นักแสดงเป็นสัมมาอาชีวะหรือเปล่าครับ
#1
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 06:50 PM
การเป็นนักแสดง ซึ่งเป็นการให้ความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ
ไม่ได้มีสิ่งใดร้ายเลย
เป็นสัมมาอาชีวะหรือเปล่า
เพราะผมเป็นนักแสดงด้วย
กลัวเอาเงินทำบุญจะได้บุญน้อยอะครับ
๑.กุศลธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีขาวใส กายในกายขาวใสทั้งหมด เรียกว่าภาคพระ ภาคขาว ภาคบุญ
๒.อกุศลาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีดำ กายในกายดำทั้งหมด เรียกว่า ภาคมาร ภาคดำ ภาคบาป
๓.อัพยากตาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอัพยากตา เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีตะกั่วตัด กายในกายสีตะกั่วตัดทั้งหมด เรียกว่า ภาคกลาง ภาคไม่บูญไม่บาป
ทั้ง ๓ ธาตุธรรมนี้ ย่อมมีต้นธาตุ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมตลอดสาย
ต้นธาตุถือเป็นผู้บัญชาการในธาตุธรรมนั้นๆ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมในนิพพาน
#2
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 11:08 PM
ไม่คาดหวังได้พบอะไรใหม่
เป็นใจเพียงไม่อยากได้ต่อสิ่งใด
ก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ
#3
โพสต์เมื่อ 28 May 2008 - 10:31 AM
ส่วนเรื่องการนำเงินจากการแสดงมาทำบุญนั้น หากเป็นกังวลเรื่องนี้มาก ก็ให้คัดเลือกเอาจากบทละครที่เรารับแสดงก็ได้ครับ หากบทไหนที่เราพิจารณาแล้วดูแล้วว่ามันจะส่งผลไม่ดีกับผุ้อื่น เงินส่วนนั้นเราก็เก็บไว้ใช้เอง แต่หากบทไหนที่ดูแล้วส่งเสริมในเชิงสร้างสรรในทางบวกเราก็เก็บเอาไว้ทำบุญก็ได้ครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#4
โพสต์เมื่อ 28 May 2008 - 12:56 PM
#5
โพสต์เมื่อ 29 May 2008 - 11:10 AM
บทคนไม่ดี อย่ารับแสดง
อย่าเชื่อที่เขาหลอกว่า นักแสดงต้องเล่นได้ทุกบท
เรากำหนดชีวิตตนเอง
#6
โพสต์เมื่อ 29 May 2008 - 11:24 AM
กิริยา ท่าทาง ที่แสดงออกไป รวมถึง การแต่งกาย ถ้าไม่มีจุดขาย ก็ ไม่มีคนดู ถ้าการแสดงของเรา ทำให้คนอื่น ลอกเลียนแบบไปใช้ ในทางที่ไม่ดี เราอาจมีส่วนแห่งเวรนั้นๆ
แต่หาก การแสดง ที่สื่อ และ ชักนำ ให้ คนดู มีสติ รู้คิด กระตุ้นจิตสำนึก เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เราก็จะได้รับอานิสงส์นั้นๆไปด้วย ค่ะ
วิธีลดผลกระทบ หากจำเป็นต้องทำ
1. อย่า มีจิต คิดยินดี ในการแสดง นั้นๆ ( หากได้รับบทไม่ดี )
2. อธิษฐานขอให้ ผู้ที่จะทำตามเลียนแบบวิธีที่ไม่ดีนี้ มีอุปสรรค ทำไม่สำเร็จ
3. พยายาม ทำกุศล บุญ อื่นๆ เพิ่มทับทวี
4. เป็นกัลยาณมิตร ชักชวนผู้อื่น ทำความดี
#7
โพสต์เมื่อ 30 May 2008 - 11:24 AM
#8
โพสต์เมื่อ 30 May 2008 - 02:42 PM
ท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านนักฟ้อนรำ (นฎ; นฎก; นาฏก; นฎา; นโฎ=คนฟ้อนรำ, ตัวละคร)
(นาฏฺย = การฟ้อนรำ, การแสดงละคร, การขับร้องบรรเลงดนตรี) (นาฏฺยสาลา=โรงละคร)
ชื่อตาลบุตร ท่านมีความเชื่อว่า ผู้เป็นนักฟ้อนรำทำการแสดง ตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์
จริงๆ แล้ว ปัญหานี้พระพุทธเจ้าไม่สู้เต็มใจตอบนัก สังเกตจากพระองค์ทรงห้ามอยู่ถึง ๒ ครั้ง
และผู้ใหญ่นักฟ้อนรำต้องตื้อถามถึง ๓ ครั้ง พระองค์จึงทรงตรัสตอบให้
ซึ่งก็เข้าเค้าอย่างที่คุณ ฮ่องกง สาวซ่า (hk_girlza) ว่าไว้ละครับ
คือ หากเป็นไปเพื่อเพิ่มพูน ราคะ โทสะ โมหะ ก็เป็นบาปกรรม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า หนักหนาขั้น ‘ตกนรกชื่อปหาสะ’ เชียวนะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในการแสดงนั้นๆ ท่านว่าเป็นเรื่องจริงบ้าง เท็จบ้าง ปนๆกัน ทั้งยังตนและผู้อื่นให้มัวเมาประมาท จึงจะเข้าข่ายนี้ครับ
ผมว่าท่านๆ ทั้งหลาย ลองมาศึกษาดูเรื่องนี้จากพระสูตรนี้ดีกว่าครับ
#9
โพสต์เมื่อ 30 May 2008 - 02:52 PM
[๕๘๙] เอก สมย ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป ฯ
อถ โข ตาลปุตฺโต นฏคามณี เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา
ภควนฺต อภิวาเทตฺวา เอกมนฺต นิสีทิ ฯ
เอกมนฺต นิสินฺโน โข ตาลปุตฺโต นฏคามณี ภควนฺต เอตทโวจ
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกระแต เขตกรุงราชคฤห์
ครั้งนั้น ผู้ใหญ่บ้านนักฟ้อนรำ ชื่อตาลบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
สุต เมต ภนฺเต ปุพฺพกาน อาจริยปาจริยาน นฏาน ภาสมานาน
โย โส นโฏ รงฺคมชฺเฌ สมชฺชมชฺเฌ สจฺจาลิเกน ชน หาเสติ รเมติ
โส กายสฺส เภทา ปร มรณา ปหาสาน เทวาน สหพฺยต อุปปชฺชตีติ ฯ
อิธ ภควา กิมาหาติ ฯ
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินคำของพวกนักฟ้อนรำ ผู้เคยเป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า
‘นักฟ้อนรำคนใดทำให้ประชาชนหัวเราะรื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง เท็จบ้าง กลางโรงละคร กลางงานมหรสพ
นักฟ้อนรำคนนั้น หลังจากตายแล้ว จะเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเหล่าเทวดาชื่อปหาสะ’
ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร”
อล คามณิ ติฏฺเตต มา ม เอต ปุจฺฉีติ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
“อย่าเลย ผู้ใหญ่บ้าน จงพักปัญหาข้อนี้ไว้ อย่าถามเราเลย”
[๕๙๐] ทุติยมฺปิ โข ตาลปุตฺโต นฏคามณี ภควนฺต เอตทโวจ
สุตมฺเมต ภนฺเต ปุพฺพกาน อาจริยปาจริยาน นฏาน ภาสมานาน
โย โส นโฏ รงฺคมชฺเฌ สมชฺชมชฺเฌ สจฺจาลิเกน ชน หาเสติ รเมติ
โส กายสฺส เภทา ปร มรณา ปหาสาน เทวาน สหพฺยต อุปปชฺชตีติ ฯ
อิธ ภควา กิมาหาติ ฯ
แม้ครั้งที่ ๒ ผู้ใหญ่บ้านนักฟ้อนรำ ชื่อตาลบุตร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินคำของพวกนักฟ้อนรำ ผู้เคยเป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า
‘นักฟ้อนรำคนใดทำให้ประชาชนหัวเราะรื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง เท็จบ้าง กลางโรงละคร กลางงานมหรสพ
นักฟ้อนรำคนนั้น หลังจากตายแล้ว จะเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเหล่าเทวดาชื่อปหาสะ’
ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร”
อล คามณิ ติฏฺเตต มา ม เอต ปุจฺฉีติ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
“อย่าเลย ผู้ใหญ่บ้าน จงพักปัญหาข้อนี้ไว้ อย่าถามเราเลย”
ตติยมฺปิ โข ตาลปุตฺโต นฏคามณี ภควนฺต เอตทโวจ
สุตมฺเมต ภนฺเต ปุพฺพกาน อาจริยปาจริยาน นฏาน ภาสมานาน
โย โส นโฏ รงฺคมชฺเฌ สมชฺชมชฺเฌ สจฺจาลิเกน ชน หาเสติ รเมติ
โส กายสฺส เภทา ปร มรณา ปหาสาน เทวาน สหพฺยต อุปปชฺชตีติ ฯ
อิธ ภควา กิมาหาติ ฯ
แม้ครั้งที่ ๓ ผู้ใหญ่บ้านนักฟ้อนรำ ชื่อตาลบุตร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินคำของพวกนักฟ้อนรำ ผู้เคยเป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า
‘นักฟ้อนรำคนใดทำให้ประชาชนหัวเราะรื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง เท็จบ้าง กลางโรงละคร กลางงานมหรสพ
นักฟ้อนรำคนนั้น หลังจากตายแล้ว จะเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเหล่าเทวดาชื่อปหาสะ’
ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร”
[๕๙๑] อทฺธา โข ตฺยาห คามณิ นาลตฺถ อล คามณิ ติฏฺเตต มา ม เอต ปุจฺฉีติ ฯ
อปิจ ตฺยาห พฺยากริสฺสามิ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
“ผู้ใหญ่บ้าน เราได้ห้ามท่านแล้วว่า ‘อย่าเลย จงพักปัญหาข้อนี้ไว้ อย่าถามเราเลย’
แต่เอาเถิด เราจักตอบแก่ท่าน
ปุพฺเพ โข คามณิ สตฺตา อวีตราคา ราคพนฺธนพนฺธา
เตส นโฏ รงฺคมชฺเฌ สมชฺชมชฺเฌ เย ธมฺมา รชนิยา
เต อุปสหรติ ภิยฺโย สราคาย ฯ
เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายไม่ปราศจากราคะ ถูกเครื่องผูกคือราคะผูกไว้
นักฟ้อนรำย่อมรวบรวมธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
เข้าไปกลางโรงละคร กลางงานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นโดยประมาณยิ่ง
ปุพฺเพ โข คามณิ สตฺตา อวีตโทสา โทสพนฺธนพนฺธา
เตส นโฏ รงฺคมชฺเฌ สมชฺชมชฺเฌ เย ธมฺมา โทสนิยา
เต อุปสหรติ ภิยฺโย สโทสาย ฯ
เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายไม่ปราศจากโทสะ ถูกเครื่องผูกคือโทสะผูกไว้
นักฟ้อนรำย่อมรวบรวมธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ
เข้าไปกลางโรงละคร กลางงานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นโดยประมาณยิ่ง
ปุพฺเพ โข คามณิ สตฺตา อวีตโมหา โมหพนฺธนพนฺธา
เตส นโฏ รงฺคมชฺเฌ สมชฺชมชฺเฌ เย ธมฺมา โมหนิยา
เต อุปสหรติ ภิยฺโย สโมหาย ฯ
เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายไม่ปราศจากโมหะ ถูกเครื่องผูกคือโมหะผูกไว้
นักฟ้อนรำย่อมรวบรวมธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความหลง
เข้าไปกลางโรงละคร กลางงานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นโดยประมาณยิ่ง
โส อตฺตนา มตฺโต ปมตฺโต ปมาเท ตฺวา
กายสฺส เภทา ปร มรณา ปหาโส นาม นิรโย ตตฺถ อุปปชฺชติ ฯ
นักฟ้อนรำนั้นตนเองก็มัวเมาประมาท ทั้งทำให้ผู้อื่นมัวเมาประมาทด้วย
หลังจากตายแล้ว จะไปเกิดในนรกชื่อปหาสะ
#10
โพสต์เมื่อ 30 May 2008 - 02:59 PM
โย โส นโฏ รงฺคมชฺเฌ สมชฺชมชฺเฌ สจฺจาลิเกน ชน หาเสติ รเมติ
โส กายสฺส เภทา ปร มรณา ปหาสาน เทวาน สหพฺยต อุปปชฺชตีติ ฯ
สาสฺส จ โหติ มิจฺฉาทิฏฺิ
มิจฺฉาทิฏฺิกสฺส โข ปนาห คามณิ ปุริสปุคฺคลสฺส ทฺวินฺน คตีน อฺตร คตึ วทามิ
นิรย วา ติรจฺฉานโยนึ วาติ ฯ
แต่ถ้าเขามีความเห็นว่า
‘นักฟ้อนรำคนใดทำให้ประชาชนหัวเราะรื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง เท็จบ้าง กลางโรงละคร กลางงานมหรสพ
นักฟ้อนรำคนนั้น หลังจากตายแล้ว จะเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเหล่าเทวดาชื่อปหาสะ
ความเห็นของเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด)
และผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ
นรก หรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน”
[๕๙๒] เอว วุตฺเต ตาลปุตฺโต นฏคามณี ปโรทิ อสฺสูนิ ปวตฺเตสิ ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ผู้ใหญ่บ้านนักฟ้อนรำ ชื่อตาลบุตรได้ร้องไห้ น้ำตาไหลพราก
เอต โข ตฺยาห คามณิ นาลตฺถ อล คามณิ ติฏฺเตต มา ม เอต ปุจฺฉีติ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“ผู้ใหญ่บ้าน เราได้ห้ามท่านแล้วว่า ‘อย่าเลย จงพักปัญหาข้อนี้ไว้ อย่าถามเราเลย”
นาห ภนฺเต เอต โรทามิ ย ม ภควา เอวมาห ฯ
อปิ จาห ภนฺเต ปุพฺพเกหิ อาจริยปาจริเยหิ นเฏหิ ทีฆรตฺต นิกโต วฺจิโต ปลุทฺโธ
โย โส นโฏ รงฺคมชฺเฌ สมชฺชมชฺเฌ สจฺจาลิเกน ชน หาเสติ รเมติ
โส กายสฺส เภทา ปร มรณา ปหาสาน เทวาน สหพฺยต อุปปชฺชตีติ ฯ
ผู้ใหญ่บ้านนักฟ้อนรำกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มิได้ร้องไห้เพราะพระองค์ตรัสอย่างนั้นกับข้าพระองค์
แต่ข้าพระองค์ถูกพวกนักฟ้อนรำผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ หลอกลวงให้หลงมานานว่า
‘นักฟ้อนรำคนใด ทำให้ประชาชนหัวเราะรื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง เท็จบ้าง กลางโรงละคร กลางงานมหรสพ
นักฟ้อนรำคนนั้น หลังจากตายแล้ว จะเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเหล่าเทวดาชื่อปหาสะ
อภิกฺกนฺต ภนฺเต อภิกฺกนฺต ภนฺเต
เสยฺยถาปิ ภนฺเต นิกฺกุชฺชิต วา อุกฺกุชฺเชยฺย ปฏิจฺฉนฺน วา วิวเรยฺย มูฬฺหสฺส วา มคฺค อาจิกฺเขยฺย
อนฺธกาเร วา เตลปฺปชฺโชต ธาเรยฺย จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตีติ ฯ
เอวเมว ภควตา อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโต ฯ
เอสาห ภนฺเต ภควนฺต สรณ คจฺฉามิ ธมฺมฺจ ภิกฺขุสงฺฆฺจ
ลเภยฺยาห ภนฺเต ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺช ลเภยฺย อุปสมฺปทนฺติ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก
พระองค์ทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง
หรือตามประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า ‘คนตาดีจักเห็นรูปได้’
ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ
ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค”
อลตฺถ โข ตาลปุตฺโต นฏคามณี ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺช อลตฺถ อุปสมฺปท ฯ
อจิรูปสมฺปนฺโน จ ปนายสฺมา ตาลปุตฺโต เอโก วูปกฏฺโ
อปฺปมตฺโต อาตาปี ปหิตตฺโต วิหรนฺโต ฯเปฯ
อฺตโร จ ปนายสฺมา ตาลปุตฺโต อรหต อโหสีติ ฯ
ผู้ใหญ่บ้านนักฟ้อนรำ ชื่อตาลบุตร ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค
และท่านพระตาลบุตรอุปสมบทได้ไม่นาน ก็หลีกออกไปอยู่คนเดียว
ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ฯลฯ
อนึ่ง ท่านพระตาลบุตรได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย
อ้างอิงจาก-พระไตรปิฎก เล่มที่่ ๑๘ ข้อที่ ๕๘๙-๕๙๒ หน้าที่ ๓๗๗-๓๘๐.
*อ่านจบครบแล้ว พิจารณาใคร่ครวญถี่ถ้วนละเอียดดีแล้ว มีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ*
ส่วนผมคิดว่า ถ้าเรื่องที่แสดงเป็นเรื่องจริง และไม่ยั่วยุให้คนเกิด ราคะ โทสะ และโมหะ จนประมาท ก็ไม่น่าจะมีปัญหานะครับ.
#11
โพสต์เมื่อ 31 May 2008 - 01:31 PM
คือ นักฟ้อนรำนั้นตนเองก็มัวเมาประมาท มัวเมาใน ราคะ โทสะ โมหะ แล้วยังทำให้ผู้อื่นมัวเมา
ประมาทไปด้วย หลังจากตายจึงจะตกนรกปหาสะ ครับ
ถ้าหากว่านักเเสดงไม่มัวเมาประมาท ทั้งยังไม่ได้ทำให้ผู้อื่นมัวเมาประมาท ก็ไม่ตกนรกขุมปหาสะ
และก็จะไม่ตกนรกขุมอื่นด้วยครับ
บางคนเขาเอาไปตีความแบบครอบจักรวาลว่า นักแสดงจะต้องตกนรกขุมปหาสะทุกคน ซึ่งไม่ใช่ ให้พิจารณาอย่างรอบคอบด้วยนะครับทุกท่าน
#12
โพสต์เมื่อ 02 June 2008 - 02:02 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#13
โพสต์เมื่อ 02 June 2008 - 09:25 PM
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..