ทำยังไงดี ชอบโมโหแม่ตัวเอง
#1
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 02:27 PM
#2
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 02:34 PM
#3
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 02:48 PM
นั่งสมาธิให้มากขึ้น ประจำ สม่ำเสมอ แล้วจะดีขึ้นค่ะ
#4
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 03:49 PM
1. เขียนวิบากกรรมของการเถียงพ่อแม่ไปบนเพดานห้องนอน
เวลานอนหลังจากสวดมนต์ นั่งสมาธิแผ่เมตตา ก็อ่าน
ข้อความบนนั้น
2. ตื่นนอนหลังจากนึกถึงองค์พระใสๆแล้ว ก็ให้นึกถึงพระคุณของแม่
ตั้งแต่ตั้งท้อง เวลาที่เขาเลี้ยงเรามาตั้งแต่เราช่วยตัวเองไม่ได้ และกล่าวคำ
ปฏิญานว่าวันนี้จะม่เถียงแม่แม้อะไรจะเกิดขึ้น (ปฏิญานไปทุกวัน)
3. หมั่นฝึกใจและปฏิบัติธรรม ใจของเราจะได้สงบ ใจเย็นขึ้น
#5
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 04:37 PM
#6
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 05:10 PM
ลองใช้เทคนิคดูนะครับ ผมลองทำแล้วได้ผล
1. เวลาเริ่มรู้สึกอารมร์เริ่ม Build ให้อมน้ำไว้ครับ
2. หากยังไม่ดีขึ้นให้หายใจออกแรงๆ สัก 2 - 3 ครั้ง
3. หากยังไม่ดีขึ้นอีกให้เดินหนีครับ หลบไปไหนก็ได้
ลองดูนะครับ จากประสบการณ์ผมใช้แค่ 3 ข้อนี้ก็เอาอยู่ เอาใจช่วยนะครับ
#7
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 05:50 PM
ต้องใช้กำลังใจอย่างมากเลยที่จะทน
อยากทราบวิธีเหมือนกันค่ะ
ลองมาเยอะแล้ว ไม่ได้ดีขึ้นเลย
เพราะเมื่อลองทำดูแล้ว แม่จะคิดว่าตัวเองถูก แล้วก็ถากถางว่าเราผิดไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ทำไงดีคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#8
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 05:57 PM
#9
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 05:57 PM
#10
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 07:21 PM
#11
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 07:34 PM
ในเมื่อเรารักและ อยากให้แม่มีความสุข เราก็ต้องพยายามทำในสิ่งนั้น เวลาที่เราหงุดหงิด ขอให้เราคิดว่า
1 จะเถียงแม่ไปทำไม เราแค่จะเอาชนะใช่ไหม ทำไมเราไม่เอาชนะใจท่าน
2 ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย คือ แม่จะอยู่กับเราได้อีกนานเท่าไร ชีวิตคนเราอยู่ได้แค่ลมหายใจเข้าออก อีกไม่นานแม่ก็จะจากเราไป ใช่ช่วงเวลานี้ให้คุ้มค่า
3 แม่แก่แล้ว ผิดนิดผิดหน่อย ก็อย่าถือสา ทีเราผิดมากี่ครั้ง ใครที่ให้อภัยตลอดมา
4 มีเราทุกวันนี้ได้อย่างไร ใครกันที่กลั่นเลือดเป็นหยาดเหงื่อเลี้ยงดูเรา ให้เรามาเถียงท่านทุกวันนี้
5 พอเรามีความสำเร็จในชีวิต ขอให้คิดถึงท่านเป็นคนแรก ว่าเพราะใคร เราถึงมีวันนี้
6 หมั่น จับดี คือมองแต่ความดี ในสิ่งที่ท่านทำ บ่อยๆ เป็นนิจ
7 เวลาถูกแม่ว่า พิจราณาตัวเองทันที เพราะบุคคลนี้ กำลังชี้สมบัติให้ ไม่มีแม่คนไหนที่อยากว่าลูกให้เจ็บช้ำน้ำใจเล่น ท่านว่า ท่านดุเพราะท่านหวังดีกับเรา ถ้าแม่ไม่ว่า ไม่เตือนแล้วใครจะกล้ามาเตือนเรา ถึงท่านจะใช้คำที่เราฟังแล้ว เหมือนเจ็บแปลบ แต่ขอให้มองข้ามตรงนี้ ทะลุเข้าไปในใจท่าน แล้วจะรู้ว่า มีแต่ความหวังดีล้วนๆ
8 สิ่งเหล่านี้ เราจะทำไม่ได้เชียวเหรอ กับการที่จะตอบแทนบุญคุณท่านเล็กๆน้อยๆ
ขอแนะนำให้แสดงความรักกับแม่บ่อยๆค่ะ ไม่ต้องเขิน ไม่ต้องอาย สำคัญที่สุด กราบเท้าท่าน วินาที ที่คุณก้มกราบ ความดีของผู้หญิงตรงหน้าคุญจะพรั้งพรูออกมาจนคุณหาคำบรรยายไมได้
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำกันได้วัน 2 วัน และต้องใช้กำลังใจ และความเข้าใจจากตัวคุณ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้โดยการนั้งสมาธิ และหมั่นนึกถึง บุญคุณ และความดีของท่านอยู่ตลอด ให้เป็นนิสัยนะค่ะ แล้วเราจะสามารถครองสติได้เวลาที่เราหงุดหงิด หรือไม่พอใจกับท่าน เพราะท่านก็ยังเป็น ปุถุชนธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา (เพราะเลี้ยงเรามาได้) ไงละค่ะ
น้าจี้
#12
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 07:44 PM
1. ให้นั่งสมาธิให้มากๆเลย ยิ่งถ้าท่านเห็นเวลาเรานั่งสมาธิด้วยจะยิ่งดี
2. เสร็จแล้วให้แผ่เมตตาให้คุณแม่มากๆๆๆ อธิษฐานว่าด้วยบุญนี้ ขอให้ใจของคุณแม่จงสงบสุข อย่าได้เบียดเบียนเราด้วยคำพูดให้เป็นวิบากต่อกันเลย
3. นึกถึงบุญคุณของท่านให้ชัดเจนที่ศูนย์กลางกายเลย ยิ่งชัดยิ่งดี ตอนที่เราทุกข์แล้วมีแม่กับพ่อคอยเคียงข้าง ตอนที่เรายังไม่เข้มแข็งอย่างทุกวันนี้ ให้นึกให้ออกเป็นการบ้านอย่างน้อยวันละหนึ่งเรื่อง
4. คิดเสียว่าตอนนี้ที่ท่านยังมีชีวิต ก็จะเป็นเนื้อนาบุญที่วิเศษให้เราได้ทำหน้าที่ดูแลท่านเป็นการตอบแทน อย่าให้เวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่เป็นการให้เราสร้างวิบากเลย อะไรๆในชีวิตเราก็แบบนี้แหละ ขึ้นกับมุมมองของเราเอง ว่าจะเอาวิกฤตเป็นบทฝึกตัวละเปล่า วันข้างหน้าถ้าท่านไม่อยู่แล้วคุณอาจนั่งเหงาก็ได้นะ ดังนั้น อย่าให้เวลาที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องน่าเบื่อ ให้เปลี่ยนเวลานี้เป็นเวลาที่มีคุณค่าให้มากๆ เช่น ชวนท่านทำบุญปล่อยปลา อธิษฐานจิต สวดมนต์ด้วยกัน ฯลฯ เชื่อว่าถ้าคุณทำได้ ทุกอย่างจะดีขึ้นนะครับ สุดท้ายนี้ก็ขออนุโมทนาบุญที่คุณได้ทำหน้าที่ดูแลท่านยามแก่ชรานะครับ หลวงพ่อเคยบอกว่าเป็นบุญพิเศษเชียวนะเนี่ย และจะเป็นอานิสงส์ติดตัวคุณไปอีกยาวนานเลยทีเดียว
#13
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 08:35 PM
เหอๆ จขกท. เป็นเหมือนกับผมเลยครับ แต่ผมจะเป็นกับพ่อมากกว่า แต่ตอนทะเลาะนี่อารมณ์มันพาไป มันไม่ได้คิดหรอก แต่พอเลิกทะเลาะแล้วเนี่ยสิ เราจะกลับมานั่งคิดว่า นี่เราทำบาปมากๆเลยนะเนี่ย เดี๋ยวนี้ผมก็จะพยายามยับยั้งตัวเองครับ เฉยๆไป ถ้าไม่ไหวจริงๆก็เดินหนี
#14
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 09:10 PM
ก็พยายามทำอยู่ แต่คุณแม่ท่านชอบพูดมากๆเลยค่ะเลยทำหูทวนลมฟังในทีวีแทน ก็ยังกลัวๆวิบากกรรมที่ทำหูทวนลมเลยค่ะ แต่คิดว่าดีกว่าไปอารมณ์เสียกับคำพูดที่ท่านพูดออกมา แต่เวลาท่านไม่อยู่ก็คิดถึงจริงๆแหละค่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 09:11 PM
เพราะเมื่อลองทำดูแล้ว แม่จะคิดว่าตัวเองถูก แล้วก็ถากถางว่าเราผิดไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ทำไงดีคะ
ควร คิดพินิจให้ดี .......... ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม
โอ้ว่าแม่จ๋า ลูกคิดถึงค่าน้ำนม .......... เลือดในอกผสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน
ในชีวิตจริง เราอาจจะพบเห็นว่า "แม่" ของเรา และของใครหลายๆคน เป็นได้ตั้งหลายอย่าง...
"แม่" อาจเป็น"ซูปเปอร์มิสซิส" (เป็นซูปเปอร์เกิล์ หรือซูเปอร์มิส ไม่ได้แล้ว..เพราะมีลูกแล้ว)...คอยฝ่าฟัน และปกป้องให้เรา และคนในครอบครัว ได้ผ่านพ้น ปัญหา และวิกฤตต่างๆ
"แม่" อาจเป็น "คุณครูไหว ใจร้าย" คอยดุ และบ่นเรามาตั้งแต่เด็กเล๊ก...เล้ก ในคราที่เราใส่ผ้าอ้อมและถูกป้อนข้าว...แต่เราเขี่ย และไม่ยอมกินผัก...และถึงแม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ตาม ที่แม่มักจะเตือนให้ใครหลายๆคนว่า "ลูกกินข้าวให้ตรงเวลานะ อย่าทำงาน,อ่านหนังสือจนลืมกินข้าวกินปลา นะลูกแม่"
"แม่" อาจจะรับบทเป็น"นางธนาคาร" ที่คอยให้ลุกกู้ยืม แบบชนิดว่า ถ้าเป็นจริง...คุณลูกคงเสียเครดิตไปมากโข
"แม่" อาจจะรับบทเป็นนางพยาบาล ในคราที่ลูกไม่สบาย...ตอนเด็กๆเราไอ เราตัวร้อน เราปวดหัว เราร้องไห้เพราะพิษไข้ ในตอนกลางคืนอันเเสนเปลี่ยว....ก็มี "คุณแม่พยาบาล" นี่แหละ ที่คอยทุกข์ร้อน เป็นห่วงเป็นใย เช็ดตัวให้ร้อนคลาย
"แม่"....อาจจะเป็น"เพียงคนๆหนึ่ง" ที่ต้องจากไป...ถึงแม้แม่จะเคยทําอาชีพเป็นซูปเปอร์มิสซิส มาบ่อยครั้ง ทําหน้าที่เป็นนางธนาคารก็ค่อนครึ่งชีวิตของลูก..เป็นพยาบาลก็อยู่บ่อยๆ...แต่สุดท้าย..."แม่ก็ต้องจากไป"....อย่างไม่มีวันกลับ .................
๏๏๏ เมื่อยาม เจ้าโกรธขึง ให้นึกถึง เมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่า เฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยง จนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกาย ก็ยอมทน
หวังเพียง จะได้ยล เติบโตจน สง่างาม
ไฟล์แนบ
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#16
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 09:55 PM
และอาจยังขาดความรู้เรื่องการสอนลูกมากกว่า
จริงๆ ท่านอยากจะบอกคำว่ารักกับลูก
แต่ว่าตอนนี้มีเมฆหมอก คือ คำบ่น มาปกคลุมอยู่
อาจเนื่องด้วยสภาวะหรือสถานการณ์
เฉพาะหน้ามาบดบังซะก่อน
จึงทำให้เรามองไม่เห็นความรักจากท่าน
( จริงๆ คำบ่น มันเหมือนเป็นรหัสที่จะบอกอะไรบางอย่างให้เราทราบว่า
ท่านน่ะต้องการการดูแลเอาใจใส่จากลูกนะ แต่ท่านไม่กล้าบอกเราตรงๆ
ตอนนี้เห็นคุณบอกว่าเหลือคุณ ซึ่งเป็นลูกคนเดียว
ที่อยู่กับท่าน แสดงว่าท่านอยากได้ความเอาใจใส่จากคุณไง )
ลองหยุดมองไปที่หัวใจท่านสักนิดสิ
แล้วเราจะรู้ว่า ลูกน่ะคือทุกสิ่งของแม่
ปากเล็กๆ ของลูกที่แม่ให้ลูกหัดขยับออกเสียงในครั้งนั้น ความตั้งใจของแม่หมายถึง ให้ลูกพูดแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล
( ท่านคงลืมบอกลูก )
ใครเลยจะรู้ว่า วันหนึ่งเมื่อลูกโตขึ้น ลูกกลับนำปากไปเถียง ไปด่าว่าผู้ให้กำเนิดได้
หยุดคิดอีกสักหน..เมื่อไหร่ที่เราคิดจะเถียง จะว่าท่านตอบ
ให้ตรองดูอีกครั้งว่า..ตอนที่เรายังนอนแบเบอะ..หากขาดคนที่ขึ้นชื่อว่า " แม่ " ในตอนนั้น
เราจะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงบัดนี้หรือเปล่า
ป.ล. หาจังหวะดีๆ ชวนท่านทำบุญให้ใจใสๆ แล้วเข้าไปกราบ กอดท่าน และบอกท่านว่า เรารักท่าน ( ทำบ่อยๆ ทำเป็นประจำ ดูแลท่านให้มากกว่าที่เคยเป็นอยู่ อ้ออออ อย่าบอกว่าเขินที่จะทำนะ แล้วบรรยากาศในบ้านจะดีขึ้นเองค่ะ )
#17
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 12:27 AM
" เรื่องส่วนตัวให้วางอุเบกขา เรื่องพระศาสนาให้เอาอุเบกขาวาง "
เมื่อก่อนก็เคยเป็นเหมือนกัน ใครมาด่ามาว่า ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด เท่ากับ คนในบ้านว่า
พ่อ หรือ แม่ว่านี่ มันเจ็บแปล๊บไปถึงดวงใจเลย แต่พอได้ เข้าวัดพระธรรมกาย ได้นั่งสมาธิบ่อยๆ ก็ใจเย็นขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
เดี๋ยวนี้พอโดนก็จะ นิ่ง เงียบ เฉย ลูกเดียว...!!! จ้า ...แบบว่า รัก นะ แต่ ไม่ แสดง ออก
#18
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 10:00 AM
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งนามว่าลี่ลี่
เมื่อเธอแต่งงานจึงได้ย้ายนิวาสสถานมาอยู่กับสามีและแม่สามี...
ภายในเวลาอันสั้นลี่ลี่ก็พบว่าเธอไม่สามารถเข้ากับแม่สามีได้เลย
ใช่สิ บุคลิกของทั้งคู่ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...ลี่ลี่ทนนิสัยหลายอย่างของแม่สามีไม่ได้ ฝ่ายแม่สามีก็ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ลี่ลี่เสมอมา
วันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน ลี่ลี่และแม่สามีทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน
แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ตามธรรมเนียมจีน สะใภ้จะต้องก้มหัว
และเชื่อฟังแม่สามีในทุกเรื่องราว นำมาซึ่งความทุกข์โศกแก่ผู้เป็นสามีเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุดวันที่ลี่ลี่หมดสิ้นความอดทนได้มาถึง จึงตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง
เธอตรงไปหาคุณหวางเพื่อนรักของพ่อที่ขายสมุนไพรหลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้
เขาฟัง เธอจึงถามว่า พอจะหายาพิษอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวล
ในคราเดียวได้ไหม คุณหวางคิดอยู่ชั่วขณะในที่สุดจึงกล่าวกับลี่ลี่ว่า
"ลุงจะช่วยหนูเอง...แต่หนูต้องฟังคำของลุงและเชื่อฟังสิ่งที่ลุงบอกนะ"
ลี่ลี่ตอบรับทันทีว่า "ค่ะหนูจะทำตามที่คุณลุงแนะนำทุกอย่าง"
คุณหวางหายไปหลังร้าน และกลับมาภายในเวลาชั่วครู่พร้อมกับห่อสมุนไพรในมือ
เขากล่าวกับลี่ลี่ว่า "ลุงจะจ่ายยาสมุนไพรให้หนูจำนวนหนึ่ง
แต่หนูต้องไม่ใช้ยาพิษนี้ทั้งหมดในคราวเดียวกันนะ
เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนสงสัย หนูจงเติมสมุนไพรนี้ลงไปในหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ปรุงวันเว้นวัน สารพิษนี้จะได้ค่อย ๆ สะสมอยู่ในตัวเธอ ...
ขณะเดียวกัน หนูก็ต้องพูดจากับเธอดี ๆ และเชื่อฟังเธอด้วย
วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อแม่สามีตายลงจะได้ไม่มีใครสงสัยในตัวหนูไงล่ะ
อย่าลืมนะ...ห้ามเถียงเธอ แต่จงเชื่อฟังทุกอย่างที่เธอบอกและปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุด" ได้ยินดังนั้น ลี่ลี่รู้สึกสุขใจยิ่งนัก
จึงกล่าวขอบคุณและล่ำลาคุณหวางเพื่อกลับไปเตรียมอุบายสังหารแม่สามี
วันและคืนผ่านไป...ลี่ลี่จะต้องปรุงอาหารจานพิเศษให้แม่สามีทุกวันเว้นวัน
เธอจดจำคำของคุณหวางได้เป็นอย่างดี...พยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง
เชื่อฟังและดูแลเธอเหมือนดั่งเป็นแม่ของตนเอง
เวลาล่วงไปได้หกเดือน
ทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้หลังคาบ้านนั้นกลับแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ลี่ลี่ได้ฝึกตนให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก
ไม่เคยมีปากเสียงกันเลยตลอดหกเดือนนี้
แม่สามีดูเหมือนจะมีเมตตาต่อเธอและเข้ากันได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ทัศนคติของแม่สามีที่มีต่อลี่ลี่ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน
เธอเริ่มรักลี่ลี่เหมือนกับลูกสาวแท้ ๆ
ของตัวเอง...เธอพร่ำบอกเพื่อนฝูงและคณาญาติว่า
ลี่ลี่เป็นลูกสะใภ้ที่ดีที่สุดและยากจะหาใครมาเสมอเหมือน
บัดนี้ ลี่ลี่ และแม่สามีรักกันดุจแม่-ลูกจริง ๆ
แล้ว...ฝ่ายสามีลี่ลี่รู้สึกสุขใจเป็นที่สุดที่ได้เห็นภาพนั้น
วันหนึ่ง...ลี่ลี่กลับไปหาคุณหวางเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
เธอละล่ำละลัก "คุณลุงหวางคะ กรุณาช่วยหนูด้วยค่ะ
หนูไม่อยากให้แม่สามีตายแล้วค่ะ... คุณลุงรู้มั้ยคะว่า
ตอนนี้แม่เปลี่ยนไปมาก ท่านดีกับหนูมากและหนูก็รักท่านเหมือนแม่จริง ๆ ของหนู
หนูไม่อยากให้ท่านตายด้วยยาพิษของหนูเลย..."
คุณหวางพรายยิ้ม ผงกศีรษะและกล่าวว่า
ลี่ลี่เอ๋ย...ไม่มีอะไรต้องกังวลาว ลุงไม่เคยให้ยาพิษอะไรแก่หนูเลย
สมุนไพรที่ให้ไปเมื่อคราวก่อนนั้นเป็นพวกวิตามินที่บำรุงร่างกาย...
ยาพิษอย่างเดียวนั้นอยู่ที่จิตใจและทัศนคติของหนูที่มีต่อแม่สามีต่างหาก
และนั่นก็ได้รับการชำระล้างหมดแล้วด้วยความรักทั้งหมดทั้งมวลที่หนูมอบให้ท่าน
หากเราโมโหใครมากๆ ลองคิดใหม่ว่า ถ้าเขาเกิดมีอันเป็นไปจริงๆ เราจะทำอย่างไร ร้อยทั้งร้อยความคิดจะเปลี่ยนกลับทันที นี่แหละยาพิษในใจที่ถูกขจัดล่ะ
#19
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 12:16 PM
เมื่อเราได้อาศัยแม่พิมพ์ของแม่เราเกิดมา เราจะโทษแม่พิมพ์เราทำไม สิ่งทั้งหลายมันเกิดจากกรรมของตัวเอง
ไม่ใช่หรือ ?
ฟังเรื่องของพี่หัดฝันแล้ว ยังสงสัยอยู่ว่าก่อนที่ลี่ลี่จะเปลี่ยนนิสัยนั้น เธอยังขาดสติเพราะจิตมุ่ง
จะสังหารแม่สามี ฉะนั้นการทำดีของลี่ลี่ น่าจะยังขาดสติอยู่แบบนี้จะได้ผลบุญเต็มที่หรือไม่
#20
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 12:34 PM
#21
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 01:05 PM
สำหรับเจ้าของกระทู้นะครับ เรื่องการตักเตือนพ่อแม่นี่ผมจะระวังมากทีเดียวครับ ขนาดพระสารีบุตรซึ่งได้ชื่อว่า เป็นพระอรหันต์ผู้มีปัญญาสูงสุด ท่านคิดจะเตือนพ่อแม่ท่านยังต้องรอจังหวะเตือนแบบอ้อมๆ เลยครับ
เรื่องราวก็มีว่า พระสารีบุตร แม้จะมีปัญญาโปรดใครได้มากมาย แต่ท่านยังโปรดแม่ตัวเองไม่ได้เลย และตัวท่านก็ใกล้หมดอายุขัยแล้ว ท่านจึงคิดหาวิธีที่จะลองโปรดแม่ดู จึงกลับมาบ้าน พร้อมกับล้มป่วย ตอนนั้นเอง เทวดาก็มาเยี่ยม รัศมีสว่างมาก แม่ถามพระสารีบุตรว่า นี่ใคร พระสารีบุตรบอกว่า เทวดา แต่เปรียบไป ก็แค่คนเริ่มมาศรัทธาพระพุทธศาสนา
สักพัก พรหมมาเยี่ยม แม่ถามนี่ใคร พระสารีบุตรบอกว่า พรหม แต่เปรียบไปก็แค่สามเณรในพระพุทธศาสนา แม่ถึงกับอัศจรรย์ อะไรพรหม นี่เปรียบแค่เณร หรือนี่ แล้วก็เลยเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาขึ้นมา
หรือแม้แต่พี่ถาวร คิดจะไปโปรดแม่ ไปถึงก็ถามแม่เลยว่า "แม่ ชั่วชีวิตแม่ อายุปูนนี้แล้ว แม่ได้อะไรมาบ้างครับ แล้วทำท่าทางอย่างกับผู้ทรงความรู้ พร้อมจะตอบปัญหาที่มีสาระให้แม่เต็มที่" แต่ไปแบบนี้มันผิดหลักวิชา แม่จึงตอบว่า "แม่จะได้อะไร ก็ได้ลูกหมามา 4-5 ตัว ตัวหนึ่งมาเห่าแม่อยู่นี่ไงล่ะ" พี่ถาวร เห็นว่าการมาตักเตือนแบบนี้ไม่ได้ผล ดังนั้น จึงลาแม่กลับไป วันหลัง มาหาแม่ใหม่ พร้อมเปลี่ยนวิธีใหม่ ใช้การเตือนอ้อมๆ
พี่ถาวร : แม่ผมมีเรื่องเดือดร้อน แม่ช่วยอะไรผมหน่อยสิ
แม่ : จะให้ข้าช่วยอะไรเอ็งล่ะ
พี่ถาวร : คือ หลวงพ่อท่านให้ผมปั้นพระ แต่ผมปั้นไม่เหมือน แม่ช่วยผมหน่อยสิ
แม่ : แล้วต้องช่วยยังไงล่ะ
พี่ถาวร : ทำงี้ๆ แม่ลองนึกองค์พระนะ พระประธานวัดข้างบ้าน แม่นึกไว้ที่กลางท้องนะ เป็นไง เห็นมั้ยแม่
แม่ : เออ เห็นแล้ว
พี่ถาวร : ว่าไงนะ แม่เห็นแล้ว เหรอ
แม่ : เออ เห็นแล้ว ทำไงต่อล่ะ
พี่ถาวร : อ๋อ ไม่ต้องทำไงหรอก แม่ก็ดูองค์พระท่านไปเรื่อยๆ นะแม่
วันต่อๆ มา "ไอ้ถาวร เอ็งไม่ต้องบอกอะไรแม่แล้วว่ะ แม่เข้าใจแล้ว องค์พระท่านสอนแม่หมดเลย" ถ้าเตือนได้ขนาดนี้ รับรองเดี๋ยวได้แม่คนใหม่น่ะครับ
#22
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 01:15 PM
#23
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 01:40 PM
แล้วเราก็คงจะรู้เองน่ะน๊ะ
เอาเป็นว่าทำเช่นไรกับแม่
ลูกก็จะทำเช่นนั้นกับเราเหมือนกัน
#24
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 02:44 PM
#25
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:02 PM
เรื่องจู้จี้ขี้บ่นมันเป็นเรื่องธรรมดาของคนแก่ ทำให้เราหงุดหงิดได้อย่าไปใส่ใจคิดว่ามันเป็นคำให้พร
ก็แล้วกัน พยายามอย่าเถียงท่าน ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป ทนอึดอัดไปก่อน เดี๋ยวมันจะดีเอง
#26
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 04:51 PM
อารมณ์แปรปรวน ช่วงนั้นทะเลาะกับแม่บ่อยมาก
แม่เคยบอกว่า เพราะเราดื้อเหมือนกัน เราเลยทะเลาะกัน
รู้ทั้งรู้ว่าแม่รัก แต่ก็ไม่เคยจะยอมเก็บปากเก็บคำ
ตอนนี้โตแล้ว..แม่ก็ชราแล้ว..อารมณ์เราเย็นลง
เห็นแม่ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเดิม
คิดบ่อยๆว่า ถ้าไม่มีแม่แล้วจะอยู่อย่างไร
คิดแล้วก็เศร้า..จึงอยากใช้วันเวลาที่เหลืออยู่กับแม่ให้ดีที่สุด
มีความทรงจำดีๆร่วมกัน แม่อยากได้อะไรก็หามาให้ อะไรที่ทำเพื่อแม่ได้แม้จะเรื่องเล็กน้อยก็จะตั้งใจทำให้
วันนี้..อยากให้คุณปาราวตีลองคิดในมุมเดียวกันนี้บ้าง บางทีอาจจะช่วยได้นะคะ
แม่มีอยู่คนเดียว..อะไรยอมได้ก็ยอมไปเถอะ..แม้บางครั้งอาจจะมีความรู้สึก(ไปเอง)ว่าแม่รักเราไม่เท่าลูกคนอื่น
ก็ให้พลิกมุมมองใหม่ว่า ไม่สำคัญหรอก.. ขอให้เรารักแม่ และวันนี้ท่านยังอยู่ให้เรารักก็พอแล้ว...
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#27
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 01:17 PM
#28
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 05:41 PM
น้าจี้
#29
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 09:08 PM
#30
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 10:06 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง