tnews_1470193349_9414.jpg 32.85K 0 ดาวน์โหลด
+++ โปรดโยมพ่อในนรก +++
เมื่อภาวนาไปได้ ๓ วัน ในคืนนั้น ได้เกิดนิมิตเห็นเส้นทางอันราบรื่นขึ้นต่อหน้า ข้าพเจ้าได้ออกเดินทางตามทางนั้นไป อีกพักหนึ่ง ได้เห็นประตูเหล็กขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า มีชายฉกรรจ์รักษาประตูอยู่ ๔ คน แต่ละคนถือหอกดาบครบมือ มีหน้าตาเคร่งขรึม ยืนนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปหาเพื่อจะถามว่านี้เป็นสถานที่อะไร ทางนี้จะไปที่ไหน ทั้ง ๔ คนนั้นได้ไหว้แสดงความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างดี แล้วได้พูดขึ้นว่า ที่นี่เป็นประตูเข้าไปสู่ “ยมโลก” ทุกคนที่ตายจากเมืองมนุษย์แล้วต้องเข้ามาให้สืบสวนสอบสวนในที่แห่งนี้ทุกคน
เขาถามข้าพเจ้าว่า พระคุณเจ้ามีความประสงค์สิ่งใดจึงได้มาในที่แห่งนี้ จึงตอบเขาไปว่า อาตมามีความประสงค์อยากทราบว่า โยมพ่อของอาตมาที่ตายไปแล้วได้เข้ามาในที่แห่งนี้หรือไม่ เขาถาม ขณะนี้พระคุณเจ้ากำลังติดตามหาโยมพ่อใช่ไหม ตอบเขาไปว่า ใช่แล้ว อาตมากำลังติดตามหาโยมพ่อ เขาพูดว่า ถ้าเช่นนั้น ขอนิมนต์พระคุณเจ้าเข้าไปสอบถามหัวหน้าที่อยู่ภายในเถิด
จากนั้น ประตูเหล็กขนาดใหญ่ก็ได้เปิดออก ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไป พอดีไปพบกับหัวหน้าใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เป็นผู้ตรวจบัญชีของคนตายทั้งหมด ว่าคนที่ตายนั้นมีอายุเท่าไร อยู่ที่ไหน บ้านเลขที่เท่าไร ตำบล อำเภอ จังหวัดอะไร ชื่ออะไร นามสกุลอย่างไร เหมือนกันกับจดลงในใบสำมะโนครัวทั้งหมด
เมื่อเข้าไปถึง ดูเขาทำท่าตกตะลึงไปบ้าง แต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวดี เมื่อเขายกมือไหว้แล้ว ก็พูดว่า พระคุณเจ้ามีความประสงค์อะไรหรือครับ ก็ได้เล่าให้เขาฟังว่า อาตมากำลังติดตามหาโยมพ่อ เพราะโยมพ่อได้ตายมาแล้วหลายเดือน ไม่ทราบว่า โยมพ่ออาตมาได้เข้ามาอยู่ที่นี่หรือเปล่า เขาถามว่าพ่อของพระคุณเจ้าชื่ออะไร นามสกุลอะไร ก็บอกเขาไปว่า ชื่อนายอุทธา นนฤาชา จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบเอาหนังสือมาเปิดดู หนังสือนั้นมีความหนาประมาณ ๑ ศอก เขาใช้นิ้วมือกรีดเปิดพรืดเดียวแล้วอ่านดู และพูดขึ้นมาว่า นายอุทธา นนฤาชา อยู่บ้านหนองแวง (แก้มหอม) ตำบลไชยวาน อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ใช่ไหมครับ บอกเขาไปว่าใช่แล้ว เขาพูดว่า ยังอยู่ที่นี่ครับ
บอกเขาไปว่า อาตมาอยากขอพบโยมพ่อหน่อย เขาก็บอกคนใช้อีกคนหนึ่งว่า รีบไปตามนายอุทธา นนฤาชา ออกมาพบกับพระลูกชายด้วย เขาก็รีบวิ่งไป อีกสักพักหนึ่ง เขาก็ตามโยมพ่อเข้ามาหา เมื่อโยมพ่อเดินมา ลักษณะคล้ายจะมีความละอาย และอีกอย่างหนึ่ง คือ ที่แก้มด้านขวาคล้ำไปนิดหนึ่ง ส่วนแก้มด้านซ้ายเป็นปกติ เวลาเดินเข้ามาจะเอียงหน้าหันด้านซ้ายเข้ามา กางเกง เสื้อผ้าที่นุ่งขณะตายนั้น ใส่อย่างไร ตายไปก็จะนุ่งห่มอย่างนั้นไปก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญจากลูกหลานและญาติๆ แล้ว ผ้านุ่งห่มจึงจะเปลี่ยนไป เมื่อโยมพ่อเข้ามาแล้วก็กราบตามปกติ
จึงถามโยมพ่อว่า จำอาตมาได้ไหม
โยมพ่อตอบ จำได้
ถาม โยมพ่ออยู่ที่นี่ถูกเขาตีไหม
ตอบ แต่ก่อนถูกตีอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ตีเลย
ถาม มาอยู่ที่นี่มีการไหว้พระภาวนาไหม
ตอบ ไหว้พระทุกคืนภาวนาทุกคืน
ถาม ลูกหลานทำบุญอุทิศมาให้ได้รับไหม
ตอบ ได้รับ ๓ ส่วน อีกส่วนหนึ่งไม่ได้รับ
ถาม ทำไมจึงไม่ได้รับ
ตอบ เพราะพระสงฆ์ที่รับเครื่องไทยทานศีลไม่บริสุทธิ์
ถาม กรรมที่จะต้องใช้อยู่ในขณะนี้มีมากไหม
ตอบ มีไม่มาก เพราะกรรมเล็กๆ น้อยๆ หมดไปแล้วเหลือแต่กรรมจากวัวตัวเดียว
จากนั้น ก็ได้มาปรึกษากับหัวหน้ายมบาลว่า กรรมของโยมพ่ออาตมา ส่วนใหญ่หมดไปแล้ว เหลือกรรมเนื่องจากวัวตัวเดียวเท่านั้น เมื่อกรรมเหลือน้อยนิดเดียวนี้ อาตมาอยากขอบิณฑบาตโยมพ่อพ้นจากกรรมนี้ได้ไหม
จากนั้น หัวหน้ายมบาลก็ไปหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่ง มาอ่านเพื่อดูกรรมของโยมพ่อที่ทำมา แล้วก็พูดว่า กรรมของโยมพ่อพระคุณเจ้าจะหมดในวันนี้ ผมขอแสดงความเคารพนับถือ ต่อพระคุณเจ้าเป็นอย่างมาก ที่ได้ติดตามมาโปรดโยมพ่อถึงที่ จึงได้ถามโยมพ่อว่า อยากบวชไหม โยมพ่อตอบว่า อยากบวช จากนั้น ข้าพเจ้าก็เอาผ้าขาวออกมาจากย่ามยื่นให้ โยมพ่อก็ได้นุ่งห่มผ้าอย่างเรียบร้อย พอนุ่งห่มผ้าขาวเสร็จเท่านั้น ผิวพรรณของโยมพ่อ ก็เปลี่ยนไปทั้งหมด หน้าตามีความอิ่มเอิบ ผิวพรรณผ่องใสเป็นอย่างมาก แล้วกราบอาตมา ๓ ครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า กรรมที่โยมพ่อได้ทำ หมดไปแล้วในวันนี้ ขอให้ลูกได้ไปประกาศ ให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ พากันสร้างความดีไว้ให้มาก เมื่อตายไปจะได้ไม่เป็นทุกข์
โยมพ่อพูดว่า
จากนี้ไป โยมพ่อจะได้ขึ้นไปอยู่ที่สูงแล้วนะ ว่าแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง เสร็จแล้วก็ลอยขึ้นไปสู่อากาศ มองดูโยมพ่อลอยขึ้นไปจนสุดสายตา
ขอกลับมาเล่าเรื่องคนตายต่อไป คิดว่าท่านผู้อ่านจะได้นำไปเป็นข้อคิดได้บ้างไม่มากก็น้อย
ในช่วงขณะที่ข้าพเจ้าได้พูดคุย กันกับยมบาล และโยมพ่ออยู่นั้น มียมทูตได้นำผู้ที่ทำกรรมชั่ว ผ่านมาเป็นจำนวนมาก มีทั้งเชือกผูกคอลากเข้ามา มีทั้งโซ่ผูกแขนขา ดึงกันเข้ามา มีทั้งเอาไม้เรียวเฆี่ยนตีเลือดอาบตัว พากันร้องโหยหวนระงมไปทั้งหมด บางคนมีผ้านุ่งที่ฉีกขาด บางคนไม่มีผ้าติดตัวมาเลย ยมทูตได้บังคับขู่เข็ญด้วยวิธีต่างๆ พวกที่ทำกรรมชั่วมาแล้วได้รับความทุกข์ทรมานมากทีเดียว ผู้ที่ยมทูตนำไปนั้น มีจำนวนมากมาย ไม่อาจจะนับได้
เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่ง จะมองเห็นศาลาว่าการ ซึ่งใช้เป็นที่ตัดสินของผู้ทำกรรมชั่วทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ถามยมบาลว่า ศาลานั้นมีเพื่อทำอะไร ยมบาลพูดว่า ศาลานั้นใช้เพื่อเป็นศาลตัดสินโทษที่มนุษย์ได้ทำเอาไว้ ใครทุกคนที่ตายแล้ว เมื่อมีบาปติดตัวมา ต้องได้ขึ้นศาลตัดสินในที่นี้ทั้งหมด ใครทำกรรมชั่วน้อย ก็มีที่คุมขังไว้อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ถ้าผู้ที่ได้ทำกรรมชั่วมากก็จะมีที่คุมขังอย่างทรมานแยกไว้อีกต่างหาก
เมื่อถึงวันกำหนด ก็จะได้นำผู้ทำกรรมเหล่านี้มาให้การตามหลักฐานที่มีอยู่แล้ว ขณะนี้ผู้ที่ทำกรรมชั่วทั้งหมดจะตกเป็นจำเลย ส่วนกรรมชั่วที่เขาทำมาแล้วนั้นจะเป็นโจทก์ฟ้องตามคดี ขณะนั้น หมู่โจทก์ทั้งหลายมีทั้งวัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ ตลอดสัตว์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก พากันเข้าเรียงแถว เป็นโจทก์ฟ้องผู้ที่ทำกรรมชั่วอยู่อย่างเนืองแน่น
การตัดสินในศาลของยมบาลนี้มีความเที่ยงธรรมมาก เรียกว่า ใช้กรรมชั่วดีเป็นที่ตัดสินอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการคอรัปชั่น ไม่มีการเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย ไม่มีคำว่าผู้มีเงินมากจะชนะผู้มีเงินน้อยเหมือนโลกมนุษย์เรา แล้วก็เกิดมีความสลดสังเวชใจอีกอย่างหนึ่ง คือ ผู้อ้างตัวว่าเป็นสมณะหัวโล้นห่มผ้าเหลือง ก็ยังเป็นจำเลยถูกฟ้องในศาลนี้ก็มีมากทีเดียว
ถ้าหากผู้ที่ทำความดีไว้มาก ทำความชั่วน้อย ตายไปก็ต้องมาตัดสินในศาลนี้ก่อน เมื่อกรรมชั่วที่มีจำนวนน้อยหมดไป จึงจะได้ไปสู่สุคติตามกรรมที่ตัวเองได้สร้างไว้แล้ว แต่ถ้ากรรมดีมีน้อย กรรมชั่วมีกำลังมาก ก็จะแจกแจงออกไปตามกรรมต่างๆ
บางกรรมก็ส่งลงไปอเวจีมหานรก
บางกรรมก็ตกไปอยู่ในนรกขุมเล็กๆ ตามกรรมจำแนกไว้แล้ว
บางกรรมก็จะส่งไปเป็นเปรต บางกรรมก็ส่งไปเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
บางกรรมก็จะส่งไปในหมู่อสุรกาย
ถ้าผู้ทำในกรรมดีล้วนๆ จะไม่ได้เข้ามาในเขตของยมบาลนี้เลย เมื่อเขาหมดชีวิตไปก็จะไปสู่สุคติทันที ฉะนั้น จึงขอเตือนแก่พวกเราทั้งหลายเอาไว้ โดยมิได้บังคับ ถ้าท่านไม่เชื่อ จะทำกรรมชั่วอย่างไรก็ตามใจ แต่ท่านก็จะได้เป็นผู้รับผลในการกระทำของท่านเอง
...หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ...
วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น