่านั้น จะใช้เวลาสำรวจตรวจตราตัวเองว่าดูดีหรือยังอยู่ที่กระจกหน้าลิฟต์ และภายในลิฟต์แทน
#10
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 09:27 AM
#11
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 11:53 AM
คือฉลาดหาทางออกอยู่โทนโท่..แต่กลับไม่มีความเฉลียวเดินไปหาทางออก(ให้กับตัวเอง)..
#12
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 05:32 PM
เรื่องแรกดูเหมือนจะเป็นการใช้ความพยายามในการใช้เงินจำนวนมากและเทคโนโลยีขั้นสุดยอดเพื่อแก้ปัญหาที่แก้ได้ง่ายๆ และตรงจุด
แต่เรื่องไม่จริงก็คือเรื่องไม่จริงอยู่ดี การประดิษฐ์ปากกาดังกล่าว ใช้เงินไม่ได้มากมายขนาดนั้น!!!!
ข้อเท็จจริงก็คือ ก่อนปี 1967 ทั้งนาซ่าและรัสเซียต่างก็ใช้ดินสอสำหรับใช้เขียนในยานอวกาศ แต่ดินสอมีข้อเสีย
คือในบางครั้งดินสอจะหักและเป็นอันตรายเมื่อเศษดินสอลอยไปมาในยาน ฝุ่นหรือใส้ดินสอจะปลิวเข้าตาและจมูก
ทำให้ที่กรองอากาศอุดตัน ผงฝุ่นดินสอนำไฟฟ้าได้เป็นเหตุให้เกิดไฟฟ้าช๊อตในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้เศษ
ใส้ดินสอและไม้ยังสามารถไหม้ไฟได้ง่าย (อากาศในยานเป็นออกซิเจนเกือบ 100%)
Paul Fisher ผู้ก่อตั้งบริษัท Fisher pen company ซึ่งเป็นวิศวกรผู้พัฒนาปากกาแบบบอลพอยต์
ตั้งแต่ปี 1940, Fisher เห็นว่านักบินอวกาศต้องการเครื่องเขียนที่สะดวกและปลอดภัยกว่า ดังนั้นในปี 1965
เขาจึงพัฒนา pressurized ball pen ปิดซีลสนิทมีถุงใส่น้ำหมึกที่มีแรงดัน สามารถเขียนได้ทุกทิศทางแม้ไม่มีแรงโน้มถ่วงก็ตาม ปากกาของเขาเป็นโลหะทุกส่วนยกเว้นน้ำหมึก ทนต่ออุณหภูมิสูงและต่ำ เขียนใต้น้ำได้และเขียนในพื้นผิวได้หลายๆ แบบ
ครั้งหนึ่งเคยเกิดเหตุไฟไหม้ในยานอพอลโล มีนักบินอวกาศตาย 3 คน นาซ่าจึงต้องการหาวัสดุอื่นสำหรับเขียน
ที่ต้องไม่ติดไฟ 100% และยังต้องทำงานในที่ไร้แรงโน้มถ่วง เป็นสุญญากาศ และในอุณหภูมิที่ร้อน +150 C และต่ำถึง -120 C, Fisher จึงส่งตัวปากกาตัวอย่างไปให้ Dr. Robert Gilruth ผู้อำนวยการศูนย์อวกาศฮุสตัน ซึ่งนาซ่าได้ทำการทดสอบ และยอมรับให้ใช้งานในอวกาศได้ ในเดือนธันวาคม 1967 Fisher ขายปากกาอวกาศของเขาให้นาซ่า 400 ด้ามในราคา ด้ามละ 2.95 ดอลล่าห์
ปัจจุบันทั้งอเมริกาและรัสเซียต่างก็ใช้ปากกาของ Fisher ในยานอวกาศทั้งคู่
มาถึงตอนนี้แล้วอยากดูปากกาตัวอย่างมั๊ยครับ ที่นี่เลย
ถ้าใครอยากซื้อไปที่นี้ http://thewritersedg...r.astronaut.cfm
http://www.pen-plane...sh.com/home.asp
http://www.spacepen.com
สนใจข้อมูลอ้างอิง ไปที่ http://www.nasa.gov
http://thewritersedg...r.astronaut.cfm
#13
โพสต์เมื่อ 09 August 2008 - 04:59 PM
#14
โพสต์เมื่อ 10 August 2008 - 08:05 AM
#15
โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 08:58 AM