ถ้าคุณรู้ว่าแฟนนอกใจคุณจะทำอย่างไร
#1
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 06:53 PM
#2
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:11 PM
ส่วนเราก็ตัดใจจากเขาและก็ มานั้งสมาธิให้จิตใจสงบอ่ะค่ะ เอิ้กๆ
#3
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:13 PM
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#4
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:28 PM
ครูผมสอนผมให้คิดเลขในใจ โตขึ้นมา ผมเลยคิดนอกใจใครไม่เป็น 5555
ไม่เอานะ อย่าสีเรียส ล้อเล่นขำๆ
เป็นผม ผมก็ต้องปล่อยละครับ ในเมื่อไม่รักแล้ว จะให้ทำไงได้ละเนาะ ถ้าขืนฝืนอยู่ด้วยอีก มันก็ทุกข์ทั้งสองฝ่าย
หากิจกรรมอย่างอื่นทำ เดี่ยวก็ลืมๆ กันไปเองครับ
-----------------------------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#5
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:34 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#6
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:42 PM
#7
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:42 PM
แก้วิกฤติเป็นโอกาส
ไปประพฤติพรหมจรรย์ซะเลย (ดีเลย)
#8
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:45 PM
อาภรณ์ ชุดสุดท้าย กาสายะ<br /> ชีพสุดท้ายคือพระ ผ่องแผ้ว<br /> วิชชาสุดคือธรรมะ พุทธเจ้า<br />จารจดไว้ลูกแก้ว จักแคล้วบ่วงมาร<!--sizec--></span><!--/sizec--><!--colorc--></span><!--/colorc-->
#9
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:55 PM
ตอบว่าทำใจนะจะ 072
#10
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:56 PM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#11
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 08:02 PM
#12
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 08:16 PM
#13
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 08:32 PM
#14
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 08:39 PM
ต้นกำเนิดของความรัก
เป็นที่สงสัยกันมาช้านานว่า ความรักนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร
ชาวกรีกและโรมัน ในสมัยโบราณ ยกย่องให้ Aphrodite หรือวีนัส ในฐานะของเทพีแห่งความงาม
และเป็นผู้ให้กำเนิดความรัก โดยมี อีรอส หรือคิวปิด บุตรชายเป็นผู้แผลงศรรักแก่มนุษย์ สัตว์ เทพ
แล้วทำให้บุคคลเหล่านั้นรักกัน
ชาวอารยัน ในลุ่มแม่น้ำสินธุ ก็มีความเชื่อคล้าย ๆ กันที่ว่า พระลักษมี เป็นเทพีแห่งความงามและความรัก
โดยมี กามเทพ พระโอรสเป็นผู้มอบความรักเหล่านั้นแด่มวลมนุษย์
ความเชื่อที่คล้ายกันอย่างหนึ่งก็คือ ความรักมักมาคู่กับความงาม ดังนั้น ความรักก็น่าจะเป็นสิ่งที่สวยงาม
ไม่มีใครทราบอยู่ดีว่าความรักนั้น แท้จริงแล้วมีที่มาอย่างไร
แต่ที่แน่ ๆ มันได้สร้างปัญหาให้กับโลกใบนี้มานานกว่าหมื่นปี
.ฯลฯ
ความรักในทางพระพุทธศาสนา
ท่านได้จำแนกเรื่องความรักไว้เป็นสองประเภท คือ
1. ความรักที่เกิดจาก กามฉันทะ คือ ความเร่าร้อน ความกระหาย ที่อยากจะได้ในสิ่งที่ตนพึงปรารถนา หากได้ตามใจปรารถนาแล้ว ผู้นั้นก็จะมีความชื่นชมยินดี มีความสุขทั้งกาย และใจ ถ้าต้องประสบกับความผิดหวัง จิตของผู้นั้นจะมีแต่ความโทมนัส เศร้าโศกเสียใจ บังเกิดเป็นความทุกข์กายติดตามมา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
ร่างกายซูบซีดเศร้าหมอง เบื่อโลก เบื่อชีวิต เบื่องานเบื่อการ มีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ขาดสติสัมปชัญญะ หาทางเบียดเบียนคู่ต่อสู้ด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นการผิดศีล หากยังไม่สมปรารถนาอีก
บางคนก็อาจจะคิดสั้นก่ออกุศลกรรม สร้างทุกข์โทษให้แก่ตัวเอง คือ การอัตวินิบาตกรรม
และหรือ แก่ผู้อื่นด้วยวิธีการอื่นๆ เท่าที่อกุศลเจตนาจะพาไป
2. ความรักที่เกิดจาก เมตตา
ซึ่งมีอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์โดยทั่วถ้วนหน้า โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น วัย เวลา สถานที่ และสามารถแผ่กระจายไปได้ทุกหนทุกแห่งอย่างไม่มีขอบเขต
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตวิญญาณของมนุษย์ตั้งแต่ต้น ยกเว้นผู้ที่มีความพิการทางสมองซึ่งไม่สามารถกระตุ้นจิตวิญญาณให้เกิดอารมณ์ในลักษณะ นี้ขึ้นได้
นิยามของความรัก ที่เทียบธรรมในทางพุทธที่ใกล้เคียงที่สุดคือ
พรหมวิหาร 4 (พรหม = ที่พึ่ง, วิหาร = เครื่องอยู่) = ธรรมของความเป็นที่พึ่งพาได้คือ
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
- เมตตา คือ ความรัก,ความปรารถนาให้เขามีความสุข, แผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า
(ข้อ 1 ในพรหมวิหาร 4, ข้อ 2 ในอารักขกรรมฐาน 4)
- กรุณา คือ ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์,ความหวั่นใจ เมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์ คิดหาทางช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ของเขา
- มุทิตา คือ ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี,เห็นผู้อื่นอยู่ดีมีสุข ก็แช่มชื่นเบิกบานใจด้วย
เห็นเขาประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ก็พลอยยินดีบันเทิงใจ พร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนไม่กีดกันริษยา
- อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลางไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง, ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุ และรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้น
(ข้อ 4 ในพรหมวิหาร4, ข้อ 7 ในโพชฌงค์ 7, ข้อ 10 ในบารมี 10, ข้อ 9 ในวิปัสสนูปกิเลส 10)
เมื่อนิยามความรักแล้ว คำบรรยายความรักในทางโลกสำหรับผู้ยังมีกิเลส
(กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง, ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์) ยังไม่ใช่ความรักที่บริสุทธิ์ตามพรหมวิหารธรรมล้วน ๆ ยังเจือปนไปด้วยอุปกิเลส
(คือโทษเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ทำจิตใจให้เศร้าหมองขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก
ความสุขจากการกระทำกรรมดีร่วมกันมาจะส่งผลก่อน ดึงคนสองคนเข้ามาหากัน และหลังจากนั้นกรรมไม่ดีจะเริ่มแสดงตัวที่ทำให้เกิดความทุกข์ระหว่างกัน ทะเลาะกัน
ความรักทุกชนิดของปุถุชน จะเจือปนด้วยกิเลสได้เสมอแม้แต่การรักลูก ตราบที่ยังมีลูกของเรา
(ต้องดี ต้องเก่ง ต้องเยี่ยม ต้องสวย ต้องหล่อกว่าคนอื่น)
จนความรักกลายเป็นการผลักดันลูกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยอ้างความรัก
ความ รักของปุถุชนหนุ่มสาวที่ยังมีกิเลส มีกามราคะ
(ความพึงใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) เริ่มจากตาเห็นรูป แล้วจิตที่ยังมีอวิชชา มีความหลงครอบงำ
เริ่มปรุงแต่งว่า เมื่อรูปข้างนอกสวย จิตใจข้างในต้องดีด้วยเป็นแน่ (คิดเอา คาดเอาเอง)
จึงพยายามสร้างปัจจัยทุกทางเพื่อให้ได้ครอบครองเพื่อเสพสิ่งที่ตน (คิดเอาเอง) ว่าดีนั้น เริ่มจากการเสพรูป (ผ่านทางตา)
เสพรส (ผ่านทางปากหรือลิ้น) เสพกลิ่น (ผ่านทางจมูกโดยการดมกลิ่น) เสพเสียง (ผ่านทางหู) สัมผัส (ผ่านทางกาย .... ) นี่เป็นการบรรยายในมุมของการเสพ คือมองจากภายนอก
ถ้าจะบรรยายจากมุมมองของสติและสัมปชัญญะที่เห็นภาพรวมจากภายในจิตออกไปภายนอกนั้น
ต้องเริ่มจาก
จิตที่มีอวิชชา - ความไม่รู้บังไม่ให้เห็นว่าจิตกำลังหลง เริ่มจากมีสิ่งกระทบ (ผัสสะ) มากระทบกับอายตนะ
(เครื่องดึงดูดให้จิตส่งออกนอก มีตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ)
ไม่ว่าจะเป็นรูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นน้ำหอมหรือกลิ่นกายกระทบจมูก ได้ชิมรสต่าง ๆ (ในกรณีของอาหาร)
ทางลิ้น ได้สัมผัสทางกาย (กายของเพศตรงข้าม หมอน เบาะหรือที่นอนนุ่มๆ ตลอดจนการปรุงแต่งของสังขารขันธ์หรือใจ
ที่ทำการ amplify จนความยึดมั่นในคนหรือวัตถุที่จิตไปเกาะยึดอยู่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ)
ส่งให้จิตปรุงแต่งหาวิธีครอบครองคนหรือจิตหรือวัตถุนั้น ๆ จนเกิดเป็นมโนกรรม วจีกรรม
ตลอดจนกายกรรมต่อไป และถ้าบุคคลไม่มีศีลแล้ว
ก็สามารถกระทำการที่ละเมิดบุคคลอื่นจนเกิดเป็นกรรมไม่ดีขึ้นมาได้ต่อไป
ความรักจะเป็นพิษ เมื่อบุคคลยึดกับวัตถุสิ่งของหรือบุคคลอื่นมากจนขาดสติและสัมปชัญญะ ไม่ได้สำรวจตรวจสอบตนเองจนไปละเมิดบุคคลอื่น
เริ่มจาก
ปาณาติบาต (การตัดชีวิตสัตว์อื่นให้สิ้นไป)
อทินนาทาน (ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้มอบให้มาเป็นของตน)
กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ผิดประเวณี คือไปแย่งของรัก ละเมิดคู่รักผู้อื่น)
มุสาวาทา (พูดไม่จริงที่ทำให้เกิดความเคยชินกับการผิดศีล ทำให้ลดความรู้สึกผิดเวลาผิดศีลลงไปเรื่อย ๆ) หรือ
สุราเมรัย (ดื่มสุราเกินพอดีจนทำให้ขาดสติ)
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#15
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 08:41 PM
อ่ะแล้วใช้โอ่งมังกรหรือโอ่งอะไรล่ะมีหลายรูปแบบสมัยนี้เยอะอ่ะจะได้ลงโอ่งปิดพนึกแล้วเอาไปถ่วงน้ำ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#16
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 09:07 PM
เลิกได้ก็เลิกเถอะ
#17
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 09:13 PM
ไม่ต้องไปกลัวใครอีกแล้ว คิดแล้วมีความสุข แต่อนิจจาได้แค่คิดเดียวภรรยาผมก็กลับมาแล้วไปละนะ
#18
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 09:36 PM
แก้วิกฤติเป็นโอกาส
ไปประพฤติพรหมจรรย์ซะเลย (ดีเลย)
อาจจะฟังดูห้วนจัง แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ ที่จะขอฝากให้พิจารณานะคะ
สาธุ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#19
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 10:00 PM
แต่ถ้าเพื่อนน้องไม่ใช่นักเรียนอนุบาลฝันในฝัน พี่ขอแนะนำให้น้องแนะนำเขาอีกแบบหนึ่ง คือชี้ให้เขาเห็นโทษของการมีคู่หรือมีแฟน ให้เขารู้ตัวว่าเพราะรักจึงต้องได้ทุกข์ ทำให้เขาเห็นโทษของทุกข์ที่เกิดเพราะความรักให้ได้ แล้วคอยปลอบใจเพื่อนน้อง ชี้ให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวไม่รู้จักพอของผู้ชายคนนั้น ถ้าพี่เดาไม่ผิดตอนนี้เพื่อนของน้องคงกำลังเศร้าโศกเสียใจอย่างมากเป็นแน่ใช่ไหมจ๊ะ (มั่นใจว่าต้องใช่เพราะมีประสบการณ์มาก่อน หุหุ ^ ^) ที่เป็นเช่นนี้เพราะความรักทำให้เขาหน้ามืดตามัวอยู่ เพราะฉนั้น การที่น้องจะชี้ทางสว่างให้เขาได้ น้องต้องให้เขาได้เห็นโทษของความรักก่อนนะจ๊ะ แต่ถ้าเขาหน้ามืดตามัวจนไม่คิดจะฟังน้อง พี่ขอแนะนำให้น้องปล่อยเขาไปเลยจ๊ะ อย่าไปสนใจ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปพูดกับเขา ต้องปล่อยให้เขาเจอกับความจริงบ่อยๆ แล้วเขาจะตาสว่างขึ้นเองจ๊ะ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#20
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 10:20 PM
ใครบอกก็ไม่ดีเท่ากับรู้ด้วยใจของตัวเองที่หยุดนิ่ง
ฝากคุณหมีน้อยบอกให้เพื่อนมาอ่านกระทู้นี้ด้วยนะคะ
หลายท่านให้ความเห็นไว้อย่างแยบคายทีเดียว
หากเพื่อนไม่เข้าใจ ก็ขอให้โพสถามในกระทู้นี้ได้ค่ะ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะคะ
#21
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 10:41 PM
ทุกอย่างมีเหตุ ประกอบเหตุอย่างไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น
ปลูกถั่ว..ก็ต้องเป็นถั่ว
ปลูกงา..ก็ต้องเป็นงา
ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวเอง ก็จะเลือกวิธีตัดใจเลยค่ะ แล้วประพฤติพรหมจรรย์ อย่างที่คุณ VCO แนะนำ
เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)
#22
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 10:43 PM
ปล. สิ่งที่ดีคือสิ่งที่คิด
ทำดีต้องทำจริง ต้องตัวจริงเท่านั้นที่ทำได้
และนั่นคือพวกเรา ได้รวมพลังยิ่งใหญ่
เป็นดาวแห่งความดี ต้องดีจริงต้องตัวจริง
#23
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 11:07 PM
แต่ถ้ายังไม่ได้แต่งงาน เป็นแค่แฟนจริงๆ ก็พิจารณาว่าคนอย่างนี้ควรเป็นคู่ครองที่ดีหรือไม่
ถ้าไม่ เจ้าของเรื่องก็ควรอยู่เป็นโสด ประพฤติพรหมจรรย์ดีกว่า
..........................................................................................
แต่จะตัดสินใจยังไง ก็คิดเอาเองนะคะ เรื่องสองคน คนอื่นยุ่งมากไป ก็ไม่ค่อยดี
เพราะต่อไป เค้าจะมาดีกัน หรือเลิกกัน แล้วพวกเค้ารู้สึกว่าแบบนี้ไม่ดีเลย ...คนใดคนนึงในสองเนี่ยจะมาด่าว่าคนที่แนะ คนแนะนำก็จะเสียได้...
#24
โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 11:30 PM
คนเรามีปัญหา เพราะบุญน้อย
เพราะฉะนั้น ต้องทำบุญ บุญเยอะ ปัญหาน้อยเองจ๊ะ
#25
โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 12:57 AM
#26
โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 08:50 AM
ไฟล์แนบ
#27
โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 09:43 AM
องค์พระ... "คนในใจ"
ท่านเป็นคนที่อยู่ในใจเราเสมอมา ตลอดมา และตลอดไป อย่าปล่อยให้ท่านรักเราเก้อแต่เพียงฝ่ายเดียว หันไปมองท่าน แล้วเราก็จะค้นพบว่า คนที่รักเราสุดหัวใจนั้นมีอยู่จริง
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#28
โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 09:56 AM
ถ้าหากข้อคิดเห็นของกระผม
ทำให้ผู้หนึ่งผู้ใด
เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ
ขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
#29
โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 11:27 AM
#30
โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 12:31 PM
ส่วนเราตั้งหน้าตั้งตาสร้างบุญบารมีดีกว่า
ไม่ต้องซีเรียสเรื่องความรัก เถอะค่ะ