เสียหนึ่งไม่เสียสอง
เริ่มโดย niwat, May 27 2007 11:36 PM
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 27 May 2007 - 11:36 PM
เสียหนึ่งไม่เสียสอง
....."เราจักต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจด้วยกันหมดทั้งสิ้น" เป็นเรื่องปกติธรรมดา
ของการเกิดมานะคะ การที่จะห้ามไม่ให้เกิดการพรากเลยนั้นก็เป็นเรื่องที่เหลือวิสัยจริงๆ
แล้วมีวิธีไหนบ้างล่ะที่ทำให้เมื่อประสบเหตุดังกล่าวแล้ว ทุกข์ได้น้อยลงหรือไม่ทุกข์เลย
.....การรู้จักจับแง่คิดให้ดีงามนั้นช่วยได้มากเลยค่ะ เมื่อเวลามีเรื่องที่เรารู้สึกว่าเกิดความ
สูญเสียขึ้น ไม่ว่าในชีวิตประจำวันก็ตาม ไม่ควรตีโพยตีพายให้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
เพราะนอกจากจะเสียหายในเบื้องต้นแล้ว ยังทำให้เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า "เสียใจ" เพิ่มขึ้น
นั่นเอง เช่น กระเป่าสตางค์หาย ก็ควรให้มันเสียแค่กระเป๋าสตางค์อย่าคิดมาก เพราะจะทำให้
นอกจากเสียกระเป๋าสตางค์แล้ว ยังต้อง เสียใจเพิ่มขึ้นอีก เผลอๆ เสียเวลาเคียดแค้นชิงชัง
หรือ เสียความผ่องใสของใจไป
.....คนที่ฉลาดเมื่อสูญเสียสิ่งใดไปแล้ว จะไม่ยอมเสียใจเพิ่มขึ้นอีกเป็นอย่างที่สอง
คือยึดหลักที่ว่า เสียหนึ่ง ไม่เสียสองนั่นเอง แม่บ้านท่านหนึ่ง ท่อน้ำรั่วน้ำเจิ่งนองไหล
ออกมาเต็มห้องครัวเลย เห็นแล้วแทนที่จะโมโหบ่นหรือด่าลูกๆ แต่กลับยิ้มและบอก
กับตัวเองว่า ดีจังถือโอกาสนี้แหล่ะทำความสะอาดครัวครั้งใหญ่ ให้เอี่ยมอ่องอรทัยไปเลย
หรือโดนเจ้านายที่ทำงานด่าว่าอย่างไร้เหตุผลก็ให้คิดเสียว่า เราได้ฝึกความอดทน ฝึกกับ
เจ้านายนี่แหล่ะ ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเร่ร่อนไปหาที่ฝึกไกลๆ ให้เหนื่อย อยู่ดีๆ ก็มีบทฝึก
มาให้ถึงที่
.....ถ้ารู้จักจับแง่คิดมาสอนใจตนเองได้ ไม่ว่าเจอะเจอกับความสูญเสียแค่ไหนก็ตาม
ปัญหามีไว้แก้ไม่ได้มีไว้กลุ้ม และที่สำคัญมากๆ ในการทำงานร่วมกัน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา
ไม่ควรรีบหาคนผิด หรือโยนความผิดไปให้คนโน้นคนนี้ แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ช่วยกันคิดว่า
จะแก้ไขอย่างไรต่างหาก เพราะการหาคนผิดนั้นเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
โทษกันไปโทษกันมา เกิดเสียอกเสียใจ หรือผิดใจกัน ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาได้เลย
มีแต่เสียกลับเสีย
.....ยังไงก็ลองเอาแง่คิดมุมมองนี้ไปใช้ ได้ผลดีแน่นอน เพราะดิฉันได้ฝึกและพิสูจน์
มาด้วยตนเองแล้ว ทำให้ใจรู้สึกสบาย โล่ง ไม่เครียด มีความสุขขึ้นมากมายเลยทีเดียว
วนาลี
#2
โพสต์เมื่อ 29 May 2007 - 10:38 AM
Positive Thinking ขอกราบอนุโมทนาบุญกับคุณ Niwat ด้วยนะครับ สาธุ
#3
โพสต์เมื่อ 29 May 2007 - 03:26 PM
การคิดแบบนี้แหละ คือวิสัยของบัณฑิต
ถ้าเราทำได้แบบนี้ ไม่ว่าเราจะตายตอนไหน
สุขคติย่อมเป็นที่ไปอย่างแน่นอน
อนุโมทนาบุญครับ
ถ้าเราทำได้แบบนี้ ไม่ว่าเราจะตายตอนไหน
สุขคติย่อมเป็นที่ไปอย่างแน่นอน
อนุโมทนาบุญครับ
#4
โพสต์เมื่อ 30 May 2007 - 10:00 AM
อนุโมทนาบุญครับ สาธุๆๆ
#5
โพสต์เมื่อ 04 June 2007 - 01:05 PM
Thank you