[attachmentid=3479]
ส ม บั ติ เ คี ย ง คู่ ผู้ มี บุ ญ
ขุมทรัพย์คือบุญนั้น ให้สิ่งที่พึงปรารถนาทุกอย่าง แก่ทวยเทพและมนุษย์ ผลใดๆ ก็ตามที่เทวดาและมนุษย์ปรารถนา ผลนั้นๆ ย่อมสำเร็จได้ ด้วยขุมทรัพย์คือบุญนั้น
สิ่งที่เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข และความสำเร็จในชีวิตของเราทุกคน มีเพียงสิ่งเดียว คือ บุญ ซึ่งจะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ จะเป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ มีโอกาสประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดา คือ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอย่างเต็มที่จนกระทั่งมีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้นบุญจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตของเรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน นิธิกัณฑสูตร ว่า
ขุมทรัพย์คือบุญนั้น ให้สิ่งที่พึงปรารถนาทุกอย่าง แก่ทวยเทพและมนุษย์ ผลใดๆ ก็ตามที่เทวดาและมนุษย์ปรารถนา ผลนั้นๆ ย่อมสำเร็จได้ ด้วยขุมทรัพย์คือบุญนั้น
ความดีใดก็ตามที่เราได้ทำไว้ แม้ยังไม่ให้ผลในปัจจุบันทันที แต่จะไม่สูญหายไปไหน ความดีเหล่านั้นจะกลั่นรวมตัวเป็นบุญ ปรุงแต่งจิตใจเราให้ดีขึ้น และเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของเราต่อไปในอนาคต ที่เรียกว่า บุญวาสนา ผู้ที่มีบุญวาสนาในวันนี้ ล้วนเคยประกอบเหตุ ด้วยการสั่งสมบุญมาแล้วทั้งสิ้น การเป็นผู้มีบุญที่สั่งสมไว้ดีแล้วในกาลก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นมงคลอย่างยิ่ง
ผลไม้ที่พันธุ์ไม่ดี ถึงเราจะใส่ปุ๋ยรดน้ำพรวนดิน บำรุงรักษาดีเพียงใดก็ตาม อย่างมากก็แค่ทำให้มีผลดกขึ้น แต่ที่จะทำให้มีรสโอชาขึ้นกว่าเดิมคงยาก ตรงกันข้ามกับผลไม้พันธุ์ดี แม้รดน้ำพรวนดินแค่พอประมาณ แต่กลับได้ผลมากเกินคาด รสชาติก็โอชา
ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ไม่ได้สร้างบุญมาก่อน เมื่อประกอบกิจการงาน ถึงจะขยันขันแข็งสักปานใด กว่าผลแห่งความสำเร็จจะปรากฏเต็มที่ ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก และมักประสบอุปสรรค กว่างานจะสำเร็จจึงเสียเวลามาก ส่วนผู้ที่เคยสั่งสมบุญมาดีแล้ว เมื่อทำความดี ผลดีจะปรากฏเต็มที่ ทันตาเห็น ส่งผลให้การงานมีความเจริญก้าวหน้า เหนือกว่าบุคคลทั้งหลายอย่างน่าอัศจรรย์ บุญเป็นของเฉพาะตัว ที่น้ำ ไฟ หรือสิ่งใดๆ ไม่อาจทำลายได้ ใครจะแย่งชิงไปก็ไม่ได้ ใครมีบุญ สมบัติและสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย จะไปรวมอยู่ที่คนนั้น ดังเช่น
*ในอดีตกาล มีชายคนหนึ่ง เป็นชาวเมืองพาราณสี ประกอบอาชีพตัดฟืนขาย วันหนึ่งเขาตัดฟืนแล้วขนใส่เกวียนจะเข้าเมือง แต่กลับไม่ทัน ประตูเมืองปิดเสียก่อน จึงพักนอนที่ศาลเทพารักษ์แห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมือง ใกล้ๆ บริเวณนั้น มีไก่จำนวนมากถูกนำมาปล่อยไว้ พวกมันนอนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง พอใกล้รุ่งมีไก่ ๒ ตัวทะเลาะกัน เพราะไก่ที่นอนอยู่ข้างบนถ่ายอุจจาระลงมาใส่ตัวที่นอนอยู่บนกิ่งไม้ข้างล่าง
ไก่ตัวที่อยู่ข้างล่างถามว่า ใครถ่ายอุจจาระรดเรา
ไก่ตัวบนตอบว่า เราไม่ทันสังเกต เลยถ่ายลงไป พูดจบก็ถ่ายซ้ำลงไปอีก
ไก่ตัวล่างโกรธมาก พูดว่า เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ใครได้กินเนื้อของข้าจะได้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะในวันนั้นแต่เช้าตรู่ ไก่ตัวบนจึงอวดอานุภาพของตนบ้างว่า ข้าสิ มีอานุภาพมากกว่า ใครได้กินเนื้อลํ่าๆ ของข้า จักได้เป็นพระราชา ใครกินเนื้อข้างนอก หากเป็นหญิงจะได้เป็นอัครมเหสีของพระราชา ถ้าเป็นชายจะได้เป็นเสนาบดี ส่วนใครได้กินเนื้อติดกระดูก ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะได้เป็นขุนคลัง ถ้าเป็นบรรพชิตจะได้เป็นนักบวชประจำราชสกุล คือมีพระราชาคอยอุปัฏฐาก เห็นหรือยังว่าอานุภาพของข้ามีมากแค่ไหน
คนหาฟืนได้ยินไก่ ๒ ตัวทะเลาะกัน และอวดอ้างอานุภาพ อย่างนั้นก็ขึ้นไปจับไก่ตัวบนมาฆ่าเสีย เพราะอยากจะเป็นพระราชา เขานำไก่นั้นไปให้ภรรยาปรุงอาหาร พลางสั่งว่า เธอปรุงเนื้อไก่นี้ให้ดีนะ ไก่ตัวนี้มีอานุภาพมาก เมื่อภรรยานำไก่ที่ปรุงแล้วมาให้ เขาก็บอกว่า ไก่ตัวนี้มีอานุภาพมาก ฉันกินแล้วจะได้เป็นพระราชา เธอจะได้เป็นอัครมเหสี เราเอาสำรับนี้ไปที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคากันดีกว่า อาบน้ำแล้วค่อยกินกัน
สองสามีภรรยานำสำรับไปวางไว้ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วลงไปอาบน้ำ ขณะนั้นเอง มีลมพายุพัดเอาสำรับของเขาลอยไปในแม่น้ำอย่างรวดเร็ว เป็นเวลาเดียวกับที่มหาอำมาตย์ ซึ่งเป็นหัวหน้าควาญช้าง กำลังให้ช้างอาบน้ำอยู่ทางด้านใต้ อำมาตย์เห็นสำรับนั้นถูกกระแสน้ำพัดมา จึงบอกให้คนเก็บขึ้นมา และนำไปให้ภรรยาของตน
ดาบสตนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับนายควาญช้าง ท่านมีจักษุทิพย์มองเห็นเหตุการณ์ในอนาคต และล่วงรู้อานุภาพของเนื้อไก่ จึงรีบมานั่งที่บ้านของอุปัฏฐาก นายควาญช้างให้คนนำอาหารสำรับนั้นมาถวายพระดาบส พระดาบสแจ้งเรื่องทั้งปวงให้เขาทราบ แล้วจัดแจงแบ่งเนื้อลํ่าให้นายควาญช้าง แบ่งเนื้อข้างนอกให้ภรรยา ส่วนดาบสฉันเนื้อติดกระดูก และบอกว่า อีก ๓ วัน ท่านจะได้เป็นพระราชา
ในวันที่ ๓ พระราชาจากแคว้นใกล้เคียงองค์หนึ่ง ยกทัพมาล้อมกรุงพาราณสี พระเจ้าพาราณสีทรงให้นายควาญช้าง แต่งกายเป็นพระองค์ออกรบ ส่วนพระองค์ปลอมตัวเป็นทหารเสด็จตรวจกองทัพ
ขณะนั้นเอง พระราชาถูกลูกศรยิงและสวรรคตในทันที เมื่ออำมาตย์ควาญช้างรู้ว่า พระราชาสวรรคตแล้ว จึงบัญชาการให้นำทรัพย์ออกจากพระคลังหลวง และให้คนเที่ยวตีกลองร้องประกาศว่า ใครต้องการทรัพย์ให้ออกมาช่วยกันรบ ประชาชนต่างพากันมาช่วยออกรบอย่างเข้มแข็ง จนสามารถเอาชนะข้าศึกได้
หลังจากพวกอำมาตย์และประชาชนถวายพระเพลิง พระราชาแล้ว ต่างปรึกษากันว่า สมัยเมื่อพระราชายังทรงพระชนม์อยู่ ทรงไว้พระทัยอำมาตย์ควาญช้างมาก ถึงขนาดให้แต่งกายเป็นพระราชาออกรบ และการที่ชนะศึกในครั้งนี้ เพราะสติปัญญาของเขา จึงพร้อมใจกันแต่งตั้งให้เขาเป็นพระราชาพระองค์ต่อไป เมื่อนายควาญช้างเป็นพระราชาแล้ว ก็ได้แต่งตั้งภรรยาเป็นอัครมเหสี และแต่งตั้งดาบสเป็นนักบวชประจำราชสกุล
จะเห็นได้ว่า ใครมีบุญ สมบัติจะไปอยู่กับคนนั้น นายควาญช้างเป็นผู้สั่งสมบุญไว้ดีแล้วในกาลก่อน บุญนั้นจึงส่งผลให้เขาได้เป็นพระราชา
เหมือนดังที่พระบรมศาสดาได้ตรัสพระคาถาในสิริชาดก ติกนิบาตว่า คนไม่มีบุญ จะมีศิลปะก็ตาม ไม่มีศิลปะก็ตาม แม้มีความขวนขวาย รวบรวมทรัพย์ใดไว้เป็นอันมากก็จริง แต่คนมีบุญเท่านั้น จึงจะได้บริโภคทรัพย์เหล่านั้น โภคะเป็นอันมาก ล่วงพ้นคนไม่มีบุญ ไปกองอยู่ที่คนมีบุญเท่านั้น อนึ่ง เมื่อคนมีบุญอยู่ในที่ใด โภคะทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นในที่แม้มิใช่บ่อเกิด
เพราะฉะนั้น เราควรสั่งสมบุญ โดยเร่งทำความดีตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุญจากการเจริญสมาธิภาวนา ซึ่งจะส่งผลให้เรามีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาด เจริญก้าวหน้าในชีวิต เราควรทำตามแบบอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสร้างสมบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จนในที่สุดได้ตรัสรู้ธรรม เป็นประทีปนำทางชีวิตแก่สัตวโลกทั้งหลาย
*มก. เล่ม ๕๘ หน้า ๒๗๓