แก้ไขใจไหวหวั่น
#1
โพสต์เมื่อ 11 December 2009 - 05:19 PM
มีวิธีแก้อย่างไร ไม่อยากมีนิสัยนี้ติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ และไม่อยากลงกะทะทองแดง ทำไงดีค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 11 December 2009 - 08:37 PM
เกิดมาทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี
#3
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 11:12 AM
ดูไปเรื่อย ๆ จะกลัวไปเองค่ะ แล้วจะไม่กล้าทำผิดศีลกาเมฯ ได้เอง
ถ้ายังไม่ช่วย ก็ไปหา มหานรกขุม 5 กับขุม 6 ดู
แค่เสียง ก็สามารถสะเทือนขวัญได้แล้วนะคะ
สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ลูกพระธัมฯ หลานหลวงปู่ หลานคุณยาย
#4
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 11:13 AM
โกนหัวบวชชีเลยดีไม๊...พูดเล่นน่า
เอางี้....ในเมื่อรู้ทั้งรู้ มันต้องตั้งสติทุกครั้งที่คิดจะเจ้าชู้
#5
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 12:32 PM
อันดับสอง...ขอบอกว่า จะเจ้าชู้ต่อไปก็ได้ถ้าคุณเลือกที่จะหาความสุขแบบนั้น
อันดับสาม...ขอเตือนว่า ความสุขแบบนั้นมันก็งั้นๆครับ คุณครูไม่ใหญ่บอกว่ามันเพลินๆ (มันสั้นเหมือนไก่กระพือปีก) มีความสุขปนความทุกข์ซะมาก ยิ่งมีมากก็ยิ่งทุกข์มาก ยิ่งมีมากก็ยิ่งก่อเวรมาก ยิ่งมีมากก็ยิ่งหมอง
อันดับสี่...ขอย้ำว่า นรก นรก นรก นรก นรก นรก ไม่คุ้มนะครับ
อันดับสุดท้าย.. ขอตบหัวที เป็นคนวัดแท้ๆ ศีล5 ต้องรักษาแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันครับ :-)
ว่าแต่ เจ้าของกระทู้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ โทษทีตอบแนวผู้ชายๆ ไปหน่อย
#6
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 12:49 PM
1. เต็มใจทำ (ฉันทะ) คือ ใจต้องมุ่งมั่นที่จะแก้ไขนิสัยเสียนั้นๆ ให้ได้ ไม่ใช่เบื่อๆ อยากๆ เช่น ไม่อยากเจ้าชู้เลย แต่คิดอีกทีเจ้าชู้นิดก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าเพียงแค่ข้อแรก คือ ใจไม่ไปเสียแล้ว วิธีการใดๆ ก็ไร้ผลน่ะครับ แล้วทำไงจึงจะมีใจแก้ไขเรื่องนี้ล่ะ
ต้องสร้างแรงบันดาลใจครับ โดยทำตามที่คุณ Ozeria และคุณแสงตะวัน แนะนำก็ได้
2. แข็งใจทำ (วิริยะ) คือ พากเพียรอดทนแข็งใจทำเข้าใจ อย่าท้อถอยกับอำนาจความอยากภายในใจ
3. ตั้งใจทำ (จิตตะ) คือ มีจิตจรดจ่อที่จะแก้ไขนิสัยนี้ให้ได้ หมั่นประคองสติไว้ ดังที่คุณ chai189 แนะนำก็ได้ครับ
4. เข้าใจทำ (วิมังสา) คือ หาเทคนิควิธีการที่จะแก้ไขนิสัยนี้ เช่น หนามยอกเอาหนามบ่ง รักษาศีลแปดไปเลย ดังที่คุณ แ้ก้วใสเย็น แนะนำ ก็ได้ครับ
หากได้ทำตาม อิทธิบาท 4 คุณธรรมแห่งความสำเร็จ 4 ประการจริงๆ แล้วล่ะก็ แก้ไขได้ทุกนิสัยครับ
#7
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 01:11 PM
มันคงเป็นนิสัยที่ติดตัวมาหลายชาติแล้วมั่งค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 01:51 PM
1. เรามีใจให้คนอื่นจริง
2. เราไม่ได้คิดอะไร แต่พวกเค้าคิดกันเอง
คืออย่างนี้ค่ะ
ข้อแรกคือเป็นคนที่ชอบคบคนในเวลาเดียวกันเยอะ (ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน) แต่ไม่ถึงขั้นลึกซึ้งอย่างที่คิด ยังคิดอยู่ว่าผิดศิลกามเมมั้ย
ข้อสองคือเป็นคนชอบพูดชอบคุยเป็นมิตรกับคนคน อาจมีบางที่พูดแนวติดเจ้าชูหน่อยๆ (แต่จริงๆไม่ได้คิดอะไร) แต่พวกเค้าก็มักจะคิดไปเองว่าเราให้ท่า เอ้ย!..ให้ความหวัง (แต่ไม่ได้ตั้งใจนะค่ะสำหรับข้อนี้)
*** เป็นบาปมากมั้ยค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 08:31 PM
#10
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 09:53 PM
การผิดศีล คือ การที่ผู้หญิงมีอะไรลึกซึ้งกับผู้ชายหลายๆ คนพร้อมๆ กันน่ะครับ หากไม่ถึงขั้นนั้น ก็ยังไม่ผิดศีลครับ
หากคบผู้ชายหลายๆ คน เพื่อจะพิจารณาเลือกเฟ้นหาเฉพาะคนที่เหมาะสมกับคุณที่สุด ก็ไม่ได้ถือว่าศีลด่างพร้อยด้วยครับ
แต่หากคบผู้ชายหลายๆ คน เพื่อคิดจะทำอะไรทำนองนั้นกับหลายๆ คน (แม้ไม่ได้ทำจริง) แต่คิดจะทำ ศีลก็ด่างพร้อยแล้วล่ะครับ
#11
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 10:17 PM
ถ้าจำไม่ผิดยายเคยบอกว่า....เกิดมาชาติหนึ่ง แก้นิสัยไม่ดีได้ 1 อย่าง
ก็คุ้มแล้ว ถ้าแก้ได้ตั้งแต่ตอนนี้จนวันที่เราหลับตาลาโลก ชาติหน้าก็ไม่
ต้องมาแก้นิสัยนี้อีก ....เนื้อหาประมาณนี้นะครับแต่wordingจำไม่แม่นครับ
เป็นกำลังใจซึ่งกันและกันนะคร้าบ...สู้ๆ
ถ้าอยากได้"จริง"จะได้...แต่ตอนจะได้ไม่"อยาก"
#12
โพสต์เมื่อ 13 December 2009 - 12:13 AM
ไฟล์แนบ
#13
โพสต์เมื่อ 13 December 2009 - 09:24 AM
หันมามามองอีกทีหมู่คณะไปไหนต่อไหนแล้ว เรายังพายเรือวนในอ่างแห่งกามนี้อยู่เลย (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) ทั้ังที่ใจก็รู้ว่าพายวนอยู่ ทั้งที่รู้ก็ว่าซักวันหนึ่งต้องออกจากวังวนนี้ แล้ววันนั้นคือวันไหนหละครับ :-) จะเป็นวันนี้ เดือนหน้า หรือ ปีหน้า หรืออีก 10 20 30 ปีข้างหน้า ยิ่งช้ามากก็ยิ่งมีเศษกรรมมาก ยิ่งช้ามาก็ตามหมู่คณะไม่ทัน ยิ่งช้ามากก็ยิ่งหมดศรัทธาในตัวเองมากยิ่งขึ้น เกิดพลาดท่าตกนรกเข้าอีก โอ๊ย .. ไม่ต้องพูดถึงกันหละนิ กว่าจะได้เกิดใหม่อีกรอบ กลัว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ตอบเจ้าของกระทู้ ตามความเห็นส่วนตัวนะครับ
1. เรามีใจให้คนอื่นจริง (ศีลไม่ขาดครับ แต่ผมว่ามันจะเป็นเศษกรรมติดตัวทั้งสองฝ่ายไปนะครับ มันคงมีเรืื่่องให้เคืองใจทั้งในชาตินี้และชาติหน้าอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นทางที่ดีก็ขออโหสิกรรมกันก็แล้วกันนะครับ ผมว่าทางที่ดีคบทีละคนดีกว่าครับ สบายดีใจ ไม่ผิดศีลข้อ 4 ด้วย)
2. เราไม่ได้คิดอะไร แต่พวกเค้าคิดกันเอง (อันนี้สงสัยเป็นนิสัยติดมาข้ามชาติมั้งครับ ฮิ ฮิ ผมว่าอยู่ที่ใจเราครับถ้าใจเราบริสุทธิ์ ก็ปล่อยให้เจ้าพวกผู้ชายมันคิดไปเุุุถอะครับ เพราะเจ้าพวกนี้มันก็มีนิสัยแบบนี้ติดมาข้ามชาติเหมือนกัน ฮ่า ฮ่า สุดท้ายถ้าเราไม่คิดอะไร คนกลุ่มนี้ก็จะหายไปเองครับ ขอบอกๆ เป็นเพื่อนกันดีกว่าเยอะ ไม่มีเรื่องให้ปวดให้ ว่าไหมครับ)
#14
โพสต์เมื่อ 13 December 2009 - 01:35 PM
จุ๊ จุ๊ เคล็ดไม่ลับของเรา...คือ
1. ใจ...ต้องตรึกระลึกถึงคุณแห่งศีล...ให้นิ่งแน่น ทับทวี หนีความหวั่นไหว
2. สกัดนิวรณ์...กามฉันทะ...ความฟุ้งซ่าน...ด้วยอินทรีย์สังวร(เลี่ยงหรือสำรวมการมองของสวยๆงามๆ ฟังเสียงไพเราะเพราะพริ้ง ชื่นชมกลิ่นรัญจวน ลิ้มรสจิ๊ดจ๊าด และ สัมผัสอันนุ่ม...รวมถึงการบริโภคอาหารเกินควรอันนำไปสู่กำหนัด)
3. เลี่ยงไม่ได้ในสังคม ลองฝึกปรับใจมองหนุ่มภูมิฐานประดุจบิดาผู้ควรบูชา...มองหนุ่มรุ่นพี่เท่ห์ๆประดุจพี่ชายแท้ๆด้วยความเคารพ...มองหนุ่มจ๊าบหนุ่มหล่อประดุจน้องชายแท้ๆในไส้ด้วยความเอ็นดู
สั่งสมบุญประพฤติพรหมจรรย์เป็นนิตย์ เพียงเท่านี้นอกจากจะสามารถหนีห่างไกลจากต้นงิ้วและอีกาปากเหล็กแล้ว ยังผลให้เราอยู่ใกล้พระนิพพานมากขึ้นอีกต่างหาก
#15
โพสต์เมื่อ 13 December 2009 - 02:56 PM
มองสาวๆภูมิฐาน ประดุจคุณป้าที่เคารพ ... มองสาวๆ รุ่นพี่ประดุจพีสาวจอมดุ... มองสาวๆ สวยๆ น่ารักๆ ประดุจเปลวไฟที่พร้อมจะเผาพลาญใจเราได้ตลอดเวลาไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ดังนั้นมาบวชพระแสนรุปกันดีกว่า :-)
#17
โพสต์เมื่อ 13 December 2009 - 10:14 PM
ขอชื่่นชมว่า คุณน้ำแข็งยังตระหนักและสามารถหยั่งรู้ในใจของตัวเองได้ และปรารถนาที่จะแ้ก้ไขข้อที่หย่อนของเรา
จำได้ว่าสมัยคุณยาย พอทราบว่าพี่ๆอุบาสกเริ่มจะมีแว่วๆข่าวแบบนี้ ท่านจะให้นั่งธรรมะมากๆสักหน่อยแล้วจึงให้โอวาทเกี่ยวกับการสร้างบารมี
(ลองค้นหาหนังสือเกี่ยวกับคุณยาย เล่มเก่าๆ อ่านดูครับ)
อย่างไรขอเอาใจช่วย "ให้ขัดเกลา สนิมในใจ ออกไปด้วยดี เทอญ " สาธุ สาธุ สาธุ
#18
โพสต์เมื่อ 15 December 2009 - 10:55 PM
ตามความเห็นส่วนตัว บางคนได้ดูได้ฟังเกี่ยวกับเรื่อง ใครทำชั่วอะไร ตกนรกขุมไหนเนี่ย กลับแย่ยิ่งกว่าตอนไม่ได้ดูอีกนะครับ คือผมก็เคยเป้น อ่านเลย นรก 455 ขุม ทำอะไรบ้างถึงตกลงไป ปรากฏว่า พอจิตมันคิดไม่ดีนี เรากลัวเลย แล้วก็จิตตก เพราะไปคิดว่า แค่คิดก็ผิดเท่ากับกระทำแล้ว ซึ่งพวก สุขภาพจิตไม่ดีก็เพราะคิดแบบนี้แหละ เราห้ามความคิดไม่ได้ จิตเรามีคิดดีคิดชัว เพราะมันเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้
#19
โพสต์เมื่อ 16 December 2009 - 11:22 AM
รู้สึกอบอุ่นจังที่ได้อยู่ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน
#20
โพสต์เมื่อ 20 December 2009 - 04:07 PM
ลองนั่งสมาธิอย่างจริงจัง สัก 6 เดือนติดต่อกัน ตั้งใจขจัดอุปสรรคต่างๆในการปฏิบัติธรรมออกไปอย่างเบ็ดเสร็จ อย่างน้อยก็ชั่วคราว ไม่ต้องซีเรียส เลื่อนๆมันออกไปก่อน ตั้งเป้าหมายว่าต้องการเข้าให้ถึงความละเอียดของใจในระดับที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ต้องการสัมผัสความสุขที่เกิดจากจิตที่ละเอียดยิ่งๆขึ้นไปว่าจะมีความรู้สึกเช่นไร ต้องการมีจิตที่หนักแน่นและมั่นคง มีความเป็นอิสระจากกิเลส และมีความรู้เห็นเป็นตัวของตัวเอง มากขึ้นเรื่อยๆ ทีละน้อยๆ
ถ้าเราได้ลองทำ เราก็จะทำได้ (ในระดับหนึ่งแน่นอน)
ถึงตอนนั้นก็ลองถามตัวเองว่าคุ้มไหม ดีพอไหม ถ้าไม่ดีพอก็ทิ้งไปเสียก็ได้ แล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิม
แต่ถ้าคุณรู้สึกตัวว่าดีกว่าเดิม ขอให้ทำต่อไปอีก 6 เดือน แล้วจดจำความทุ่มเทของเราว่ามีคุณค่ามากแค่ไหน ความสุขอันเกิดจากความละเอียดของใจมีคุณค่ามากแค่ไหน ปัญญาที่ได้รับสามารถชี้ทางออกให้กับตัวเองได้แล้ว มีคุณค่าแค่ไหน คุ้มหรือไม่ที่จะไม่ปล่อยให้ใจหยาบลงอีก คุ้มหรือไม่ที่จะรักษาสภาวะใจใสๆนี้ไว้ ถึงเวลานั้น คุณอาจมองเห็นปัญหานี้เป็นแค่เรื่องเล็กนิดเดียว ที่แสนจะห่างไกลจากตัวคุณ
ปัญหาบางอย่างยิ่งคิด ยิ่งขาดทุน เห็นแล้วก็วางเฉยเสียดีกว่า ปล่อยให้มันผ่านได้ มีเรื่องดีๆในโลกนี้ให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ แค่เข้าให้ถึงพระธรรมกายภายในให้ได้ก่อนอายุ 50 เหลือแหล่แล้ว อย่าไปรอให้ได้ตอนก่อนตายนะคะ ตั้งผังให้ดี
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
#21
โพสต์เมื่อ 20 December 2009 - 04:39 PM
คนที่เจ้าชู้เหมือนดั่งสายลม ที่พัดไปมาไม่หยุดกับที่ให้พึงศึกษาจากชีวิตจริงของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำให้มากๆเข้า ถ้าคิดได้ เราก็ไม่อยากเป็นผู้ที่ต้องตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นจากความสนุกความสุขของคนที่เรารักใช่มั๊ย
*-*เป็นกำลังใจให้คุณน้ำแข็งใสและทุกๆคนค่ะ คงไม่มีคนดีๆคนไหนอยากทำให้คนที่เรารักต้องทุกข์ใจค่ะ*เว้นจากเขาไม่ได้รักเราแต่เป็นการรักตัวเองอย่างผิดวิธี
#22
โพสต์เมื่อ 21 December 2009 - 09:27 AM
ทุกๆที่ก็ปะปนด้วยคนดีและเลว นี่เป็นความจริงแท้อีกเช่นกัน
แม้ในใจของคนๆเดียวกัน ก็ปะปนด้วยกุศลและอกุศลจิต
สติ พิจารณาเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง จึงเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นสิ่งที่ อัตตหิอัตตโนนาโถ เป็นที่พึ่งส่วนตัวของเราจริงๆ
การเผลอสติ คือเผลอเอากิเกสของตน ไม่ว่าหยาบหรือละเีอียด มาบังความเห็นของตัวเองไว้ เห็นไม่ตรง เห็นเข้าข้างกิเลศตัวเอง เห็นปรุงแต่งไป จึงมักจะพลาดกันได้ ทุกๆคนไป
อดีตที่ผิดพลาด ลืมไปให้หมด
บาป ทุกชนิดไม่ทำอีกเด็ดขาด
รักษาใจให้ผ่องใส อยู่เสมอ
ตามโอวาทของหลวงพ่อ จำได้นะคะ
กุศลจิตนี้มีพลังมาก รักษาใจให้เป็นกุศลอยู่เสมอเถอะค่ะ และอยากลืมสติ ที่ปราศจากกิเลสอาสวะ จะช่วยให้เราพ้นภัยได้
ชีวิตต้องสู้นะ