ระดับต้นคือเข้าถึงได้ทันที
กับแบบโคตรภู ต้องเดินกายก่อน
ว่าจะไม่พูดถึงรายละเอียดวิชชาแล้ว แต่คราวนี้คงต้องขอพูดเสียหน่อย
คุณเกียรติก้องธรณินทร์ กล่าวได้ถูกต้องแล้วครับ เห็นลัดข้ามขั้นตอนไม่ได้ครับ ถ้าเห็นอย่างนั้น ไม่ใช่จริงๆนั่นแหละครับ ตรงนี้แหละสำคัญทีเดียว ที่เห็นแบบลัดขั้นตอนน่ะ เห็นจริงครับ แต่ของที่เห็นไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงนิมิต ที่ใจสร้างขึ้น
ธรรมกายที่แท้จริงนั้น ไม่มีทางเห็นลัดข้ามขั้นตอนเด็ดขาด เพราะธรรมกาย รวมถึงกายต่างๆ ไม่ใช่นิมิตครับ แต่เป็นของจริงที่มีอยู่แล้ว ภายในกายของทุกๆคน แต่ที่เราไม่เห็นกัน เพราะ เห็น จำ คิด รู้ ของเรา ถูกทำให้เคลื่อนออกไป จากฐานที่ตั้งเดิม แต่เมื่อเราเอา เห็น จำ คิด รู้ กลับมาตั้งไว้ที่ฐานเดิม คือ ศูนย์กลางกายฐานที่๗ เมื่อถูกส่วนเข้า ก็จะเห็นของจริงที่มีอยู่แล้วนี้ได้ การเห็นของจริงที่มีอยู่แล้วนี้ จึงต้องเห็นไปตามขั้นตอนครับ คือ ๖ ดวง ๑ กาย จนครบทั้ง ๑๘ กาย เพราะของจริงที่มีอยู่แล้วนี้ เรียงกันอยู่ตามนั้น
หากผู้ฝึกวิชชาธรรมกาย ผู้ใดก็ตาม ไม่ได้เห็นตามนี้ ให้รู้ไว้เลยครับ ว่าสิ่งที่เห็นนั้น ยังไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงนิมิต ที่ใจสร้างขึ้น แต่นิมิตที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ เพราะอย่างน้อยก็เป็น เครื่องวัด ว่าใจของเราเริ่มรวมหยุดแล้ว โดยมีนิมิต เป็นตัวรวมเกาะของใจ นอกจากนั้นยังช่วยสร้างกำลังใจในการปฏิบัติของเราด้วย ทำให้เรารู้ว่า การปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า แต่ก็ให้เรารู้ว่า นี่ยังไม่ใช่ของจริง ดังนั้น ไม่ควรไปยึดติดกับมัน แต่ให้ดูไปด้วย ใจนิ่งๆ สบายๆ มีอะไรให้ดูก็ดูไป นี่เป็นเหตุผล ว่าทำไม พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ รวมถึง พระเดชพระคุณ คุณครูไม่ใหญ่ ไม่เคยออกมาบอกว่า ผู้ที่ไม่เห็นตามขั้นตอน นั้นทำผิด เพราะจริงๆแล้ว มันไม่ผิด เพียงแต่ยังหยุดไม่ถูกส่วน จึงยังไม่เห็นของจริง ก็แค่นั้น แต่ถ้าเป็นของจริงแล้ว ต้องเห็นไปตามขั้นตอนเสมอ ซึ่งตรงนี้ พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ รวมถึงพระเดชพระคุณ คุณครูไม่ใหญ่ ท่านยืนยันตรงกันครับ ว่าต้องเป็นเช่นนี้ และหากทุกท่านได้อ่านบันทึกพระธรรมเทศนา ของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ รวมถึงตำราในการเดินวิชชาต่างๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านพูดไว้อย่างชัดเจนหลายรอบทีเดียวว่า ถ้าไม่เห็นตามนี้ล่ะก็ เป็นเลอะเลือนเหลวไหล และจริงๆแล้ว พระเดชพระคุณ คุณครูไม่ใหญ่ เคยพูดออกสภา ตอนอาทิตย์ต้นเดือนด้วยซ้ำไป ไม่รู้ว่ามีใครเคยได้ยินหรือจำกันได้หรือเปล่า คุณครูไม่ใหญ่ ท่านพูดออกสภา อย่างชัดเจนว่า ใครที่ไม่เห็นตามนี้(๖ ดวง ๑ กาย จนครบ ๑๘กาย) ให้เอาใหม่เลยนะจ๊ะ ให้เริ่ม สัมมา อรหัง ใหม่เลย ไม่งั้นทำวิชชาไม่ได้
มีหลายๆคน เลยครับ ที่เข้าใจผิด คิดว่าตัวเองได้ธรรมกายแล้ว แล้วก็เที่ยวพูดออกไป ซึ่งตรงนี้แหละ ทำให้เกิดประเด็นการโจมตี วิชชาธรรมกายขึ้นมา ว่าเป็นพวกติดนิมิตบ้างล่ะ โดนนิมิตหลอกบ้างล่ะ เพราะผู้ที่เอาไปเที่ยวพูดน่ะ เห็นแค่นิมิตจริงๆ จึงทำให้คนที่เขารับฟัง เข้าใจผิด ว่าธรรมกาย เป็นเพียงแค่นิมิต ถึงตรงนี้ ผมขอบอกอีกครั้งว่า ธรรมกาย ไม่ใช่นิมิต แต่เป็นของจริง ที่เราจะเห็นได้ เมื่อเราเอาใจของเรา มาหยุดไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างถูกส่วน พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านบอกว่า "ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ จะต้องรวมหยุด เป็นจุดเดียวกัน เมื่อหยุดแล้วจึงดับ เมื่อดับแล้วจึงเกิด ถ้าไม่ดับไม่เกิด นี่ ของจริงอยู่ตรงนี้ ตรองดูเถิด ท่านทั้งหลาย"
มาถึงตรงนี้ หลายๆคน อาจจะแย้งว่า แล้วทำไมคนที่ผมบอกว่า ยังไม่เห็นของจริง หลายๆคน เขาถึงได้มีความรู้ความเห็นต่างๆเกิดขึ้นล่ะ และบางคนสามารถใช้วิชชาต่างๆได้ด้วย เช่น อภิญญาต่างๆ ตรงนี้ตอบได้ง่ายมากครับ เรื่องความรู้ความเห็น อภิญญาต่างๆ พวกฤษีชีไพรต่างๆ ที่เขาเล่นนิมิต ก็ทำได้ครับ ไม่ต้องเป็นความรู้ความเห็น ในพระพุทธศาสนาหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่พระพุทธศาสนามี แต่พวกฤษีชีไพรต่างๆ ไม่มี นั่นคือ อาสวักขยญาณ ครับ อันนี้แหละ ที่เป็นวิชชาที่แท้จริง ในพระพุทธศาสนา และอีกอย่าง เป้าหมายของกายฝึกวิชชาธรรมกาย ไม่ใช่เรื่องพวกนั้นนะครับ เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องทำเล่น แต่เป้าหมายที่แท้จริง คือ การกำจัดกิเลส และมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม
ดังนั้น ใครก็ตามที่เข้าใจผิด ให้เข้าใจใหม่ตามนี้ด้วยนะครับ เพราะฉะนั้น ที่คุณMuralath บอกมาว่า ธรรมกายมี ๒ ระดับ จึงไม่ใช่เช่นกันครับ ธรรมกายที่แท้จริง ไม่มีระดับครับ ทุกๆคนจะเห็นเหมือนกันหมด เพราะว่าเป็นของจริงที่มีอยู่แล้ว เหมือนทีทุกคนในโลกนี้เห็นดวงอาทิตย์ เหมือนกันหมดทั้งโลก ว่าดวงอาทิตย์กลมและมีแสงสว่างจ้า ไม่ใช่ว่าอยู่ประเทศไทยจะเห็นดวงอาทิตย์กลมสว่าง แต่อยู่อเมริกาเห็นดวงอาทิตย์เป็นสี่เหลี่ยมมืดๆ
หวังว่า ทุกท่านที่ได้อ่านสิ่งที่ผมได้โพสต์ไป จะเข้าใจอะไรมากขึ้น และหวังว่า ท่านใดที่เข้ามาอ่านแล้ว รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นยังไม่ใช่ของจริง คงจะไม่หมดกำลังใจในการปฏิบัติธรรมนะครับ(นี่แหละ เป็นเหตุผล ว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยอยากพูด ถึงรายละเอียดวิชชา) ให้ประกอบความเพียรต่อไปเถอะครับ สิ่งที่เราเห็นถึงแม้จะยังไม่ใช่ของจริง แต่มันก็บ่งบอกว่า การปฏิบัติของเราก้าวหน้า ให้กระทำเช่นนี้ต่อไป และเมื่อใดก็ตาม ที่ใจเราหยุดถูกส่วน เมื่อนั้นแหละ ของจริงจะบังเกิดขึ้นกับเรา
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ...สาธุ
ปล.หากท่านผู้ดูแลเวบบอร์ดทุกท่าน เห็นว่ากระทู้นี้ไม่เหมาะสม เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินไป ผมอนุญาตให้ลบกระทู้ได้เลยนะครับ