ท้าวสักเทวราชกราบทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
#1
โพสต์เมื่อ 27 August 2007 - 02:22 PM
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น 3 ครั้ง
สักกปัณหสูตร
ท่านท้าวสักเทวราช ผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น กราบทูลถามปัญหากับองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้
ทูลถาม เทวดา มนุษย์ สัตว์ นาค คนธรรพ์ ผีทั้งหลายมากมาย มีอะไร ถูกอะไรผูกมัดไว้
แม้ตั้งใจจะไม่จองเวรก็ต้องอยู่อย่างผู้มีเวรมีกรรม มีศัตรู หมู่มารภัยอันตรายรอบด้านเบียดเบียน
ทรงตอบ มีความตระหนี่เหนียวแน่น ความอิจฉาริษยา เป็นเครื่องผูกมัดจิต
ทูลถาม ความตระหนี่ ความอิจฉาริษยา เกิดจากอะไร
ทรงตอบ เกิดจากสิ่งที่เป็นที่รัก และสิ่งที่ไม่รัก เมื่อไม่มีสิ่งที่รัก และไม่รักแล้ว ก็ไม่มีความ
ตระหนี่ ไม่มีริษยา
ทูลถาม สิ่งที่รัก และสิ่งที่ไม่รัก เกิดจากอะไร
ทรงตอบ เกิดจากความพอใจ (ฉันทะ) เมื่อไม่มีความพอใจก็ไม่มีสิ่งที่รัก และสิ่งที่ไม่รัก
ทูลถาม ความพอใจ เกิดจากอะไร
ทรงตอบ ความพอใจเกิดจากความนึกคิดตรึกตรองวิตกกังวลเมื่อไม่มีความตรึกตรองวิตก
ก็ไม่มีความพอใจ
ทูลถาม ความตรึกตรองวิตกกังวลเกิดจากอะไร
ทรงตอบ เกิดจากตัณหา ความทะยานอยาก มีมานะ ความถือว่ามีตัวมีตน ทิฏฐิ ความเห็น
ความเข้าใจของตนเป็นใหญ่
ทูลถาม ภิกษุควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อความดับสิ้นของกิเลส ตัณหา มานะ ทิฏฐิ
ทรงตอบ ดับด้วยความไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ทำจิตวางเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างใดๆ ในโลก ให้รู้ตัวว่าทุกอย่างมีเกิดมีเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ให้เจริญธรรมด้วยระลึกถึงคุณความดี 10 อย่าง คือ อนุสติ 10 ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ คุณความดีของศีล ทาน เทวดา นึกถึงร่างกายเป็นทุกข์เป็นโทษ นึกถึงความตาย นึกถึงลมหายใจเข้าออก ไม่มีลมร่างกายตาย นึกถึงคุณของพระนิพพาน ดับความทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดเป็นทั้งศีล สมาธิ วิปัสสนาญาณ
ทูลถาม ภิกษุปฏิบัติอย่างไรจึงชื่อว่าสำรวมปาฏิโมกข์ (มีศีลเป็นใหญ่)
ทรงตอบ ภิกษุพึงสำรวมกาย วาจา ใจ ทางกุศลธรรมด้วยอนุสติ 10 นั้น
ทูลถาม ภิกษุปฏิบัติอย่างไรจึงชื่อว่า สำรวมกาย วาจา ใจ
ทรงตอบ รับรู้อารมณ์ที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อารมณ์หลงติดสุขในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ควรรับเข้าไว้ในจิต รีบเร่งขจัดทิ้งออกจากจิตใจให้หมดไป อารมณ์ที่ควรรับไว้พิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณ คือ อสุภกรรมฐาน ทุกอย่างเป็นซากศพ ตายกันหมดทั้งสิ้น อาหาเรปฏิกูลสัญญา อาหารทุกอย่างมาจากของสกปรกซากพืช ซากสัตว์ จตุธาตววัตถาน 4 ร่างกายประกอบขึ้นด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ พิจารณาทุกๆ สิ่งสิ้นที่เห็นใดๆ ในโลก ในสวรรค์ เป็นของชั่วคราว เป็นอนัตตา สูญสลายในที่สุด
อุปสสมานุสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานแดนสุขเกษมสำราญ เป็นจุดมุ่งหมายของเทวดา คน สัตว์ ผี วิญญาณทุกชนิด
ท่านท้าวสักกะเทวราช กราบทูลว่า
ตัณหา ความอยากได้ อยากมี อยากเด่น อยากรวย อยากเกิด เป็นสาเหตุ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร ฉุดฆ่ามนุษย์ สัตว์ เทวดา ให้มาเกิดใน 3 ภพ คือ ภพนรก ภพโลก ภพสวรรค์ สูงบ้าง ต่ำบ้าง ทำให้จิตวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มีที่จบสูงสุดที่เป็นสุขอย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน แล้วท่านท้าวสักกะเทวราชเอามือลูบแผ่นดิน เปล่งอุทานว่า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธ ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธ ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธ ธัสสะ
แปลว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#2
โพสต์เมื่อ 28 August 2007 - 01:35 AM
#3
โพสต์เมื่อ 28 August 2007 - 10:25 AM
ในสมัยพุทธกาล ท้าวสักกะเกิดความวิตกกังวลอย่างมากไม่กล้าบอกใครแม้เทพที่ใกล้ชิด เมื่อรู้ว้าตนเองจะต้องจุติ(ตาย) ภายใน 7 วัน (ย่อ ๆนะครับ)
จึงให้ปัญจสิกขเทพบุตร พาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ (เป็นเทพองค์เดียวที่ได้รับสิทธินี้แม้ขณะพระองค์เข้านิโรธ) ได้ทูลถามปัญหาอ้อม ๆ เพื่อให้พระองค์เข้าใจ ว่าตนเองกำลังจะจุติ ไม่กล้าบอกตรง ๆ กลัวว่าผู้ติดตามจะรู้
เมื่อพระองค์ฟังปัญหาแล้วก็ทรงทราบ จึงแสดงธรรม ท้าวสักกะฟังธรรมเสร็จได้จุติและบังเกิดใหม่ในที่นั้นเอง โดยบรรลุเป็นพระโสดาบัน มีรัศมีมาก อานุภาพมาก ไปไหนไม่อายใคร ไม่ต้องคอยหลบใคร แล้วจึงลากลับ
เพิ่มเติม ที่มา นโม ฯ ครับ ผู้ที่กล่าวครั้งแรก คือ
นโม = สาตาคิริยักษ์ และ เหมวตายักษ์
ตสฺส = อสุรินทราหู แห่งอสูรภิภพ
ภควโต = ตปุสสะภัลลิกะมาณพ
อรหโต = ท้าวสักกะ
สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส = ท้าวผกาพรหม
จึงรวมเป็น นโมฯ ที่เรากล่าวนมัสการในเบื้องต้น จนถึงปัจจุบัน
#4
โพสต์เมื่อ 28 August 2007 - 10:25 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#5
โพสต์เมื่อ 28 August 2007 - 03:16 PM
#6
โพสต์เมื่อ 28 August 2007 - 10:32 PM
#7
โพสต์เมื่อ 29 August 2007 - 04:59 PM
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#8
โพสต์เมื่อ 30 August 2007 - 12:54 PM
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ...สาธุค่ะๆๆๆ สุดยอด ยอดที่สุด
ท่านท้าวสักเทวราช ผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ประโยคนี้เคยเห็นหลายเวปเหมือนกันค่ะ
ปกติสวรรค์แต่ละชั้นก็จะมีผู้ปกครองภพ ใช่มั๊ยคะ ท้าวสักกะท่านปกครองชั้นดาวดึงส์
เคยได้ยินมาว่าเทพที่อยู่ชั้นสูงกว่า สามารถลงมาชั้นที่ต่ำกว่าได้ แต่ท่านที่อยู่ต่ำกว่าไม่สามารถขึ้นไปชั้นที่สูงกว่าได้
แล้วท้าวสักกะท่านอยู่ชั้นดาวดึงส์ ท่านก็ไม่สามารถขึ้นไป ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี ได้สิคะ
แล้วประโยคที่ว่า"ท่านท้าวสักเทวราช ผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น" ก็ไม่ถูกใช่มั๊ยคะ
ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกรึป่าว ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ(◕‿◕) คราวหน้าคราวหลังมีเพื่อนมาถามจะได้ตอบถูกอ่ะค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 30 August 2007 - 01:50 PM
แต่คงไว้ ตามของเดิมก่อนค่ะ
หากท่านใดมีความรู้เพิ่มเติม ขอโปรดแสดงด้วยนะคะ
ขอบพระคุณค่ะ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#10
โพสต์เมื่อ 31 August 2007 - 04:03 PM
ขออภัยที่ไม่ได้ไตร่ตรองก่อนนะคะ แก้ไขข้อความนะคะคำว่า สาู เปลี่ยนเป็น สาธุ สาธุ สาธุ
#11
โพสต์เมื่อ 31 August 2007 - 04:13 PM
ขออนุโมทนาล่วงหน้าครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#12
โพสต์เมื่อ 06 September 2007 - 06:05 PM
#13
โพสต์เมื่อ 10 September 2007 - 08:19 AM
#14
โพสต์เมื่อ 10 September 2007 - 07:34 PM
คุณ gigg
-ท้าวสักกะ เป็นใหย๋ในชั้นดาวดึงส์ตามที่ท่านเข้าถูกต้องครับ บารมีน้อยกว่าชั้น 3-6 แต่บารมีบางอย่างก็มากกว่า
-วันที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ เมื่อมารมา(ปรนิมฯ) ท่านหนีไปขอบจักรวาล (ที่จริงมีผู้อยู่เบื้องหลัง)
-ท่านเป้นผู้ที่ขึ้นไปชั้น 4 เพื่อไปตามพุทธมารดา มาฟังธรรมจากพระพุทธองค์
#15
โพสต์เมื่อ 11 September 2007 - 03:50 PM
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#16
โพสต์เมื่อ 13 September 2007 - 10:01 AM
#17
โพสต์เมื่อ 27 September 2007 - 06:16 PM
#18
โพสต์เมื่อ 30 September 2007 - 06:42 PM
คนเหล่านั้นต้องได้บุญมากแน่ๆ เพราะทำให้เราได้สวดกันทุกวันเลย
#19
โพสต์เมื่อ 05 October 2007 - 09:51 AM
#20
โพสต์เมื่อ 09 October 2007 - 09:56 PM