พระพุทธเจ้ามีกี่ประเภทครับ
#1
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 02:14 PM
mail; [email protected] (ถ้ามีเรื่องไม่เหมาะแก่การpostขอในmailดีกว่าครับอยากรู้มากจิงๆว่าสิ่งที่เรารู้มาผิดอะปะ)
#2
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 03:13 PM
1. พระพุทธเจ้าผู้เป็นปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขยแสนกัป
2. พระพุทธเจ้าผู้เป็นสัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี 8 อสงไขยแสนกัป
3. พระพทุธเจ้าผู้เป็นวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี 16 อสงไขยแสนกัป
โดยการบำเพ็ญบารมีที่แตกต่างกันนี้ อรรภกถาจารย์มีความเห็นเป็นสองทางคือ
ความกล้าแข็งที่ต่างกันของ ปัญญา ศรัทธา และวิริยะ ซึ่งเป็นตัวนำในการตรัสรู้ธรรม
กับความแก่กล้าที่ต่างกันของความเพียร
Ref:คำสอนเรื่องการสร้างบารมีของวัดพระธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 04:57 PM
#4
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 06:50 PM
#5
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 07:42 PM
#6
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 07:46 PM
น้าจี้
#7
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 08:37 PM
ที่พี่นิวัตรเขียนมานผิดนะครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี 3 ประเภท ตามระยะเวลาการบำเพ็ญบารมีคือ
1. พระพุทธเจ้าผู้เป็นปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี 20 อสงไขยแสนกัป
2. พระพุทธเจ้าผู้เป็นสัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี 40 อสงไขยแสนกัป
3. พระพทุธเจ้าผู้เป็นวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี 80 อสงไขยแสนกัป
ผมขอยกตัวอย่างขยายความนะครับ
1. พระพุทธเจ้าผู้เป็นปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี 20 อสงไขย โดยแบ่งเป็น (7/9/4.1)
ก. ทรงดำริในพระทัย 7 อสงไขย
ข. ต่อจากนั้นจึงออกโอษฐ์ปราถนานานถึง 9 อสงไขย
ค. แล้วจึงได้รับพุทธพยากรณ์อีก 4 อสงไขยกับแสนมหากัปนะครับ (ชาตินี้ ที่ท่านสุเมธดาบส ได้รับพุทธพยากรณ์ จาก พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เปนครั้งแรก)
ส่วนพระพุทธเจ้าผู้เป็นสัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี 40 อสงไขยแสนกัปแบ่งเป็น 14/18/8.1 ครับ และ พระพุทธเจ้าผู้เป็นวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี 80 อสงไขยแสนกัป แบ่งเป็น 28/36/16.1 ครับ
#8
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 08:52 PM
1. พระพุทธเจ้าผู้เป็นปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขยแสนกัป
2. พระพุทธเจ้าผู้เป็นสัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี 8 อสงไขยแสนกัป
3. พระพทุธเจ้าผู้เป็นวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี 16 อสงไขยแสนกัป
ถูกต้องแล้ว ระยะเวลานี้เป็นระยะเวลานับตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ในพระสูตรทีปังกรณ์พุทธวงศ์
ขณะนั้นพระองค์เป็นสุเมธดาบสโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ในสมัยพระทีปังกรณ์พุทธเจ้า เป็นพระชาติแรกที่ได้รับพยากรณ์เป็นนิยตโพธิสัตว์ นับแต่นั้น มาจนกระทั่งมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้เวลา 4 อสงไขย แสนกัป
แต่
ถ้ารวม การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ตั้งความปราถนาในใจ เปล่งวาจา แล้วจึงได้รับพุทธพยากรณ์ใช้ระยะเวลาดังนี้
1.ปัญญาธิกพุทธเจ้า ปราถนาในใจ 7 อสงไขย เปล่งวาจา 9 อสงไขย ได้รับพยากรณ์ 4 อสงไขย แสนกัป รวม 20 อสงไขย แสนกัป
2.สัทธาธิกะพุทธเจ้า ปรารถนาในใจ 14 อสงไขย เปล่งวาจา 18 อสงไขย ได้รับพยากรณ์ 8 อสงไขยแสนกัป รวม 40 อสงไขย แสนกัป
3.วิริยาธิกะ ปรารถนาในใจ 28 อสงไขย เปล่งวาจา 36 อสงไขย ได้รับพยากรณ์ 16 อสงไขย แสนกัป รวม 80 อสงไขย แสนกัป
อ้างอิงจาก คำสอนเรื่องการสร้างบารมีของวัดพระธรรมกาย น.28
ช่วงแรกยังเป็นอนิยตโพธิสัตว์ ต่อเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง จึงเปลี่ยนเป็น นิยตโพธิสัตว์
#9
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 09:12 PM
มีพระพุทธเจ้าอยู่ 3 ภาคที่ไม่ถูกกัน เป็นข้าศึกกันจริง ๆ เข้ากันไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะผิดธาตุผิดธรรมกัน พระพุทธเจ้าสามภาคนี้ ขาวภาคหนึ่ง ดำภาคหนึ่ง ไม่ดำไม่ขาวภาคหนึ่ง
ภาคขาวนั้นคือ กุสลาธัมมา พระพุทธเจ้าภาคนี้พระกายขาวใสเหมือนแก้วขาว เกตุแหลมเป็นดอกบัวตูม ให้สุขแก่สัตว์แต่ฝ่ายเดียว ไม่มีให้ทุกข์เลย
อีกภาคหนึ่ง อกุสลาธัมมา พระพุทธเจ้าภาคนี้พระกายดำใสเหมือนแก้วดำ หรือนิล เกตุแหลมเป็นดอกบัวตูม ให้ทุกข์แก่สัตว์ฝ่ายเดียว ไม่มีให้สุขเลยเหมือนกัน
อีกภาคหนึ่ง อัพยากตาธัมมา พระพุทธเจ้าภาคนี้พระกายไม่ขาวไม่ดำ ใสเป็นสีกลาง ใสเหมือนแก้วสีตะกั่วตัด จะว่าขาวก็อมดำ จะว่าดำก็อมขาว เกตุแหลมเป็นดอกบัวตูมเหมือนกัน ให้ไม่สุขไม่ทุกข์แก่สัตว์
พระพุทธเจ้าขาว กลาง ดำ สามภาคนี้คอยประมูลฤทธิ์กันอยู่เสมอ แย่งกันปกครองธาตุธรรม ภาคขาวก็คอยจะสอดสุขให้แก่สัตว์โลก ภาคกลางกับภาคดำคอยกีดกันไว้ ภาคดำก็คอยจะสอดทุกข์ให้แก่สัตว์โลก ภาคขาวกับภาคกลางก็คอยกันไว้ ถ้าภาคกลางจะสอดไม่สุขไม่ทุกข์ให้แก่สัตว์โลก ภาคขาวกับภาคดำก็คอยกันไว้เหมือนกัน ไม่ให้ความสะดวกแก่กันได้ ไม่งั้นเสียอำนาจกัน
ภาคขาวเห็นว่าทำดี ให้สุขแก่สัตว์จึงจะถูก ภาคดำเห็นว่าทำชั่ว ให้ทุกข์แก่สัตว์จึงจะถูก ภาคกลางเห็นว่าทำไม่ดีไม่ชั่ว ให้ไม่สุขไม่ทุกข์แก่สัตว์จึงจะถูก
แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยังแย้งกัน แล้วมนุษย์ล้วนแต่มีธาตุธรรมปนเป็นอยู่ทั้งนั้นทำไมจะไม่แย้งกัน เข้ากันไม่ได้เหมือนเชือกสามเกลียวบิดขวาเสียเกลียวหนึ่ง บิดซ้ายเสียเกลียวหนึ่ง ไม่บิดอีกเกลียวหนึ่ง ฟั่นเข้าก็ไม่กินเกลียวกัน เพราะบิดคนละทาง แล้วต่างก็เอาพระไตรปิฎกบังคับกาย วาจา ใจของสัตว์ เอาพระวินัยปิฎกก็วินัยปิฎกด้วยกัน บังคับกายสัตว์ไว้สำหรับทำ, เอาพระสุตตันตปิฎกก็สุตตันตปิฎกด้วยกัน บังคับวาจาสัตว์ไว้สำหรับพูด, เอาพระปรมัตถปิฎกก็ปรมัตถปิฎกด้วยกัน บังคับใจสัตว์ไว้สำหรับคิด แล้วก็คอยแย่งกันสอดญาณเข้าไปในไส้ญาณสุดละเอียดของตัว* บังคับสัตว์เอาตามอำนาจพระไตรปิฎกของตัว ถ้าภาคขาวสอดเข้าไส้ญาณสุดละเอียดของตัวได้ ก็บังคับกาย วาจา ใจของสัตว์ จะทำจะพูดจะคิด ก็ล้วนแต่ดีเป็นบุญเป็นกุศลไปทั้งนั้น, ถ้าภาคดำสอดเข้าไปในไส้ญาณสุดละเอียดของตัวได้ ก็บังคับกาย วาจา ใจของสัตว์ จะทำจะพูดจะคิด ก็ล้วนแต่ชั่วเป็นบาปอกุศลไปทั้งนั้น, ถ้าภาคกลางสอดเข้าไปในไส้ญาณสุดละเอียดของตัวได้ ก็บังคับกาย วาจา ใจของสัตว์ จะทำจะพูดจะคิด ก็เป็นแต่กลาง ๆ ไม่บุญไม่บาปไปทั้งนั้น
สุดแท้แต่ว่าภาคใดเข้าในไส้ญาณสุดละเอียดได้ ภาคอื่นก็เข้าไม่ได้ เปรียบเสมือนตอไม้ที่นั่งได้คนเดียว ถ้าขึ้นนั่งได้เสียคนหนึ่งแล้ว คนอื่นก็ขึ้นไปนั่งไม่ได้ แล้วก็แย่งกันปกครองธาตุธรรมตลอดหมด ทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต์ ไม่มีที่ว่างดินฟ้าอากาศ ล้วนแต่อยู่ในปกครองของสามภาคนี้เท่านั้น ภาคขาวคอยเปิด ภาคดำคอยปิด ภาคกลางไม่เปิดไม่ปิด
ภาคขาวคอยเปิด เห็น จำ คิด รู้ ของสัตว์ ให้เห็นว่านิพพานมี
ภาคดำคอยปิด เห็น จำ คิด รู้ ของสัตว์ ให้เห็นว่านิพพานสูญ
ภาคกลางก็ให้สัตว์เห็นว่านิพพานไม่มีไม่สูญ
เอาแค่นี้พอเป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ แต่คงไปคุยกับคนอื่นที่ไม่ปฏิบัติวิชาธรรมกาย คงคุยกันไม่รู้เรื่องนะครับ
#10
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 10:27 PM
#11
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 10:42 PM
1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า - คือพระพุทธเจ้าที่ตั้งศาสนาและโปรดสรรพสัตว์
2. พระปัจเจกพุทธเจ้า - คือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เอง แตไม่ได้โปรดสรรพสัตว์ ไม่ได้ตั้งศาสนา
ทั้งนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังแบ่งได้อีก 3 ประเภทดังที่ข้างต้นตอบไปแล้วครับ และยังมีการแบ่งแบบอื่นอีกครับ
#12
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 10:55 PM
#13
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 12:10 AM
น้าจี้
#14
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 12:33 AM
ขอแนะนำให้หาหนังสือ คำสอนเรื่องการสร้างบารมีของวัดพระธรรมกาย ที่เป็นวิทยานิพนธ์ ของคุณสงกรานต์ ศรีตองอ่อน อ่านนะค่ะ คำตอบของหลายๆคำถามของคุณอยู่ในนั้นค่ะ
น้าจี้
#15
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 01:19 AM
หนังสือ คำสอนเรื่องการสร้างบารมีของวัดพระธรรมกาย ที่เป็นวิทยานิพนธ์ ของคุณสงกรานต์ ศรีตองอ่อน
หาได้ที่ไหนครับ
#16
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 10:31 AM
ถ้าหากอยากกล่าวถึงพระพุทธเจ้ามากประเภทเกินจากนั้น จะเป็นของมหายานไปแล้วครับ
ที่ควรศึกษาก็มี พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ประเภทครับ คือ ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ และ วิริยาธิกะ
หรือมากกว่านั้นก็จะเป็นภาค อจินไตย แล้วครับ
#17
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 11:45 AM
#18
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 01:46 PM
#19
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 06:27 PM
#20
โพสต์เมื่อ 31 July 2006 - 05:59 PM
มีปรากฎมากมายในคำสอนของทางมหายาน เพียงแต่ทางเถรวาท(โดยเฉพาะในเมืองไทย)ไม่ยอมรับกันเอง
ทั้งคำสอนเรื่องพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องพระโพธิสัตว์ ก็มีบันทึกไว้อยู่แล้ว ในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน เพียงแต่ ฝ่ายเถรวาทไม่ยอมรับว่า ของตนเองทำบันทึกสูญหาย
ตังอย่าง เช่น พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมกายอรหันต์ มีในบทสวดมนต์ ของทางปากีสถาน ปัจจุบัน ไม่ได้ยินเพราะถูกอิสลามทำลายไปน่ะ
แม้แต่เรื่อง พระโพธิสัตว์ที่ บำเพ็ญบารมี เข้าพระนิพพานเป็นองค์สุดท้ายน่ะ เรื่องBasic มากๆครับ
พระโพธิสัตว์ที่ทำหน้าที่ปราบมารประหารกิเลส จนหมดนั้นก็มีอยู่ มีภูมิธรรมของท่านโดยเฉพาะด้วย
เพียงแต่ว่า ทางมหายานนั้น ได้นำคำสอนเชิงเทวนิยมมาปลอมปนไว้มาก ทางเถรวาทก็เลยไม่ยอมรับ
แต่คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่สด จันทสโรนั้น มีปรากฏมากมายในคัมภีร์ของนิกายต่างๆ มากจนพวกเราจะตกใจเลยล่ะ เปรียบเสมือนกับการนำก้อนเกลือไปซุกซ่อนไว้ในชามข้าว กลมกลืนจนเราแทบจะแยกไม่ออก เพราะถ้าไม่ซ่อนก็จะถูกโจรขโมยไป
ซึ่งเป็นเรื่องของทางวิชาการศาสนาน่ะครับ ในอนาคตอันใกล้ มากๆ จะมีปรากฏในสังคมไทยมากขึ้นเรื่อยๆ รอดูผลงานกันได้ครับ
#21
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 03:50 PM
นั่นแหละเขาจึงเรียกตัวเองว่า "มหายาน" และเรียกเถรวาทว่า "หีนยาน" และตรงนี้นี่เองแหละครับที่คือ จุดอ่อนไหว ถ้าคุยกันในหมู่นักวิชาการ หรือในกลุ่มผู้ที่เข้าใจ หรือผู้ที่นับถือมหายาน นั่นคือ เรื่องเบสิค แต่ถ้าเอาไปคุยในกลุ่มของเถรวาทหรือผู้ที่ยังไม่เข้าใจ นั่นคือ "ชนวนทะเลาะ"
และที่สำคัญที่นี่ไม่ต้องล็อคอิน ใครๆ ก็เข้ามาอ่านได้ บ่อยครั้งที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยไม่เข้าใจสามารถที่จะเอาไปขยายผลขยายแผล โดยก็อปฯ ข้อคิดเห็นที่ไม่ชัดเจนเหล่านี้ไปไว้ในเว็บที่มีการโจมตีกันอย่างดุเดือด เราพูดกันในกลุ่มไม่กี่คน แต่คนที่ต้องตามแก้ปัญหาแก้ความไม่เข้าใจที่เพิ่มเข้ามา ก็คือ ทุกๆ คน ผู้ที่ต้องไปทำหน้าที่กัลฯทุกคน
ถึงได้บอกไงล่ะครับว่าต้องระวัง ตอนท้ายๆ ที่ว่าเราต้องหาแนวร่วมผมเห็นด้วยนะ เพราะนั่นคือความตั้งใจของพระเดชพระคุณคุณครูไม่ใหญ่ ที่ตั้งใจจะรวมชาวพุทธทั่วโลกแล้วมาสังคายนาความรู้ในคัมภีร์พระไตรปิฎกกัน
#22
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 11:41 PM
๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๓ ประเภท
ไม่ใช่เหรอ ?
ปล. แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีอย่างไรครับ
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#23
โพสต์เมื่อ 03 August 2006 - 12:43 PM
Ref: Same source as above.
#24
โพสต์เมื่อ 04 August 2006 - 09:09 PM
๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้า ว่าตามอาการที่ตรัสรู้ก็ยังมี 3 ประเภทครับ น่าจะอยู่ในหลักสูตรธรรมศึกษาโท
1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์ ทั้งสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม
2. พระปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน แต่ยังบารมีไม่พอที่จะสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตาม
3. พระอนุพุทธะ ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า (ตามคำสอนของพระองค์)