การทำสมาธิส่งผลถึงสมอง การแสดงออกและอารมณ์ให้พัฒนาในด้านดี
อวัยวะในสมอง มีลักษณะของไฟฟ้าเคมี คือ ใช้พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการทำงานและส่งกระแสพลังงานออกมาเป็นคลื่นสมองใน 4 คลื่นความถี่จากมากไปน้อยคือ Beta Alpha Theta Delta
เมื่อเราเริ่มทำสมาธิจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองให้มีความถี่คลื่นลดลงจากภาวะปกติ เบต้า ลดลงสู่อัลฟรา และเข้าสู่เธต้า ในภาวะคลื่นสมองเข้าสู่ระดับเธต้านั้นเป็นภาวะที่เกิดความอัศจรรย์ทางจิต เช่น การเห็นภาพต่างๆ การเกิดจิตออกจากร่างกาย การเกิดพลังจิตพิเศษต่างๆที่เมืองนอกเรียกว่า ESP ซึ่งการควบคุมคลื่นสมองเข้ามาในระดับนี้โดยปกติต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ neuroscientist ได้ใช้เทคนิคใหม่ๆในการค้นคว้าความเกี่ยวเนื่องของสมองและการทำสมาธิที่ส่งผลให้จิตใจมีความสุขและมีอารมณ์ในด้านดี
University of Wisconsin at Madison ได้ค้นคว้า ตรวจสอบจากผู้ฝึกสมาธิตามแนวพุทธศาสนาพบว่า สมองมีการพัฒนาในบางส่วนเป็นพิเศษซึ่งสมองส่วนที่พัฒนานี้เป็นส่วนที่มีผลกับ อารมณ์ด้านดี การควบคุมตัวเองและอารมณ์
University of California San Francisco Medical Center แนะนำว่า การทำสมาธิสามารถควบคุมสมองส่วนที่ทำให้เกิดความกลัวได้ และพบว่า คนที่นับถือและปฏิบัติตามแนวศาสนาพุทธจะมีความกลัว ความตกใจ ความโกรธ น้อยกว่าคนทั่วไป
แอนดรู นิวเบอร์ก radiologist at the University of Pennsylvania ทำการวิจัยกับนักบวชธิเบต โดย
1.ให้นักบวชเข้าสมาธิประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้เข้าสู่สมาธิขั้นลึกแล้วจึงฉีดสารกัมมันตภาพรังสีจำนวนเล็กน้อยเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้สามารถตรวจวัดได้ว่าขณะทำสมาธินั้นส่วนไหนของสมองที่ทำงาน
2.ตรวจแบบเดียวกันแต่เป็นในขณะที่ทำงานปกติ ไม่ได้ทำสมาธิ
เมื่อนำมาเปรียบเทียบพบว่า ขระทำสมาธิ สมองส่วนหน้าจะมีการทำงานมากเป็นพิเศษ และสมองส่วนหลังทำงานน้อยลง ( parietal lobe) ทำให้รู้สึกถึงความว่าง ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเวลาทำสมาธิ จึงเกิดการรู้สึกสัมผัสน้อยลง และเกิดการรับรู้น้อยลงในเรื่องสถานที่และเวลา
ที่มา : http://www.watthamfa...e=article&sid=3